“กลิ่นนี้!”
ทุกคนอึ้ง ต่างพากันทำจมูกฟุดฟิดพยายามจับกลิ่นในอากาศ
กลิ่นเนื้อไก่ตลบอบอวลไปทั่วร้าน เนื้อไก่เด้งดึ๋งเหมือนวุ้น น้ำแกงสีเหลืองอำพันใสดูสวยงามล้อแสงไฟ ส่องประกายระยิบระยับ
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย ดวงตาทอแสงเจิดจ้า เขาจ้องไปที่หม้อดินเผาบนโต๊ะและเนื้อไก่สีเลือดในหม้อ
“พลังปราณช่างเยอะอะไรเช่นนี้!” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงตกใจเป็นอันมากขณะสูดลมหายใจเข้าลึกทางปาก ด้วยประสาทสัมผัสที่น่าทึ่งของพลังปราณระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการ เขาจึงบอกได้ทันทีว่ามีพลังปราณอยู่เท่าใดในเนื้อไก่สีเลือด นอกจากนี้น้ำแกงไก่สีอำพันยังอัดแน่นไปด้วยวัตถุดิบที่มีสรรพคุณเป็นยามากมาย
เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ขณะมองไปที่ชามน้ำแกงไก่ตรงหน้า
“นี่มัน… อสูรเวทระดับห้า ไก่โลหิตปักษาเพลิงมิใช่รึ!” องค์ชายรัชทายาทเลียริมฝีปาก ดวงตาจับจ้องไปที่เนื้อไก่ในหม้อดินเผา แล้วจู่ๆ ก็ตะโกนด้วยความตกใจเมื่อนึกได้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่คืออะไร
“ไก่โลหิตปักษาเพลิงรึ!” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงหันไปมองจีเฉิงอันด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
“ไก่โลหิตปักษาเพลิงเป็นอสูรเวทระดับห้าที่อาศัยอยู่ตรงบริเวณทุ่งหญ้าสามเหลี่ยมกว้างใหญ่ในดินแดนป่ารกชัฏ ไก่ชนิดนี้มีขน หนัง และเนื้อสีแดงเลือด เนื้อนั้นเต็มไปด้วยพลังปราณ เมื่อปรุงสุกแล้ว เนื้อไก่จะช่วยเสริมพลังชีวิตให้ผู้ที่บริโภค ทั้งยังฟื้นฟูโลหิตและพลังงานในกาย จัดเป็นวัตถุดิบที่หายากยิ่ง” จีเฉิงอันอธิบายอย่างชัดถ้อยชัดคำขณะมองไปที่ปู้ฟางอย่างตั้งคำถาม
ปู้ฟางพยักหน้ารับแล้วตอบเสียงเรียบ “ใช่แล้ว นี่คือไก่โลหิตปักษาเพลิง”
“ข้าเคยอ่านผ่านมาบ้างจากบันทึกโบราณในวังหลวง แต่ไม่คาดคิดว่าอสูรเวทแสนประหลาดชนิดนี้จะอยู่ที่ทุ่งหญ้าสามเหลี่ยมกว้างใหญ่ในดินแดนป่ารกชัฏจริงๆ” จีเฉิงอันทำหน้าอาลัยอาวรณ์ ก่อนส่ายหน้าทันที
“น่าเสียดายที่แม้ไก่โลหิตปักษาเพลิงจะมีคุณค่ามาก แต่อาการบาดเจ็บของเซียวเยียนอวี่เป็นเพราะพลังชีวิตที่หดหาย ข้าเกรงว่าเจ้าคงจะรักษาให้นางหายด้วยสิ่งนี้ไม่ได้”
ปู้ฟางเม้มปากขณะมองจีเฉิงอันที่กำลังส่ายศีรษะ
“ข้าไม่ได้แค่เอาไก่โลหิตปักษาเพลิงไปต้มเฉยๆ อย่าพูดมั่วซั่วได้หรือไม่หากเจ้ายังไม่เคยกิน”
จีเฉิงอันสะดุ้งก่อนมองปู้ฟางด้วยสายตาไม่ชอบใจ เขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาทของอาณาจักร ราษฎรธรรมดาบังอาจมาพูดจาเช่นนี้กับเขาได้อย่างไรกัน
จีเฉิงเสวี่ยและคนอื่นๆ คุ้นชินกับอุปนิสัยห้วนห้าวของปู้ฟางอยู่แล้ว ชายผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดในโลกหล้า ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับองค์ชายรัชทายาทของอาณาจักร ก็ย่อมกล้าต่อปากต่อคำด้วยแน่นอน
