The king of War นิยาย บท 38

บทที่ 38 ดอกไม้ป่ากลิ่นหอมมากจริงๆ

คนที่สามารถทำให้ซูเฉิงอู่กับลั่วปิงเรียกว่าคุณหยางได้นั้น จะไม่มีสถานะได้อย่างไร

ทว่าน่าเสียดายตรงที่หวังเย่นจูนรู้เรื่องนี้ช้าเกินไป 

“คุณหยาง เมื่อครู่ผมทำตัวหยิ่งผยองเกินไป เลยเผลอล่วงเกินคุณเข้า ได้โปรดอภัยให้ด้วยเถอะครับ!” หวังเย่นจูนรีบเข้ามากล่าวทำความเคารพอย่างรวดเร็ว

ผู้ที่รู้จักมองสถานการณ์ นับได้ว่าเป็นคนฉลาด ว่าไปแล้วเขาก็เป็นคนประเภทนี้ เพียงแต่ทุกอย่างเหมือนจะสายเกินไปเสียหน่อย

หยางเฉินมองหวังเย่นจูนด้วยสายตาหยอกล้อแวบหนึ่ง “ผมก็แค่พวกเขยแต่งเข้าที่เอาแต่กินนอนรอความตายไปวันๆ เท่านั้น จะกล้าให้คุณขอโทษได้อย่างไร”

คำพูดนี้ของเขาเต็มไปด้วยร่องรอยของการประชดประชัน ทำให้หวังเย่นจูนทั้งอับอายทั้งโมโห แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงออกมา

ลั่วปิงกับซูเฉิงอู่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนมองตากัน ซูเฉิงอู่ซึ่งกล่าวถ้อยคำตำหนิออกมาทันทีว่า “กล้าที่จะล่วงเกินคุณหยาง ไม่รู้จักตายจริงๆ สินะ ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”

หวังเย่นจูนหน้าเปลี่ยนสีไปทันใด รีบร้อนพูดออกมาว่า “ประธานกรรมการซู เมื่อกี้นี้ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะครับ”

“ประธานกรรมการซูบอกให้แกใส่หัวออกไป ฟังไม่รู้เรื่องหรือยังไง” ลั่วปิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ประธานลั่ว ที่ผมมาเจียงโจวครั้งนี้ก็เพื่อเป็นตัวแทนของฉิงเหอกรุ๊ป ในการเจรจาความร่วมมือกับบริษัทของคุณ...”

หวังเย่นจูนยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกลั่วปิงตัดบททันที “แกไม่ต้องเสียเวลาอีกต่อไปแล้ว มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น นับแต่วันนี้ไปเยี่ยนเฉินกรุ๊ปปฏิเสธที่จะร่วมมือกับฉิงเหอกรุ๊ปในทุกโครงการ!”

“ตระกูลซูของฉันก็เช่นกัน” ซูเฉิงอู่เองก็รีบแสดงท่าทีออกมา

คนหนึ่งคือผู้นำตระกูลซูที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของเจียงโจว อีกคนคือประธานสาขาย่อยแห่งเยี่ยนเฉินกรุ๊ปของลูกค้าตั้งแต่เย็นตูจนถึงเจียงโจว ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนแต่เป็นบุคคลสำคัญที่เป็นตัวแปรใหญ่ของเจียงโจวทั้งสิ้น หากแต่ในเวลานี้พวกเขากลับกล่าวออกมาพร้อมกัน ว่าต้องการปฏิเสธที่จะร่วมมือกับฉิงเหอกรุ๊ป 

สีหน้าของหวังเย่นจูนซีดเทาเหมือนคนตาย ที่เขามาเจียงโจวในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะบรรลุการร่วมมือกับเยี่ยนเฉินกรุ๊ป แล้วเปิดตลาดในเจียงโจว ฉิงเหอกรุ๊ปลงทุนลงแรงไปมากแล้ว ในที่สุดก็ถึงช่วงเวลาอันเหมาะสม ทว่ายังไปไม่ทันถึงบริษัท ก็ได้เจอลั่วปิงเข้าเสียก่อน อีกทั้งยังล่วงเกินเขาไปอย่างมากด้วย

ถ้าหากเบื้องบนของฉิงเหอกรุ๊ปรู้เรื่องนี้เข้า ต่อให้พ่อตาของเขาจะเป็นถึงรองประธานบริษัท ก็ไม่มีทางปล่อยเขาเอาไว้แน่ 

หยางหลิ่วร้อนใจขึ้นมาแล้ว เธอรีบกล่าวทันทีว่า “ประธานลั่วคะ คุณจะพูดจาส่งเดชแบบนี้ไม่ได้นะ เห็นๆ อยู่ว่าตกลงกับพ่อของฉันเอาไว้แล้วว่าจะทำความร่วมมือกับฉินเหอกรุ๊ป อยู่ๆ จะมาเสียใจภายหลังแบบนี้ได้ยังไง “

