“เสี่ยพงษ์” เพียงชื่อที่เอ่ยก็ทำให้หญิงสาวเข้าใจได้ไม่ยาก เธอเคยเผชิญหน้ากับชายคนนี้มาแล้ว ความมีอำนาจเขาสามารถชี้อะไรที่อยากได้แค่ในพริบตาเขาก็ได้มาครอง เธอก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เสี่ยพงษ์เคยเอ่ยกับดนุพรว่าอยากจะได้มาเป็นเมียข้างกาย แต่หญิงสาวตอบปฏิเสธทันที ทำให้ลูกน้องของเสี่ยสั่งปิดบาร์อยู่หลายวัน เดือดร้อนคนมีอำนาจที่ดนุพรรู้จักต้องไกล่เกลี่ยให้โดยแลกกับสาวสวยในบาร์ถึงสองคน
“ก็ได้ค่ะ...แต่อาโด่งต้องไปหาพิตต้าบ่อยๆ นะคะ พิตต้าคิดถึงอา” หญิงสาวโน้มตัวโอบกอดคนบอบช้ำ มือเรียวลูบศีรษะอย่างเอ็นดู
“ได้ อาจะไปหาพิตต้า แต่จะแอบไปนะ ไม่อยากให้เจ้าหนี้เห็น อากลัวโดนทวงหนี้” ดนุพรทำเสียงทะเล้นเพื่อให้หลานสาวคลายกังวล
หลังจากที่หลานสาวกลับไปแล้ว คนบาดเจ็บก็ต้องยันตัวเองให้ลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง เมื่อเสียงที่เคาะนั้นดังติดต่อกันหลายครั้ง แขนที่เจ็บปวดค่อยๆเปิดประตู เผยให้เห็นร่างสูงกำยำของคนที่หล่อนไม่อยากให้มาเห็นสภาพในตอนนี้
“ยังไม่ไปอีกเหรอพิตต้า” ดนุพรแอบโวยวายเมื่อคิดว่าหลานสาวย้อนกลับมาหาหล่อนอีกครั้ง แต่คนที่อยู่หน้าประตูกลับไม่ใช่ ใบหน้าคมเข้มดุดันแฝงความกังวลมองหล่อนไม่ลดละ
“คุณธีร์”
“เกิดอะไรขึ้น โด่ง คุณเป็นอะไร” ร่างหนารีบพยุงคนจวนเจียนจะล้มไปนั่งบนที่นอนนุ่ม
“คุณมาทำไมคะ”
“ผมเป็นห่วง เห็นคุณหายไปหลายวัน ติดต่อก็ไม่ได้”
“โด่งไม่เป็นอะไรค่ะ”
“แบบนี้ยังว่าไม่เป็นอะไรอีกเหรอ” สายตาเป็นห่วงจับจ้องใบหน้าเขียวช้ำ มือหนาเชยคางเรียวเพื่อให้เห็นดวงตาของคนที่หลุบหลบ ชายหนุ่มขมวดคิ้วหนาเขาสำรวจบาดแผลบนใบหน้านั้นอย่างปวดใจ
“ขอบคุณค่ะ...แต่คุณไม่ควรมาที่นี่”
“ทำไมครับ ถ้าผมไม่มาคงไม่รู้ว่าคุณบาดเจ็บขนาดนี้”
“ที่นี่ไม่เหมาะกับคุณค่ะ” เสียงสั่นตอบอย่างไม่มีเยื่อใย
“โด่ง คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ คุณจะหลบหน้าผมแบบนี้เพื่ออะไร”
“คุณต้องดูแลยายพิตต้าค่ะ...โด่งไม่อยากให้ใครเห็นคุณมาที่นี่ ถ้าเรื่องรู้ถึงพิตต้าเดี๋ยวแกจะไม่สบายใจ”
“คุณเอาแต่ห่วงคนอื่น...ดูสิ เจ็บขนาดนี้ยังไม่คิดจะห่วงตัวเองเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ...โด่งทนได้อยู่แล้ว เจ็บแค่นี้เอง” ดนุพรพยายามสะกดกั้นความเจ็บปวดเอาไว้
“ผมขอร้องล่ะ...อย่างน้อยให้ผมได้รับรู้บ้างว่าคุณเป็นยังไง อยู่ยังไง”
“อย่าดีกว่าค่ะ...โด่งเกรงใจ ที่ผ่านมาโด่งก็รบกวนคุณธีร์มากแล้วนะคะ” มือหนาเลื่อนมาจับไหล่ ประคองร่างนั้นให้หันมาเผชิญกับเขา สายตาที่จ้องมองพยายามจะสื่อประสานให้หล่อนเข้าใจว่าเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน ริมฝีปากหนาสัมผัสหน้าผากเนียนเบาๆ
“ผมเป็นห่วงคุณมาก แล้วผมก็จะไม่ยอมเด็ดขาดที่จะทิ้งคุณไว้แบบนี้ ได้โปรดอย่าผลักไส้ผู้ชายอย่างผมเลย”
“คุณธีร์” เขาพรมจูบบนปากที่เขียวช้ำเบาที่สุด ความอบอุ่นที่แทรกซึมผ่านทำให้หล่อนยิ้มบางๆให้เขา
“โด่ง ไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่ะ คุณธีร์อย่ากังวลเลย”
“ผมจะไว้ใจได้ยังไงกัน ดูสิ คุณบาดเจ็บมากขนาดนี้”
“โด่งหาเรื่องเองค่ะ”
“บอกผมมาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้น” ดนุพรอึกอักไม่กล้าที่จะบอกชายหนุ่ม แต่ยิ่งเงียบเขาก็ยิ่งรบเร้าไม่ยอมไปไหน แถมยังเอ่ยจะเฝ้าหล่อนทั้งคืนอีก
“ก็ได้ค่ะ...โด่งถูกพวกทวงหนี้ซ้อมเอา”
“ทวงหนี้...คุณเป็นหนี้อะไรอีกครับ ทำไมไม่บอกผม”
“โด่งเกรงใจคุณ ไม่ต้องช่วยโด่งแล้วค่ะ แค่ที่คุณยอมดูแลพิตต้า โด่งก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว” ธีร์ถอนหายใจเฮือก จะไม่ให้ห่วงได้ยังไง เขาห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยจริงๆ
“ถ้าคุณไม่อยากให้ผมช่วย...แล้วไอ้พวกนั้นมันกลับมาอีกจะทำยังไง”
“ไม่รู้ค่ะ”
“โด่ง” เขากลุ้มใจไม่แพ้หล่อนเลย
“เอาเป็นว่า ผมจะให้ลูกน้องคอยเฝ้าคุณเอาไว้...อย่าห้ามเลย ส่วนเรื่องหนี้ ผมจะเคลียร์ให้เอง”
“ไม่นะคะ พอแล้วค่ะ แค่นี้โด่งก็ไม่มีปัญญาชดใช้แล้วค่ะ”
“ไม่ต้องใช้เลยก็ได้ ผมไม่ว่าอะไรคุณอยู่แล้ว แค่คุณปลอดภัยผมก็ดีใจแล้วนะครับ”
“ทำไมคุณช่างดีกับโด่งแบบนี้ล่ะคะธีร์”
“คุณรู้ว่าเพราะอะไร...ผมจะทำตามที่สัญญาเอาไว้ ดูแลพิตต้าแทนคุณ แต่สิ่งที่ไม่ได้สัญญาอย่างคุณผมก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำอันตรายเด็ดขาด” ดนุพรซาบซึ้งในน้ำใจของชายหนุ่ม หล่อนโผกอดร่างหนาเอาไว้แน่น เขาก็กอดตอบเช่นกัน หัวใจทั้งสองคนอยากจะเชื่อมต่อกันมากแต่สังคมนี้คงไม่เว้นที่ว่างให้หล่อนได้อยู่เคียงข้างเขาเป็นแน่ ดนุพรรู้ตัวดี หล่อนจึงพยายามหักห้ามใจจนถึงทุกวันนี้
“ทานอะไรหรือยัง”
“ยังค่ะ”
“เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้นะ รอแป๊บเดียว”
“คะ คุณธีร์” ไม่ทันที่ดนุพรจะร้องห้ามคนอาสาก็หายออกไปจากห้องแล้ว หล่อนถอนหายใจเป็นสิบครั้งกังวลกับความรู้สึกของตัวเอง ยิ่งใกล้ชิดชายหนุ่มมากเท่าไหร่หล่อนก็หวั่นไหวไม่แพ้เขาเลย แต่ต้องพยายามฝืนหักห้ามใจไม่ให้คิดเลยเถิดไปไกล
“มาแล้วครับ ข้าวต้มร้อนๆ”
“อืม หอมจังเลยค่ะ”
“มาๆ เดี๋ยวผมป้อน” ธีร์ดูแลคนเจ็บอย่างดี มือหนาตักข้าวต้มในชามสวยขึ้นเป่าไล่ความร้อนก่อนจะค่อยๆยื่นให้ดนุพร ดวงตาที่เขียวมองตอบเขาอย่างซาบซึ้งน้ำใจ
“ให้โด่งทานเองเถอะค่ะ แค่นี้ก็รบกวนคุณธีร์มากแล้ว”
“ไม่เลยครับ ผมเต็มใจ”
“ค่อยๆ ทานนะ” หล่อนทนความอ่อนโยนนั้นไม่ไหวต้องรับเอาไว้ด้วยหัวใจที่พองโต ทั้งๆ ที่ห้ามใจมาตั้งนานไม่ให้ใจอ่อนกับเขาง่ายๆ มันไม่เป็นผลดีระหว่างหล่อนกับเขาเลย และยิ่งทำให้เขาตัดใจจากหล่อนไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมใกล้ชิดกันที่ไร ร่างกายและหัวใจมันก็ต่อต้านคำพูดของตัวเองทุกที
ธัญญ์ตั้งอกตั้งใจกับการออกแบบบาร์เหล้า เขาทุ่มเทเวลาทั้งหมดให้งานนี้ โดยอยู่กินที่บาร์เป็นส่วนใหญ่ ตอนนี้ผนังที่เขาออกแบบเองทั้งหมดเกือบเสร็จแล้ว ด้านหนึ่งสีแดงร้อนแรง อีกด้านเป็นกระจกหนาสีขาวเพ้นท์ลายผู้หญิงสาวโพสท่ายั่วยวน มุมตรงกลางกั้นขอบจากพื้นเล็กน้อย มีกล่องไฟตั้งหันส่องเข้าด้านในเพื่อให้เห็นใบหน้าของคนที่ขึ้นไปโชว์บนฟลอได้ถนัด ชายหนุ่มยืนมององค์ประกอบทุกส่วนอย่างละเอียด ฝีมือที่ออกยากที่จะหาใครมาเทียบ ผิดกับงานก่อนหน้านี้ที่ลูกค้าต่างพากันส่ายหน้าไม่ชอบใจไอเดียแหวกแนวหลุดโลกของเขา
“เวทีเหรอคะ” เสียงใสแฝงความเศร้าเอ่ยถาม
“อืม ชอบไหม”
“ค่ะ”
“วันนี้จะให้ผมเปลี่ยนอะไรอีกไหม”
“ไม่ค่ะ” ธัญญ์มองหญิงสาวอย่างพิจารณา วันนี้เธอดูแปลกไปเงียบขรึมไม่ร่าเริงเหมือนเดิม
“เป็นอะไรไปล่ะ หายไปวันเดียวกลับมาเหมือนคนโดนสูบวิญญาณ” ชายหนุ่มพยายามยียวนให้เธอโกรธ
“ไม่ตลก”
“ว้า วันนี้ไม่มีอารมณ์ต่อปากต่อคำกับผมเหรอ” พิยะตาทรุดนั่งบนโซฟาตัวเก่ากอดอกทอดถอนหายใจ
“งั้นคงอกหักจากหนุ่มๆ มาล่ะสิ...เฮ้อ ผู้ชายสมัยนี้ก็เลือกนะคุณ”
“เอ๊ะคุณธัญญ์ ฉันไม่มีอารมณ์เล่นกับคุณนะ” เมื่อรู้ว่าเธอคงมีอะไรไม่สบายใจแน่ๆ เขาก็หยุดหยอกล้อแล้วเดินมานั่งข้างๆหญิงสาว ดวงตาคมจ้องมองใบหน้าซีดขาว
“มีอะไรไม่สบายใจเหรอ”
“เปล่า”
“ไม่จริงหรอก ดูหน้าสิ ซอมบี้ชัดๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทัณฑ์นางโลม