ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เบิกกว้าง นางมองเด็กชายหน้าตายโสโอหังตรงหน้า จำได้ทันทีว่าเขาคือทายาทผู้โด่งดังของขุนศึกคนสำคัญ หมอนี่มาทำอะไรที่นี่กันนะ
หยางเฉินเป็นบุตรชายคนที่สี่ของขุนศึกผู้สยบประจิม หยางโม่ ทุกครั้งที่มีคนพูดถึงตระกูลหยาง เรื่องราวการสละชีพเพื่อชาติเป็นที่รู้และซาบซึ้งใจในหมู่ประชาชนเสมอ หยางโม่หัวหน้าตระกูลหยางนั้นมีบุตรชายสี่คนด้วยกัน บุตรชายสามคนแรกมีความสามารถล้นเหลือ และเคยเป็นผู้มีอิทธิพลในนครหลวงมาก่อน แต่น่าเศร้าที่ทั้งสามต้องมาจบชีวิตลงในสนามรบขณะทำสงครามกับสำนักนอกอาณาจักร สุดท้ายแล้วจึงเหลือเพียงหยางเฉินเท่านั้นที่เป็นบุตรชายคนเดียวในตระกูล
ด้วยเหตุนี้ตระกูลหยางจึงหวงแหนหยางเฉินเป็นอันมาก ในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งขุนศึกอันดับหนึ่ง จะมีสิ่งใดผิดพลาดไปมิได้เป็นอันขาด
“เด็กบ้าอย่างเจ้ามาทำอะไรที่นี่กัน” หยางเฉินเย่อหยิ่งจองหองเป็นที่สุด เขาตั้งใจฝึกปราณเสมอโดยมีความเก่งกาจของบรรดาพี่ชายเป็นจุดหมายปลายทาง ตอนนี้เขาบรรลุปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการเรียบร้อย แน่นอนว่าความสามารถด้านพลังปราณของเขาจัดว่าเป็นลำดับต้นๆ ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน
โอวหยางเสี่ยวอี้มองใบหน้าละอ่อนที่แสนจองหองของหยางเฉิน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกลอกตาบน นางตอบพร้อมทำปากยื่นปากยาว “เจ้าคิดว่าข้าอยากมานอนพักร้อนตากอากาศที่นี่รึ ที่นี่ไม่มีแม้แต่อาหารอร่อยให้กินด้วยซ้ำ… นรกบนดินดีๆ นี่เอง!”
หยางเฉินไม่เข้าใจสิ่งที่โอวหยางเสี่ยวอี้พูดแม้แต่น้อย ถึงพวกเขาจะโดนจับตัวมา แต่คนที่ลักพาตัวพวกเขามาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกเขาแย่แต่อย่างใด แถมยังนำอาหารมาให้ครบทั้งสามมือและอร่อยทุกจานเสียด้วย หยางเฉินกินอย่างเอร็ดอร่อยทุกครั้งเลยทีเดียว
“หากเจ้าตื่นเต้นกับอาหารห่วยๆ แค่นี้ ข้าขอบอกเลยว่าเจ้ายังเห็นโลกมาไม่มากพอ” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดพร้อมเอามือกอดอก สายตามองจานอาหารบนโต๊ะตรงหน้าอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ รวมถึงหยางเฉินที่ริมฝีปากมันเยิ้มเพราะน้ำมันด้วย
“เห็นโลกมาไม่มากพอรึ เด็กกะโหลกกะลาอย่างเจ้าต่างหากที่เห็นโลกมาไม่มากพอ! ข้าไปกินข้าวที่ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์มาหลายต่อหลายรอบแล้ว!” หยางเฉินพึมพำในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยอาหาร
“ร้านปักษาเพลิงนิรันดร์เนี่ยนะ” พอได้ยินชื่อร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ โอวหยางเสี่ยวอี้ก็พ่นลมเยาะแล้วกลอกตาด้วยความเดียดฉันท์
“อะไรกัน นี่เจ้ายังดูถูกร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ด้วยรึ” ดวงตาของหยางเฉินเบิกกว้างจับจ้องไปที่เด็กหญิงตรงหน้า
โอวหยางเสี่ยวอี้เม้มปาก “เทียบกับอาหารที่นายท่านตัวเหม็นทำแล้ว อาหารจากร้านปักษาเพลิงนิรันดร์ก็ไม่ต่างอะไรกับขี้ตะกอนก้นขวดหรอก เจ้าไม่เคยกินอาหารฝีมือเถ้าแก่ปู้ แต่กลับกล้าโอ้อวดว่าตนเองเห็นโลกมามากแล้วเช่นนั้นรึ… ข้าขอถามหน่อยเถิด เจ้าเคยกินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาที่เพิ่มพลังปราณเที่ยงแท้ในกายได้หรือไม่ เจ้าเคยกินซี่โครงเปรี้ยวหวานที่แค่ได้กลิ่นก็ทำให้รู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เคยกินข้าวผัดไข่ที่ระยิบระยับเป็นประกายหรือเปล่า”
โอวหยางเสี่ยวอี้โฆษณาสรรพคุณอาหารจากร้านเล็กๆ ของฟางฟางติดกันเป็นชุด ด้วยความที่ทำงานที่ร้านนั้นมานาน นางจึงจำชื่ออาหารได้ทุกจานจนพูดออกมาได้ด้วยสัญชาตญาณ
หยางเฉินจ้องหน้าโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ทำท่าท่างน่ารักอย่างอึ้งๆ เขาไม่เคยได้ยินชื่ออาหารเหล่านี้มาก่อนเลย… แต่พวกมันช่างฟังดูน่าสนใจอะไรอย่างนี้ แค่กินข้าวก็สามารถเพิ่มพลังปราณได้แล้วหรือนี่
“ฮึ! น่าทึ่งใช่ไหมเล่า ข้าน่ะเคยกินมาหมดแล้ว!” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยสีหน้าอวดดี
หยางเฉินใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก เด็กชายเคี้ยวตุ้ยๆ แล้วเอ่ย “ฟังดูดีนี่ ร้านอยู่ที่ไหน เจ้าจะพาข้าไปได้เมื่อไหร่เล่า”
เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้ได้ยินดังนั้น ดวงตากลมโตของนางก็เหลือบไปข้างๆ แวบหนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็เปื้อนยิ้ม “ไปตอนนี้เลยดีกว่า อาหารที่นี่ไม่ถูกปากข้าเลย แถมข้าก็ไม่ได้กินอะไรมาเป็นวันแล้วด้วย!”
“ตอนนี้เลยรึ” หยางเฉินอึ้ง ตอนนี้ทั้งสองคนถูกจับเป็นตัวประกันอยู่ จะออกไปได้อย่างไรกันเล่า
“ไอ้ยามเฝ้าประตูนั่นมีปราณแค่ระดับห้าเอง พลังของพวกเราสองคนจัดการมันได้สบายหากโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว จากนั้นเราก็จะหนีไปได้ฉลุย!” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดด้วยดวงตาเป็นประกาย
หยางเฉินเลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้น
ในตอนนั้นเอง โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ล้มตึงลงกับพื้นแล้วเริ่มดิ้นพราดๆ โหวกเหวกโวยวาย นางเปลี่ยนเป็นเล่นละครโดยฉับพลันจนหยางเฉินเองยังสะดุ้งไปพักหนึ่ง
เมื่อคนเฝ้าประตูได้ยินเสียงโวยวายในห้อง เขาก็เดินเข้ามาแล้วเห็นโอวหยางเสี่ยวอี้กำลังดิ้นเร่าๆ อยู่บนพื้น
“เกิดอะไรขึ้น หยุดโหวกเหวกโวยวายเดี๋ยวนี้นะ!” ผู้คุมมุ่นคิ้วเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ เขาดูรำคาญมากที่เด็กสองคนนี้ไม่สงบเสงี่ยมเจียมตัว
“นางบอกว่าอาหารที่นี่รสชาติห่วยแตก แถมยังบอกว่าพ่อครัวของเจ้าเป็นหมู” หยางเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของหยางเฉิน คนเฝ้าประตูก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หลังจากที่เดินไปลองชิมอาหารบนโต๊ะดู เขาก็เอ่ยขึ้น “ก็อร่อยดีนี่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก : GOURMET OF ANOTHER WORLD