“พ่อของเธอเป็นใครกัน แล้วฉันไปตกลงความร่วมมือกับพวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่” ลั่วปิงโมโหอย่างมาก

ไม่ใช่ว่าเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ แต่เขาไม่รู้จริงๆ อีกทั้งในเมื่อวันนี้หวังเย่นจูนล่วงเกินหยางเฉินไปแล้ว ต่อให้เขามีความร่วมมือกับอีกฝ่ายจริงๆ ในเวลานี้ก็ไม่สามารถที่จะยอมรับออกไปได้

“คุณพ่อของฉันคือรองประธานของเฉิงเหอกรุ๊ป” ตอนที่หยางหลิ่วพูดถึงพ่อของตนเอง น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงเป็นอย่างมาก

“ก็แค่รองประธานของบริษัทชั้นสอง เก่งกาจขนาดนั้นเชียว”

ซูเฉิงอู่ยกยิ้มเย้ยหยัน กระทั่งสีหน้าก็ยังมืดครึ้มอย่างชัดเจน “ถ้าไม่อยากให้พ่อของเธอต้องเสียตำแหน่งรองประธาน ก็รีบไสหัวไปให้พ้นจากสายตาของฉันเดี๋ยวนี้”

หยางหลิ่วโมโหขึ้นมาทันที ตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ถูกหวังเย่นจูนลากตัวออกมาจากร้านอาหาร

“ทำไมคุณถึงต้องห้ามฉันด้วย” หยางหลิ่วที่ถูกลากออกมาโมโหเป็นอย่างมาก

“สุดที่รักของผม คุณรู้หรือเปล่าว่าลั่วปิงคนนั้นเป็นใคร ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ประธานของกลุ่มบริษัทย่อยก็เถอะ แต่เบื้องหลังของเขาก็คือเยี่ยนเฉินกรุ๊ป ถ้าหากเมื่อกี้นี้คุณสร้างความวุ่นวายออกไปละก็ เกรงว่าพวกเรายังไม่ทันได้กลับไป พ่อตาของผมก็คงถูกไล่ออกแล้ว” หวังเย่นจูนได้แต่อธิบายอย่างไม่รู้จะทำเช่นไร

“ไม่ยกย่องกันเกินไปหน่อยเหรอ” หลังจากฟังหวังเย่นจูนพูดจบ หยางหลิ่วก็อดไม่ได้ที่จะใจฝ่อ

“คุณรู้จักแปดตระกูลแห่งเย็นตูไหม”

“แน่นอนว่าต้องรู้จักอยู่แล้วสิคะ พวกเขาก็คือแปดตระกูลที่อยู่บนจุดสูงสุดของจิ่วโจวยังไงล่ะ ต่อให้เป็นแค่ตระกูลเดียวก็ยังมีกำลังและความสามารถมากมายมหาศาล”

“เยี่ยนเฉินกรุ๊ปเป็นหนึ่งในแปดตระกูลของเย็นตู เป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ภายใต้ตระกูลอวี่เหวิน ดังนั้นคุณลองบอกผมมาสิว่า เฉิงเหอกรุ๊ปจะเอาอะไรไปสู้กับเยี่ยนเฉิงกรุ๊ป”

หลังจากที่หวังเย่นจูนอธิบายทุกอย่างออกมาหมดแล้ว หยางหลิ่วจึงได้รู้ตัวว่าตนเองเกือบจะสร้างปัญหามากแค่ไหน ด้วยเหตุนี้เธอจึงยังรู้สึกกังวลหาใดเปรียบ

ภายในห้องส่วนตัวของร้านอาหารเป่ยหยวนชุน

ซูเฉิงอู่และลั่วปิงพากันยืนตัวสั่นเทาอยู่อีกด้าน หยางเฉินไม่ได้สนใจพวกเขาเลยสักนิด ทั้งยังกินดื่มต่อไป

ฉินยีมองสองคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วก็นั่งลงอย่างไม่สบายใจ

“ผมอิ่มแล้ว คุณล่ะ” ในที่สุดหยางเฉินก็วางตะเกียบลง ก่อนจะกล่าวถามฉินยี

ฉินยีมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ คนใหญ่คนโตอย่างซูเฉิงอู่กับลั่วปิงยังยืนอยู่ข้างๆ แท้ๆ เธอจะไปมีอารมณ์กินต่อได้ยังไง

“ไม่พูดก็หมายความว่าอิ่มแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!” หยางเฉินลุกขึ้นยืน

ตอนที่ซูเฉิงอู่กับลั่วปิงกำลังคิดจะออกไปส่ง หยางเฉินก็เหลือบสายตาไปมอง พวกเขาตกใจจนต้องหยุดฝีเท้าทันที

จนกระทั่งหยางเฉินออกมาจากร้านอาหารแล้ว ฉินยีถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: The king of War