ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD นิยาย บท 56

สรุปบท ตอนที่ 56 อย่าสะเออะยิ้ม... มิเช่นนั้...: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD

สรุปตอน ตอนที่ 56 อย่าสะเออะยิ้ม... มิเช่นนั้... – จากเรื่อง ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD โดย Internet

ตอน ตอนที่ 56 อย่าสะเออะยิ้ม... มิเช่นนั้... ของนิยายSlice of Lifeเรื่องดัง ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD ตอนที่ 56 อย่าสะเออะยิ้ม… มิเช่นนั้นข้าจะโยนเจ้าออกไปเสีย
ตอนที่ 56 อย่าสะเออะยิ้ม… มิเช่นนั้…

มุมปากของเซียวเยวี่ยมีเลือดไหลออกมาเป็นสาย อีกทั้งใบหน้าหล่อเหลายังดูน่าสยดสยองเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ยังบังคับตนเองให้ยิ้มออกมาขณะมองปู้ฟาง

“เถ้าแก่ปู้ มีคนมาก่อความไม่สงบในร้านของเจ้า… เจ้าจะเข้ามาห้ามทัพหรือไม่ “

หุนเชียนต้วนที่มีใบหน้าซีดขาวเหมือนกระดาษหันไปมองเซียวเยวี่ยราวกับชายหนุ่มตรงหน้าได้เป็นบ้าไปเรียบร้อยแล้ว เขาอดคิดไม่ได้ “ไอ้เวรนี่… สมองมันถูกกระทบกระเทือนไปแล้วหรือไร มาพ่นอะไรไร้สาระไม่ได้ความ ข้างนอกนั่นมีผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการอยู่ถึงสองคน! แล้วมันจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านอาหารเนี่ยนะ”

“เจ้าเป็นบ้าไปแล้วรึ! แค่ก… หมอนี่มันเป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นคลั่งยุทธการ คิดจริงๆ หรือว่าจะช่วยอะไรเราได้” หุนเชียนต้วนกระอักเลือดออกมาขณะส่ายหน้าไหวๆ ด้วยความสิ้นหวัง

เก้าสำนักใหญ่สูญเสียไปมากเหลือเกินในศึกนี้ ผู้ฝึกตนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งถูกฆ่าตายระหว่างภารกิจช่วยเหลือตัวประกัน ไม่มีใครคาดคิดว่าจีฉางเฟิ่งจะโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้!

“หุบปากเสีย! หากลูกน้องหน้าโง่ของเจ้าไม่เปิดเผยตัวตนก่อนเวลาอันควร… ผลที่ออกมามันจะกลายเป็นเช่นนี้ไหม สำนักวิญญาณของเจ้าต้องรับผิดชอบความผิดพลาดในครั้งนี้!” ดวงตาของเซียวเยวี่ยเย็นเยียบขณะจ้องไปที่หุนเชียนต้วนเขม็ง “ตอนนี้ข้าจะไม่มานั่งเถียงกับเจ้าก็แล้วกัน หากเจ้ายังอยากมีลมหายใจอยู่ต่อไปก็เงียบปากไปเสียแต่โดยดี ร้านนี้ไม่ได้กระจอกงอกง่อยอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ!”

“เจ้า!”

หุนเชียนต้วนหัวเสียมากเสียจนอาการบาดเจ็บที่หน้าอกเริ่มปวดขึ้นมา ชายหนุ่มทนไม่ไหวอีกต่อไป จนกระอักเลือดออกมาอีกยกใหญ่ เขารีบหยิบโอสถออกมากระเป๋าตรงหน้าอกแล้วยัดโอสถเข้าปากทันที

เซียวเยวี่ยหันกลับไปมองปู้ฟางด้วยสายตามีความหวัง เขารู้ว่าโอกาสที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้ของตนขึ้นอยู่กับปู้ฟาง

ชายหนุ่มเจ้าของร้านกำลังนอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้ แสงอาทิตย์ที่ส่องใบหน้าทำให้เขาดูเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย

โอวหยางเสี่ยวอี้หอบตัวโยนด้วยความโกรธ นางวิ่งไปซ่อนตัวด้านหลังปู้ฟางแล้วจ้องไปที่เซียวเยวี่ยด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว นางคิด “หมอนี่มันชั่วช้า… กล้ามาอุ้มข้า! แถมยังพูดว่าจะฆ่าข้าอีก! ยกโทษให้ไม่ได้เด็ดขาด!”

