พลังปราณจากมีดทำครัวกระดูกมังกรทองกระเพื่อมออกมาเป็นวงกว้าง เข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ทำให้อสูรเวทพากันหมอบลงกับพื้น อสูรที่มีพลังปราณต่ำกว่าระดับห้าต่างพากันตัวสั่นสะท้านด้วยอำนาจของพลังกดดันนั้น
อสูรเวทเป็นสิ่งมีชีวิตที่ให้ความสำคัญกับลำดับขั้นในห่วงโซ่อาหารมาก พวกมันเคารพบูชาผู้ที่แข็งแกร่งกว่าและเกรงกลัวสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยเช่นกัน พลังกดดันของสิ่งมีชีวิตที่ลำดับขั้นสูงกว่ามีอิทธิพลต่ออสูรที่มีปราณขั้นต่ำกว่าอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงแบ่งอาณาเขตกันอย่างเป็นสัดเป็นส่วนภายในดินแดนป่ารกชัฏ
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ดินแดนแห่งนี้แบ่งออกเป็นวงแหวนชั้นนอก วงแหวนชั้นกลาง และวงแหวนชั้นในด้วยเช่นกัน
พลังปราณของเหล่ามังกรถูกกักเก็บอยู่ในมีดทำครัวกระดูกมังกรทอง เผ่าพันธุ์มังกรจัดเป็นส่วนบนของห่วงโซ่อาหารอสูรเวทตลอดมา พวกมันถือเป็นอสูรเวทชั้นสูงและเป็นชนชั้นปกครองของอสูรเวทน้อยใหญ่ มีอำนาจสยบอสูรเวทได้ทุกชนิด
ด้วยเหตุนี้เมื่อปู้ฟางยกมีดทำครัวกระดูกมังกรทองขึ้นสูง และส่งพลังปราณของตนเองเข้าไปภายในเพื่อปลดปล่อยร่างจริงของมีดออกมา แสงสีทองเจิดจ้าผนวกกับอำนาจกดดันแสนยิ่งใหญ่ของมังกร ก็เพียงพอที่จะทำให้อสูรเวทน้อยใหญ่ภายในหุบเขาปักษาเพลิงพ่ายต้องหมอบราบลงกับพื้นอย่างยอมจำนน แม้แต่วานรปราณและวัวมังกรพเนจรยังต้องสยบ
ลมพายุกรรโชกพัดกระจายออกจากตัวปู้ฟางที่เป็นศูนย์กลาง ทำให้เส้นผมและเสื้อผ้าของเขาโบกสะบัด ชายหนุ่มถือมีดทำครัวกระดูกมังกรทองเอาไว้ในมือ เชิดหน้าขึ้น กวาดตามองเหล่าอสูรเวทน้อยใหญ่รอบกายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
แม้วัวมังกรพเนจรจะเป็นอสูรเวทระดับเจ็ด แต่อำนาจกดดันของมีดทำครัวกระดูกมังกรทองนั้นส่งผลรุนแรงกับมันมากกว่าอสูรเวทชนิดอื่น เนื่องจากภายในกายของมันมีโลหิตของมังกรไหลเวียนอยู่ เมื่ออยู่เบื้องหน้าอำนาจของเผ่าพันธุ์มังกร ร่างกายของมันที่หมอบอยู่กับพื้นจึงสั่นเทิ้ม
ก่อนหน้านี้ถังอิ่นหลับตาปี๋ด้วยความสิ้นหวัง แต่เมื่อสัมผัสได้ว่าบรรยากาศรอบกายสงบลง แรงสั่นสะเทือนของอสูรเวทหยุดชะงักไป เขาจึงเปิดตาขึ้นด้วยความตกใจ แล้วก็ต้องเห็นภาพที่ตัวเขาจะไม่มีวันลืมเลือนไปตลอดชีวิต
สีหน้าหวาดกลัวของลู่เซียวเซียวก็ดูประหลาดใจเช่นกัน ใบหน้าของนางยังมีคราบน้ำตาอยู่ นางอ้าปากหวอจ้องมองปู้ฟางด้วยสายตาจับต้นชนปลายไม่ถูก ชายหนุ่มยืนห่างออกไปตรงหน้า ในมือถือมีดทำครัวสีทองเล่มยักษ์
พื้นที่รอบกายพวกเขาเต็มไปด้วยอสูรเวทที่หมอบราบลงกับพื้น…
“นี่มัน… เกิดอะไรขึ้นกัน ศิษย์พี่…” ถังอิ่นปากแห้งผาก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขากำลังมองดูอะไรอยู่
แม้แต่อสูรเวทระดับเจ็ดทั้งสองตัวยังต้องหมอบราบยอมจำนนให้ศิษย์พี่ผู้นี้ เขา… แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นเชียวหรือ!
เพียงแค่พลังกดดันของเขาก็สามารถทำให้ฝูงอสูรร้ายยอมแพ้ได้ ถ้าเช่นนั้นแล้ว พลังที่แท้จริงของศิษย์พี่ผู้นี้จะเป็นอย่างไรกันแน่
ถังอิ่นรู้สึกตื่นเต้นตกใจมากขึ้นกว่าเดิม ชายหนุ่มรู้สึกว่าความลึกลับเก่งกาจยากหยั่งถึงของปู้ฟางนั้นน่าประทับใจกว่าเจ้าสำนักของเขาด้วยซ้ำไป… อย่างน้อยเจ้าสำนักของเขาก็ทำให้อสูรเวทยอมหมอบลงกับพื้นอย่างสิ้นท่าเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน
ในเสี้ยวลมหายใจนั้นเอง ปู้ฟางที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ ก็ดูราวกับเป็นผู้ฝึกตนระดับแปดขั้นเทพแห่งสงครามในสายตาของชายหนุ่มเลยทีเดียว
ปู้ฟางพาดมีดทำครัวไว้บนบ่า สายตามองไปที่ถังอิ่นผู้มีสีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เขามองชายหนุ่มในชุดเขียวด้วยสายตางุนงง “พวกเจ้าไม่หนีรึ”
“อ๋า!” ถังอิ่นตอบด้วยสีหน้าเหมือนตกอยู่ในภวังค์
“หากข้าเป็นเจ้า ข้าจะรีบวิ่งหนีโดยไม่หันหลังกลับมามองเลยทีเดียว ข้าจะวิ่งไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้” ปู้ฟางพูดหน้าตาเฉย
ถังอิ่นสูดเอาลมเย็นเข้าปอด เขารู้แล้วว่าปู้ฟางต้องการจะสื่ออะไร ศิษย์พี่ผู้นี้กำลังเปิดทางให้พวกเขาหนีไป! มิเช่นนั้นด้วยพลังของอีกฝ่าย คงพุ่งเข้าสังหารอสูรเวทเหล่านั้นไปแล้ว! แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลพวกเขาทั้งสองคนกันเล่า!
ชายหนุ่มรู้สึกตื้นตันขึ้นในใจทันที!
ถังอิ่นกัดฟันแล้วหันไปช่วยให้ลู่เซียวเซียวลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มหันมาโค้งคำนับปู้ฟางจากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ศิษย์พี่ ข้าคงไม่มีวันตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ในวันนี้ได้ ศิษย์พี่… โปรดรักษาตัวด้วยนะขอรับ!”
“เอาล่ะ พวกเจ้ารีบไปเสีย อ้อ แล้วก็อย่าลืมแวะมาที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางที่จักรวรรดิวายุแผ่วบ้างถ้ามีเวลา อาหารที่ร้านอร่อยมาก แถมราคาก็ถูกมากอีกด้วย” ปู้ฟางพูดหน้าตาย
ถังอิ่นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าอย่างจริงใจ และกำลังจะลากลู่เซียวเซียวจากไปพร้อมกัน
“เดี๋ยว! พี่… พี่สอง แล้วสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงเล่า!” ลู่เซียวเซียวดูเหมือนจะเพิ่งหายจากอาการตกใจ เมื่อเด็กหญิงเห็นว่าถังอิ่นกำลังลากนางให้หนีไปด้วยกัน นางก็พูดขึ้นมาอย่างกระวนกระวาย
“เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงอีกรึ อยากตายหรืออย่างไรกัน” ถังอิ่นบันดาลโทสะ! ศิษย์พี่อุตส่าห์เปิดทางให้พวกเขาหนี แต่ศิษย์น้องหญิงผู้นี้กลับยังคิดเรื่องสมุนไพรโลหิตปักษาเพลิงอยู่อีก! นางนี่ช่าง… ไร้สติโดยสิ้นเชิงจริงๆ!
ในตอนนั้นเองที่ลู่เซียวเซียวเรียกสติกลับเข้าร่างตนเองได้ ร่างของนางสั่นไปทั้งตัว สายตาเหลียวไปมองปู้ฟางผู้ลึกลับที่ยืนทำสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตรงหน้า จากนั้นนางก็ไม่พูดอะไรอีก และตามถังอิ่นไปแต่โดยดี
เมื่อปู้ฟางมองสองร่างวิ่งพ้นออกจากอาณาเขตของหุบเขาปักษาเพลิงพ่ายไปเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันกลับมามองฝูงอสูรเวทเบื้องหน้าตนอีกครั้ง พลังปราณเที่ยงแท้ในกายที่ใช้รักษาอำนาจกดดันของมีดทำครัวกระดูกมังกรทองกำลังค่อยๆ หมดลง…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD