สามวันหลังจากที่ธัญญ์ขับรถประสบอุบัติเหตุ เขาถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยมีหญิงสาวร่างบางคอยวิ่งตามดูอาการอย่างห่วงใย ชายหนุ่มพ้นขีดอันตรายแล้วก็จริง แต่เขายังไม่รู้สึกตัวเลยแถมยังมีเศษกระจกที่กระเด็นเข้าตาถึงหมอจะเอาออกแล้ว ก็ยังไม่อาจเดาได้ว่าเขาจะมีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า พิยะตาก็คอยนั่งเฝ้าไม่ห่างคนป่วยเลย หญิงสาวซูบเซียวลงไปมาก เธอนิ่งเงียบหลังออกจากห้องตรวจ ร่างกายของเธอเป็นปกติทุกอย่าง แต่ที่มีเพิ่มเติมคือตอนนี้ร่างบางไม่ได้ตัวคนเดียวแล้ว หนึ่งชีวิตน้อยๆ ที่กำลังอยากจะลืมตาดูโลกอยู่ในท้องของเธอ หญิงสาวตั้งใจจะปิดทุกอย่างไม่ให้ใครรู้แม้แต่คนที่เป็นคนทำให้เธอท้อง
ร่างหนากำยำในชุดคนไข้สีฟ้าจางนอนนิ่งอยู่บนเตียงเหล็ก สายน้ำเกลือที่ห้อยอยู่ข้างๆ คอยปล่อยน้ำใสๆ เข้าไปตามเส้นเลือด มือซีดหนาขยับเบาๆ ก่อนที่ปลายนิ้วจะเริ่มยกขึ้น
“แค๊ก แค๊ก” เสียงไอของคนป่วยช่วยปลุกให้คนข้างตัวสะดุ้งตื่น ดวงตาที่เพิ่งเปิดรับแสงหรี่ลงก่อนจะหันมองชายหนุ่ม ดวงตาและปากแห้งซีดเป็นขุย เขากลืนน้ำลายอย่างฝืนลำคอ
“น้ำ ขอน้ำหน่อย” ไม่กี่อึกในลำคอหนาก็ถูกช้อนขึ้นเพื่อให้ดื่มน้ำได้สะดวก
“ปวดหัวเหลือเกิน”
“เดี๋ยวพิตต้าไปตามหมอให้นะคะ” ใบหน้าคมหันมาทางต้นเสียงทันที เขาคว้าข้อมือที่กำลังเลื่อนออกจากตัวเขา ดวงตาสั่นไหวบ่งบอกความโหยหา
“พิตต้า คุณมาทำอะไรที่นี่ โอ๊ย” เขาไม่ได้อยากถามคำถามนี้เลยซักนิด แต่มันก็หลุดออกไปแล้ว ชายหนุ่มรีบยกมือกุมศีรษะตัวเองทันทีที่พูดจบ เขารู้สึกปวดหัวราวกับมีใครเอาอะไรแข็งๆ มาทุบอย่างแรง
“ปวดมากไหมคะ...เดี๋ยวจะไปตามหมอให้คะ” เมื่อเห็นชายหนุ่มมีอาการปวดหัวจนเกร็งตัวกุมขมับ หญิงสาวรีบวิ่งออกไปตามหมอมาดูอาการ ตั้งแต่ชายหนุ่มเขาโรงพยาบาลเธอก็รับอาสาเฝ้าไข้ตลอดโดยให้เหตุผลกับคนอื่นว่าเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ เธอต้องมีส่วนรับผิดชอบอะไรบ้าง
“เป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ” พิยะตาตั้งต้นถามอาการเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มสงบลงแล้ว
“คงเพราะศีรษะกระแทกแรงเลยมีอาการปวดบ้าง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ส่วนสายตาหมอต้องพาคนไข้ไปตรวจอีกแผนกนะครับ”
“ค่ะ...รบกวนคุณด้วยนะคะ”
“เป็นหน้าที่ของหมอครับ” หญิงสาวยิ้มให้คนใจดีที่กำลังเดินออกไป ก่อนจะหันมามองใบหน้าชายอีกคน เขาหันมองเธอแค่เพียงเสี้ยงหน้า จนหญิงสาวย่นคิ้วด้วยความแปลกใจ
“คุณธัญญ์รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ” ชายหนุ่มเอียงใบหน้ารับฟังสิ่งที่เธอถาม แต่เขากลับมองหญิงสาวเพียงหางตาเท่านั้น
“นิดหน่อยขอบคุณนะที่เป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรค่ะ พิตต้ามีส่วนทำให้คุณต้องเจ็บแบบนี้”
“อืม ทำไมวันนี้ท้องฟ้ามันสีเข้มจัง” พิยะตาเบิกตากว้างพร้อมอาปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เธอก็รีบเอามือปิดปากไว้ทัน ความสงสัยผุดขึ้นทันทีทำไมชายหนุ่มถึงพูดแบบนี้ท้องฟ้าด้านนอกแสงแดดเจิดจ้าราวกับว่าจะแผดเผาพื้นดินที่ชุ่มฉ่ำให้แห้งแตกระแหง
“คุณเฝ้าผมทั้งคืนเลยเหรอ” เขาหันมาถามคนกังวลใจ
“สองคืนแล้วค่ะ...คุณธัญญ์สลบไปสองคืน ทุกคนเป็นห่วงแทบแย่”
“รวมทั้งคุณด้วยหรือเปล่า” เสียงแหบพร่าเอ่ยถามด้วยหัวใจระริกสั่นไหว
“ทำไมคะ...ถ้าพิตต้าไม่เป็นห่วงคุณคงไม่มานั่งเฝ้าอยู่แบบนี้หรอกค่ะ” พิยะตาบอกความรู้สึกของเธอพร้อมกับสีหน้าที่แดงระเรื่อ หญิงสาวเหลือบมองอากัปกิริยาของคนป่วยเล็กน้อยก่อนจะหันหลบเลี่ยงสายด้วยความเขินอาย
“พูดให้ผมรู้สึกดีขึ้นใช่ไหม”
“เปล่าค่ะพิตต้าพูดจริงๆ คุณเพิ่งฟื้นอย่างพูดอะไรมากเลยค่ะพักผ่อนก่อนดีกว่า”
“ไม่ได้มันเป็นช่วงเวลาที่ผมควรจะจดจำเอาไว้...ถ้าผมหลับแล้วตื่นขึ้นมาไม่รู้ว่าจะพบเจอสิ่งดีๆ แบบนี้หรือเปล่า อย่าให้ผมทิ้งมันไปเลยนะ” ริมฝีปากเรียวบางสั่นไหว ดวงตาวาววับทอประกายด้วยน้ำตาที่คลอเอ่อ หญิงสาวเข้าใจคำพูดของเขาทั้งหมด เธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันกลัวว่าจะไม่สามารถแสดงความห่วงใยเขาได้อีก
“แต่คุณยังป่วยอยู่ ทำแบบนี้เดี๋ยวจะทรุดหนักนะคะ”
“ก็เพราะป่วยคุณถึงทำดีกับผม...ไม่ใช่เหรอ” ธัญญ์ทิ้งท้ายประโยคเบาๆ เขาหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา มีสักกี่ครั้งที่จะได้พูดจากันดีๆ เขายอมรับว่าตัวเองเริ่มเจ้าอารมณ์ก่อนแต่นั่นเพราะเขาทนไม่ได้ที่เห็นเธออยู่กับชายอื่นแล้วยังแสดงอาการรักใคร่ออกนอกหน้า
“อย่าดื้อสิคะ นอนพักเถอะเดี๋ยวพิตต้าห่มผ้าให้” หญิงสาวดึงผ้าห่มสีขาวขึ้นปิดตัวถึงหน้าอก ชายหนุ่มถือโอกาสเกาะกุมมือเธอเอาไว้ทาบที่หน้าอก
“อย่าทิ้งผมไปนะ”
“คุณธัญญ์...คุณป่วยแบบนี้พิตต้าไม่ทิ้งไปไหนหรอกคะ” รอยยิ้มแห่งความห่วงใยที่เธอส่งให้เขา ทำให้ดวงตาคมค่อยๆ เลื่อนปิดลง แต่เขายังไม่ปล่อยมือนุ่มออกจากอกกลับกุมไว้แน่นขึ้นราวกับกลัวว่าเธอจะหนีหายไป ใบหน้าที่เคยคมเข้มตอนนี้ซีดเซียวลงมาก แต่ความหล่อเหลาโดดเด่นยังไม่เสื่อมคลาย นิ้วเรียวคลอเคลือใบหน้าเขาอย่างเอ็นดู หญิงสาวยิ้มบางๆ เมื่อเห็นเขาเอียงใบหน้าเข้าหามือของเธอ
“รีบๆ หายป่วยนะคะ พิตต้าเป็นห่วงคุณเหลือเกิน”
ความต้องการครอบครองหัวใจและร่างกายของคนที่รักทำให้วราวุฒิร้อนรนกลุ้มใจเป็นอย่างมาก เขาแทบไม่เป็นอันทำงานเอาแต่เดินวนไปเวียนมาครุ่นคิดหาวิธีที่จะได้หัวใจหญิงสาวมาครอง
“เจ้าวุฒิ...ทำอะไรของแก วันๆ เอาแต่เดินไปเดินมางานการไม่ทำ แกรู้ไหมว่าบริษัทเสียแค่ไหน”
“ผมไม่สนหรอกครับพ่อ ทุกวันนี้ผมกลุ้มใจจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
“กลุ้มใจ ฮึ พ่อเตือนแกแล้ว ผู้หญิงมีตั้งมากมายทำไมจะต้องไปยุ่งกับคนที่เค้ากำลังจะแต่งงาน”
“ถ้าผมห้ามใจตัวเองได้ ผมคงไม่มานั่งเป็นทุกข์อยู่แบบนี้หรอกครับพ่อ” วราวุฒิตอบเสียงอ่อยลง เขาพยายามไม่คิดถึงพิยะตาแล้ว แต่มันก็ไม่สำเร็จไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ภาพความสวยงามของหญิงสาวก็ยังคงวนเวียนอยู่ในโสตประสาทของเขาอยู่ดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ทัณฑ์นางโลม