หัวใจของซูฉีเต้นไม่เป็นจังหวะ องค์ชายรัชทายาทที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโตมาอย่างราชนิกูลจะไปทานทนกับคำพูดสามหาวของปู้ฟางได้อย่างไรกัน เพื่อกันไม่ให้สถานการณ์แย่ไปกว่านี้ เขาจึงรีบพูดออกมาเพื่อไกล่เกลี่ย
“เถ้าแก่ปู้ ในเมื่อท่านมั่นใจในน้ำแกงไก่ของตนเองถึงเพียงนี้ ก็รีบให้แม่นางเซียวเยียนอวี่กินสิ” ซูฉีพูดพร้อมทำมือคารวะ
แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงมุ่นคิ้วเล็กน้อยขณะพูดกับปู้ฟาง “ไอ้หนุ่ม หวังว่าน้ำแกงไก่ของเจ้าจะใช้ได้ผลนะ ไม่เช่นนั้นก็คงรู้ดีว่ามีอะไรรอเจ้าอยู่”
“วางใจได้ น้ำแกงนี่ได้ผลแน่นอน” ปู้ฟางตอบเรียบๆ
เขาหยิบชามกระเบื้องสีฟ้าขาวขนาดเล็กออกมาตักน้ำแกงสีเหลืองใสใส่ด้วยช้อนกระเบื้องเข้าชุด น้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำแกงสะท้อนแสงระยิบ ดูไม่มันแต่ก็ไม่จางจนเกินไป
“น้ำแกงไก่นี้มีชื่อว่าน้ำแกงสมุนไพรไก่ปักษาเพลิง ทำมาจากสมุนไพรสะระแหน่สวรรค์และไก่โลหิตปักษาเพลิง นอกจากนี้ยังใส่สมุนไพรชั้นเลิศที่มีฤทธิ์เป็นยาหลายชนิดเข้าไปด้วยระหว่างปรุง ข้าใช้วิธีการทำอาหารด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ในการกระตุ้นการดูดซึมน้ำสมุนไพรสะระแหน่ให้ซึมเข้าน้ำแกงไก่อย่างสมบูรณ์แบบ จนออกมาเป็นอาหารโอสถทิพย์ที่อัดแน่นไปด้วยพลังปราณซึ่งจะช่วยบำรุงเลือดและพลังชีวิต”
หลังจากที่แนะนำอาหารจานเอกของตนเรียบร้อย ปู้ฟางก็ยกชามน้ำแกงไก่เดินเข้าไปหาเซียวเยียนอวี่ที่ซีดเซียวจนเหมือนจะสลายหายไปในอากาศ
แม่นางเซียวเยียนอวี่ยังคงงดงามเช่นเดิม แม้ผิวจะดูหม่นหมองไร้เลือดฝาดเนื่องจากพลังชีวิตหายไปเป็นจำนวนมาก แต่โรคภัยไข้เจ็บก็ยังไม่สามารถซ่อนความงามของนางได้ ดวงตาของนางซึ่งหมองเหมือนดอกไม้โรยราในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างรู้สึกสงสารจับใจไปตามๆ กัน
“อ้าปากแล้วพูดว่าอ้า” ปู้ฟางพูดกับเซียวเยียนอวี่พลางตักน้ำแกงร้อนๆ ขึ้นมาเต็มช้อน
แพขนตาของเซียวเยียนอวี่สั่นระริก ดวงตาที่กำลังมืดแสงเหลือบมองน้ำแกงไก่ในช้อน ริมฝีปากเปิดออกเล็กน้อย แต่ด้วยความที่พลังชีวิตของนางกำลังจะเหือดหายไป จึงแทบทำตามที่ชายหนุ่มบอกไม่ได้เลย
“อ้าบ้าอ้าบออะไรของเขา…” โอวหยางเสี่ยวอี้มุมปากกระตุก “นายท่านตัวเหม็นยังสมองใช้การได้ปกติอยู่ไหมนะ ไม่เห็นรึว่าพี่หญิงไม่มีแรงแม้แต่จะเปิดปาก”
ปู้ฟางเทน้ำแกงในช้อนกลับใส่ชาม มองหน้าเซียวเยียนอวี่อย่างไร้อารมณ์
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดไม่ป้อนน้ำแกงให้เยียนอวี่เล่า” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงมองหน้าปู้ฟางอย่างงุนงง คนอื่นเองก็สงสัยเช่นกัน
ปู้ฟางหันไปมองแขกในร้านแล้วตอบเสียงเรียบ “อย่าเร่งข้าสิ ข้ากำลังหาวิธีป้อนนางอยู่”
“หา… อะไร! หมอนี่มันหมายความว่าอย่างไรน่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD