The king of War นิยาย บท 37

บทที่ 37เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินยีโทรศัพท์หาหยางเฉิน

หลังจากที่หยางเฉินจมอยู่ในห้วงความคิดครู่หนึ่งก็ตอบกลับไป “พอมีเวลา!”

“พรุ่งนี้ฉันขอเลี้ยงมื้อเที่ยงคุณแล้วกัน เจอกันที่ร้านอาหารเป่ยหยวนชุนตอนสิบสองนาฬิกาตรง”

ไม่รอให้หยางเฉินได้ตอบ รับฉินยีก็วางสายโทรศัพท์ไปทันที

หยางเฉินทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย “คิดจะนัดกินข้าว แต่ไม่ถามว่าอีกฝ่ายเห็นด้วยหรือไม่สักนิดเลยเนี่ยนะ”

แน่นอนเขาพอจะรู้ว่าทำไมฉินยีถึงได้ชวนไปกินข้าว ที่แมนชั่นอีเห้าวันนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขา ป่านนี้เธอคงถูกทำลายความบริสุทธิ์ไปแล้ว ทั้งยังโดนเธอตบไปทีหนึ่งอีก

ฉินซีจะต้องอธิบายความจริงให้เธอฟังแล้วแน่นอน ดังนั้นที่ฉินยีคิดจะเลี้ยงข้าวเขา ก็คงแค่เพื่อที่จะแสดงคำขอบคุณ ผู้หญิงคนนี้ก็หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตัวเองเหมือนพี่สาวเธอนั่นแหละ ไม่มีทางที่จะพูดขอโทษออกมาหรอก

ร้านอาหารเป่ยหยวนชุน คือร้านอาหารที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในเจียงโจว สำหรับที่นี่ คุณอยากกินอะไรล้วนมีหมด นอกจากคุณจะคุณคิดไม่ถึงเท่านั้น

เวลาสิบสองนาฬิกา หยางเฉินก็มาถึงร้านอาหารเป่ยหยวนชุนพอดี ตอนที่เขากำลังจอดรถ ฉินยีเองก็เพิ่งมาถึงเช่นกัน

“ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงคิดจะเลี้ยงข้าวผมอย่างนั้นเหรอ” หยางเฉินถามขึ้นมาทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้ว

ฉินยีถลึงตาใส่เขาอย่างโมโห “คุณหนูอย่างฉันอยากจะเลี้ยงข้าวคุณ ก็ถือว่าเป็นเกียรติของคุณแล้ว กินไปก็พอ จำเป็นต้องพูดไร้สาระเสียที่ไหน”

หยางเฉินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เขาไม่ได้โกรธเธอ ทั้งยั้งรู้สึกดีกับน้องสะใภ้คนนี้ขึ้นมาอีกนิดเสียด้วยซ้ำ ถ้าหากสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเธอได้ ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้เขาสามารถอยู่กับภรรยาและลูกสาวได้เร็วขึ้น

“ฉินยี?” ทั้งสองคนเพิ่งจะเข้ามาในร้านอาหาร ไม่ทันไรก็มีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งตะโกนมาจากข้างหลัง

ตอนที่ฉินยีได้ยินเสียงนี้ ร่างกายแบบบางของเธอสั่นเล็กน้อย

จากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาปรากฏตัวต่อหน้าเธออย่างรวดเร็ว ผู้ชายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลาไม่น้อย รูปหน้าคมคายชัดเจน สวมแว่นตาขอบทองคู่กับสูทลำลองสีฟ้าอ่อน กระดุมทั้งสองเม็ดที่อยู่ข้างบนสุดของเสื้อเชิ้ตถูกปลดออก ดูสง่าผ่าเผยเป็นอย่างมาก

หยางเฉินยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง มือที่แฝงไปด้วยไอร้อนคู่หนึ่งก็คล้องแขนของเขาไว้แล้ว

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะคะหวังเย่นจูน!” ฉินยีคล้ายจะเปลี่ยนสีหน้าทันที บนนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข”

สองตาของหวังเย่นจูนลอบมองไปที่หยางเฉิน ก่อนจะยิ้มให้กับฉินยี แล้วดึงผู้หญิงที่อยู่ข้างกายมาแนะนำตัว “นี่คือภรรยาของผม หยางหลิ่ว”

“นี่คือเพื่อนร่วมชั้นที่...มหาลัยของผม ฉินยี” ตอนที่กำลังแนะนำฉินยี หวังเย่นจูนมีความลังเลอย่างชัดเจน แต่สุดท้ายเขาก็ยอมรับเพียงว่าตนกับฉินยีเป็นแค่เพื่อนร่วมชั้นกันเท่านั้น

“ที่แท้คุณก็คือฉินยีนี่เอง หวังเย่นจูนมักจะพูดถึงคุณอยู่บ่อยๆ บอกว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัยมีผู้หญิงคนหนึ่งที่ไล่จีบเขาอยู่ตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้เจอกัน” หยางหลิ่วยื่นมือไปทางฉินยีอย่างใจกว้างซึ่งดูแล้วเป็นธรรมชาติมาก ขณะพูดก็ยังยิ้มอยู่ตลอด

สีหน้าของฉินยีมืดลงเล็กน้อย แต่เธอก็ยังยิ้มอยู่เช่นเดิม ก่อนจะยกมือขึ้นจับกับอีกฝ่าย “สวัสดีค่ะ!”

“พวกคุณเองก็มากินข้าวอย่างนั้นสินะ งั้นก็ดีเลย ผมจองห้องส่วนตัวเอาไว้แล้ว พวกเราไปด้วยกันไหม” หวังเย่นจูนเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น

“นี่เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในเจียงโจว การที่คนทั่วไปคิดจะจองห้องส่วนตัวของที่นี่ แน่นอนว่ายากลำบากมาก ทว่าในเมื่อพวกคุณเองก็มากินข้าวเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” หยางหลิ่วเองก็ประสานรับอย่างดี

ฉินยีมองไปทางหยางเฉินแล้วขยิบตาให้เขา เห็นได้ชัดว่าเธอต้องการให้หยางเฉินปฏิเสธ

“ดีเลยครับ!”

คล้ายกับว่าหยางเฉินจะไม่เข้าใจความหมายของฉินยีเลยแม้แต่น้อย เขาถึงได้ตอบตกลงด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหยางเฉิน ฉินยีก็หยิกแขนเขาอย่างแรงไปทีหนึ่ง

ทั้งสี่คนเดินตามพนักงานต้อนรับเข้าไปในห้องส่วนตัวอย่างรวดเร็ว

“ฉินยี พวกเราเองก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้วสินะ”

หวังเย่นจูนหัวเราะเสียงดังก่อนกล่าวต่อว่า “จำได้ว่าตอนนั้นเพื่อที่จะจีบผม คุณถึงกับคอยซื้ออาหารเช้าส่งมาทั้งเดือน ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ในใจก็ยังรู้สึกปลงๆ อยู่บ้าง” 

ถึงแม้หวังเย่นจูนจะกำลังยิ้ม แต่น้ำเสียงของเขากลับแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเองอยู่หลายส่วนอย่างเห็นได้ชัด

สีหน้าของฉินยีย่ำแย่ลงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“โชคดีที่ตอนนี้คุณหาแฟนได้แล้ว ผมขอให้พวกคุณมีความสุขกันมากๆ!” หวังเย่นจูนยิ้มพลางยกแก้วไวน์ขึ้นมา

“ฉันก็ขอแสดงความเคารพพวกคุณร่วมกับสามีเช่นกันค่ะ” หยางหลิ่วเองก็ยกแก้วไวน์ขึ้น 

ขอบตาของฉินยีแดงก่ำ ก่อนจะแสร้งทำเป็นสงบนิ่งแล้วยิ้มพลางพูดออกมาว่า “ขอบคุณค่ะ!”

“โชคดีที่ตอนนั้นหวังเย่นจูนไม่ได้รับรักคุณ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้วฉันคงหาสามีที่ดีแบบนี้ไม่ได้แน่” หยางหลิ่วตั้งใจพูดขึ้นมา ทั้งยังซบหน้าลงไปบนแขนของหวังเย่นจูน ท่าทางรักใคร่กันเป็นอย่างมาก

“ตายแล้ว!”

ทันใดนั้นอยู่ดีๆ หยางหลิ่วก็ร้องขึ้นมา “ที่รักคะ ฉันทำกระเป๋าหลุยส์ราคาหลายแสนที่คุณซื้อมาให้เป็นของขวัญจากฝรั่งเศสตกพื้นสกปรกไปแล้ว จะทำยังไงดีล่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่ไม่กี่แสนเอง ถ้าสกปรกแล้วก็ทิ้งไปเถอะ ไว้อีกเดี๋ยวผมค่อยติดต่อไปหาเพื่อนที่ฝรั่งเศสให้เขาส่งใบที่ดีกว่ามาให้ใหม่” หวังเย่นจูนกล่าวออกมาพร้อมกับใบหน้าที่แฝงไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น

“ที่รักคะ คุณดีมากจริงๆ รักคุณจังเลย!” หยางหลิ่วพูดพลางโน้มตัวเข้าไปจูบหวังเย่นจูนทีหนึ่ง

ทั้งสองคนจะแสดงความรักกันอย่างหวานแหววราวกับไม่มีใครอยู่รอบตัว

ฉินยีกำมือแน่น สองตาแดงก่ำ คล้ายกับน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว

“ฉินยี ตอนนี้คุณทำงานอยู่ที่ไหนเหรอคะ” หลังจากหยางหลิ่วแสดงความรักเสร็จ ก็หันมาพูดยิ้มๆ กับฉินยี 

“ฉันเพิ่งจะเข้าไปทำงานในเยี่ยนเฉินกรุ๊ปได้ไม่นานน่ะ” ฉินยีกล่าวเสียงเบา

“บังเอิญจริง!”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: The king of War