ปู้ฟางจ้องเซียวเยวี่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ส่วนเซียวเยวี่ยเองก็จ้องกลับด้วยสีหน้าสงบ

จนในที่สุดเซียวเยวี่ยก็ดูเหมือนจะทนสายตาตายด้านของปู้ฟางไม่ไหวอีกต่อไป หัวใจของเขาสั่นไหวอย่างยอมจำนน ก่อนหลบตาไปทางอื่นอย่างอดรนทนไม่ได้

ปู้ฟางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพลางคิด “ใช่แล้ว คนอย่างข้าไม่กลัวการแข่งจ้องตาหรอก!”

“เถ้าแก่ปู้” เสียงทุ้มดังมาจากภายนอกร้าน แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงในชุดเกราะเดินมาหยุดยืนหน้าร้านด้วยท่าทางทรงอำนาจ สีหน้าจริงจัง

“ต้องการอะไร” ปู้ฟางจ้องอีกฝ่ายด้วยสีหน้างุนงง

“เถ้าแก่ปู้ อาชญากรที่วังหลวงต้องการตัวเพิ่งเข้าไปในร้านของเจ้า ข้าต้องการเข้าร้านไปเพื่อจับอาชญากรทั้งสองนี้จะได้หรือไม่” แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงรู้สึกเกรงกลัวร้านสุดลึกลับนี้เล็กน้อย

เถ้าแก่เจ้าของร้านที่ไม่รู้ประวัติที่มา สุนัขสีดำตัวใหญ่ที่ทั้งลึกลับและทรงพลัง รวมทั้งหุ่นเชิดที่ต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการได้อย่างสูสี… หากเขาเดินเข้าร้านไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เรื่องนี้คงจบไม่สวยเป็นแน่

เหลียนฟู่มองเซียวเหมิงด้วยสีหน้างุนงง เขาตวัดแส้ฟาดม้าในมือแล้วจีบนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าด้วยกันก่อนพูดด้วยเสียงสูง “แม่ทัพเซียว เหตุใดเราจึงไม่เข้าไปจับอาชญากรจากสำนักที่ซ่อนอยู่ในร้านนี้ไปเลยเล่า อย่าบอกนะว่าท่านยังมองอาชญากรรายนี้ว่าเป็นบุตรของท่านอยู่”

“ท่านขันที ท่านไม่เข้าใจ… ร้านนี้ไม่ใช่ร้านธรรมดาทั่วไป ทางที่ดีอย่าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าเลยดีกว่า!” เซียวเหมิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แม่ทัพเซียว… ท่านกลัวร้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ในตรอกร้างผู้คนในนครหลวงเช่นนี้รึ ไม่สมกับสมญานามวีรบุรุษอันดับหนึ่งแห่งจักรวรรดิวายุแผ่วเลยนะ” เหลียนฟู่เย้ย พร้อมหันไปมองแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงและจีบมือชี้ไปทางอีกฝ่าย

“คิดว่าเจ้ากำลังพยายามหลอกใครอยู่ ร้านเช่นนี้ในนครหลวงมีเป็นดอกเห็ด แค่มองปราดเดียวก็รู้ระดับพลังปราณของเจ้าของร้านแล้ว หมอนี่เป็นแค่ขั้นคลั่งยุทธการ จะกลัวอะไรกันนักหนา เจ้าเองเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นนักพรตยุทธการ ต้องมาลังเลว่าจะเข้าหรือไม่เข้าร้านด้วยรึ” เหลียนฟู่คิด

ปู้ฟางมองแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนหันไปมองขันที… ผู้นั้น

“หา… ขันทีรึ” ปู้ฟางคิดพลางกะพริบตาปริบ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นขันทีตัวเป็นๆ “น่าสนใจดี”

“จะเข้าร้านก็ได้ แต่ห้ามสู้กันหรือก่อเรื่องเป็นอันขาด มิเช่นนั้นคงรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ปู้ฟางพูดเรียบๆ

แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงขมวดคิ้ว หากเข้าไปแล้วทำอะไรไม่ได้จะจับเซียวเยวี่ยได้อย่างไรกัน แม้เซียวเยวี่ยจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ใช่ว่าจะจับกันได้ง่ายๆ เพราะหมอนี่ต้องใช้กลเม็ดอะไรในการพยายามเอาตัวรอดอย่างแน่นอน

“ให้ตายเถิด! แค่เพราะว่าพวกเราสุภาพกับเจ้านิดหน่อย ก็คิดไปแล้วรึว่าตนเองช่างยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเสียเต็มประดา… เป็นแค่พวกระดับสามแต่กลับทำตัวจองหองราวมีปราณระดับแปดขั้นเทพแห่งสงคราม ตายๆๆ ข้าละกลัวจริงๆ”

ก่อนที่เซียวเหมิงจะทันได้ตอบ เหลียนฟู่ก็เยาะเย้ยขึ้นมาก่อน เขาจีบมือชี้ไปที่ปู้ฟาง ยกอีกมือมาค้ำไว้ใต้คาง

ทันใดนั้นขนทั่วร่างกายของปู้ฟางก็ลุกซู่… ชายหนุ่มคิด “สวรรค์ช่วย… พี่ชาย ไม่เห็นจะต้องรุนแรงเลย เรามาคุยกันดีๆ ไม่ดีกว่ารึ”

ขวับ ขวับ ขวับ!

ขณะที่ทั้งสามกำลังเจรจากันอยู่ ร่างสองสามร่างก็ปรากฏตัวขึ้นในตรอก

เมื่อร่ำลากันเสร็จ เด็กหญิงก็รีบวิ่งไปยืนข้างโอวหยางซงเหิงทันที

“พับผ่าสิ! ใครก็ได้! เข้าไปจับไอ้พวกชั่วจากสำนักสามานย์นั่นออกมาที!” ทันทีที่โอวหยางเสี่ยวอี้มายืนข้างตนเรียบร้อย โอวหยางซงเหิงก็ประกาศกร้าวออกมา ความอ่อนโยนถูกโยนปลิวหายวับไปในอากาศอีกครั้ง เขายกมือขึ้นท้าวสะเอว พลางตะโกนออกคำสั่งด้วยความโกรธเกรี้ยว มือชี้ไปที่ร้านอาหารตรงหน้า

สีหน้าของแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงพลันเปลี่ยนไป

เหลียนฟู่ยิ้มบาง พร้อมจีบมือ

เมื่อได้รับคำสั่งจากแม่ทัพของตน ทหารห้านายในอาณัติของโอวหยางซงเหิงที่มีปราณขั้นราชันยุทธการก็ตะโกนกร้าวออกมา แล้วพุ่งเข้าใส่ร้านตรงหน้าทันที เป้าหมายของพวกเขาคือการจับเซียวเยวี่ยและหุนเชียนต้วนให้จงได้!

ใบหน้าของเซียวเยวี่ยซีดขาว แต่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่ขณะมองทหารห้าคนที่กำลังพุ่งเข้ามา

ตอนนั้นเองร่างใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่หน้าร้าน ดวงตาเป็นประกายกะพริบแสงวาบ

ผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนชะงัก แต่ก็ยังเรียกพลังปราณเที่ยงแท้ของตนออกมา เล็งไปยังหุ่นเชิดจักรกลที่ขวางทางอยู่

เกิดเสียงดังโครม ตามมาด้วยร่างของผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนที่ปลิวไปด้านหลัง ร่างกระแทกปักลงบนพื้น กลิ้งหลุนๆ สองสามทีก่อนแน่นิ่งไป

“ข้าบอกแล้วมิใช่รึ จะเข้าร้านก็เข้ามา แต่อย่าก่อเรื่อง…” ปู้ฟางกอดอกพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คิดว่าข้าล้อเล่นหรืออย่างไร”

ตอนนั้นเองผู้คนรอบร้านก็สูดลมเย็นเข้าปอดลึก พลางคิดเหมือนกันว่า “เพียงฝ่ามือเดียวก็จัดการผู้ฝึกตนขั้นราชันยุทธการห้าคนได้ราบคาบ ไอ้หุ่นเชิดนี่มันอะไรกัน! ไอ้หนุ่มนี่… มันเป็นใครกัน!”

ใบหน้าของหุนเชียนต้วนแข็งทื่อ ส่วนเซียวเยวี่ยยังคงยิ้มกริ่ม

ทันใดนั้นปู้ฟางก็หันหน้ามามองเซียวเยวี่ย แล้วพูดเสียงตายด้าน “ข้าเกลียดการโดนผู้อื่นหลอกใช้เป็นที่สุด ดังนั้นอย่าสะเออะยิ้มโดยเด็ดขาด… หากข้าเห็นเจ้าแล้วไม่สบายลูกตา ข้าจะจับเจ้าโยนออกจากร้านไปเสีย”

สีหน้าของเซียวเยวี่ยพลันแข็งทื่อตามอาชญากรร่วมชะตากรรมทันที…

…………………………..

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD