ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 260

ในขณะเดียวกัน ภายในห้องนอน

หลังจากที่หนานหว่านเยียนวัดชีพจรให้หยีเฟย ต่อมาก็เรียกข้ารับใช้เข้ามาแล้วพูดเตือนว่า: “เจ้าไปบอกหวางหมัวมัว เสด็จแม่จะต้องดื่มยาสามเวลา ตอนแรกปอดอักเสบก็ยังไม่หายดี ตอนนี้ยังโดนวางยาพิษอีก เป็นผลกระทบต่อนางอย่างมาก”

“อีกอย่าง จำไว้ว่าปิดประตูหน้าต่างด้วย ห่มผ้าให้เสด็จแม่หนาๆ เอาผ้าอุ่นๆมาประคบ ทุกครั้งประคบจนเย็นแล้วค่อยแช่น้ำอุ่นต่อ”

ข้ารับใช้ในวังพยักหน้าตกลง สายตามองหนานหว่านเยียนอย่างสับสน “เจ้าค่ะ ขอบพระคุณพระชายาเจ้าค่ะ”

“ไม่ต้องเกรงใจ” หนานหว่านเยียนโล่งอก ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นนิ้วมือของหยีเฟย เหมือนขยับเล็กน้อย……

หนานหว่านเยียนตื่นเต้น รีบเข้าไปตรวจดูอาการของหยีเฟย

เพราะข้างๆยังมีข้ารับใช้อยู่ หนานหว่านเยียนใช้ช่องว่างไม่ได้ จึงต้องเปิดดูม่านตาของหยีเฟย แล้วขยับเข้าไปฟังลมหายใจของหยีเฟย

ไม่มีร่องรอยของการฟื้นเลย

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกมาก

ตามหลักแล้วถอนยาพิษได้ ตอนนี้ร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก แต่โดยพื้นฐานแล้วมันจะกลับคืนสู่สภาพนอนเป็นผัก ไม่มีทางขยับได้แน่นอน

หรือว่านางตาลายไปเอง……

กู้โม่หานบังเอิญเดินเข้ามาพอดี

ชายหนุ่มร่างกายสูงกำยำ แต่ดูเหมือนเขาจะแบกภาระหนักโดยไม่มีเหตุผล ไหล่ของเขาหนักและดูผอมเล็กน้อย

หนานหว่านเยียนถอยหลังไปหลายก้าว “เสด็จแม่ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”

“อืม” กู้โม่หานมองไปยังหนานหว่านเยียน ต่อมาก็ไปนั่งข้างหยีเฟย จับมือที่ผอมแห้งของนางมาไว้ที่ใบหน้าตัวเอง สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด “เสด็จแม่ ลูกอกตัญญูเอง ทำให้เสด็จแม่ต้องทุกข์ทรมาน……”

ในขณะนี้ ใบไม้ร่วงทั่วลานถูกลมพัดปลิว และเสียงลมที่พัดเหมือนเสียงกระซิบ นุ่มนวลและเงียบสงบ แต่ก็แฝงไปด้วยความเศร้า

ข้ารับใช้ดวงตาแดงก่ำ นางสะอื้น กระซิบพูดกับหนานหว่านเยียน

“ตอนที่ท่านอ๋องยังเป็นเด็ก คนอื่นมีเสด็จแม่ให้ออดอ้อน ท่านอ๋องทำได้แค่เฝ้าอยู่ข้างเตียง ทุกวันเอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้จนคอแหบไปหมด ก็ถึงยอมให้หวางหมัวมัวอุ้มเขาไปพักผ่อน”

“หลังจากวันนั้น ท่านอ๋องก็อยากรักษาให้หยีเฟย เขาตามหาหมอเทพไปทั่วราชอาณาจักรเพื่อหยีเฟย ถึงจะมีเรื่องสงครามเข้ามา ตอนที่กลับเมืองก็รีบมาที่ตำหนักอู๋ขู่ทันที และถือหมวกของเขาด้วยความปีติ แล้วพูดข้างเตียงของหยีเฟยว่า ‘เสด็จแม่ ลูกกลับมาแล้ว ครั้งนี้ลูกชนะศึกด้วย ท่านจะตื่นมาดูลูกเมื่อไหร่กันนะ’ ……”

พูดถึงตรงนี้ ข้ารับใช้ก็อดไม่ได้ น้ำตาไหลพราก

หนานหว่านเยียนเป็นแม่คน ได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกเศร้าใจมาก

นางไม่รู้ว่าตอนเด็กของกู้โม่หานจะทุกข์ทรมานแบบนี้

แต่พอคิดแล้วก็ใช่ จะหายดีได้ยังไงล่ะ

ข้ารับใช้ปาดน้ำตา มองดูหนานหว่านเยียน “พระชายา ถ้าท่านช่วยหยีเฟยได้ บ่าวกับทุกคนในตำหนักอู๋ขู่ ก็จะซาบซึ้งในพระคุณของท่าน!”

หนานหว่านเยียนมองกู้โม่หาน แล้วมองไปยังหยีเฟยที่ผอมแห้ง เงียบไม่พูดไม่จา

ตอนนี้ช่องว่างของนางพัฒนาแล้ว อาจจะลองช่วยให้หยีเฟยฟื้นขึ้นมาได้ แต่จะช่วยหยีเฟยได้ไหมนั้น ไม่ได้อยู่ในขอบเขตของนางเลย ฮ่องเต้ยังจับตาดูนางอยู่……

กู้โม่หานยังอยู่ในโลกที่อยู่กับแม่ ไม่ได้ยินที่พวกนางพูด เขาช่วยหยีเฟยจัดการผมเผ้า ช่วยหยีเฟยห่มผ้าให้ดี “ลูกกลับไปแล้ว จะมาเยี่ยมท่านแม่ใหม่นะขอรับ”

เขาลุกขึ้นพูดกับหนานหว่านเยียน “ไปกันเถอะ กลับจวนกัน”

หนานหว่านเยียนมองดูท่าทางที่เข้มแข็งของเขา นัยน์ตาดำขลับนั้นเต็มไปด้วยความสงสาร แต่ก็มีแค่ความสงสารเท่านั้น

“ได้”

หลังจากเรื่องในวันนี้ผ่านไป เหมือนมีเรื่องหลายๆอย่างเริ่มเปลี่ยนไป บางคนเหมือนปลาได้น้ำ บางคนหลบได้ชั่วคราว บางคนก็เริ่มเคลื่อนไหว……

หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานออกจากตำหนักอู๋ขู่พร้อมกัน

ดวงจันทร์และดวงดาวบางเบาบนท้องฟ้าสูง และลมหนาวพัดผ่านมา หนานหว่านเยียนอดไม่ได้ที่จะพันเสื้อผ้าให้แน่นขึ้น

วันนี้นางเหนื่อยมาก ตอนนี้แค่อยากกลับจวนเร็วๆ กินข้าวพร้อมกับเด็กสองคน ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับกู้โม่หานอีก

กู้โม่หานเห็นหนานหว่านเยียนหนาว เขารีบถอนชุดเกราะบนตัวของตัวเอง แต่กลับนึกถึงอะไรขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแล้วลดมือลง

ว่าแล้ว นางไม่มีทางใส่หรอก

ทั้งสองเดินไปที่รถม้าโดยไม่พูดอะไร

กู้โม่หานเปิดม่านให้นางก่อน

แขนที่กว้างของชายคนนั้นแข็งแกร่งและเชื่อถือได้มาก เช่นเดียวกับสามีที่อ่อนโยนต่อภรรยาของเขา หนานหว่านเยียนตกใจมากจนนางถอยหลังออกไป ราวกับว่านางเห็นผี “เจ้าจะทำอะไร?”

สุภาพบุรุษขนาดนี้? กินยาลืมเขย่าขวดหรือเปล่า?

กู้โม่หานรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงลากนางโยนเข้าไปในรถม้า “เจ้าอย่าชักช้า รีบขึ้นไปเถอะ!”

หนานหว่านเยียนถูกเขาจับยัดเข้ารถม้า ก็กำหมัดแน่นทันที

เสียแรงที่นางคิดว่ากู้โม่หานเปลี่ยนไปแล้ว ยังเกิดความรู้สึกสงสารเขา

ไม่คิดว่าเขาจะไม่เปลี่ยนไปเลย

กู้โม่หานนั่งตรงข้ามหนานหว่านเยียน นิ้วมือเรียวยาวขาวเนียนซ้อนกัน โครงหน้าของเขาเห็นได้ชัดจากแสงจันทร์ที่สะท้อนลงมา ดูหล่อเหลามากขึ้นกว่าเดิม

เอวของเขายังมีห่วงหยกที่ฮ่องเต้มอบให้ทั้งสอง

ห่วงหยกมังกรเหมือนจริงมาก แกว่งไปแกว่งมาในอากาศ แต่มันดูอ้างว้างและร้างเล็กน้อย

รถม้าเคลื่อนที่สักพัก ทันใดนั้นเขาก็ถามขึ้นว่า “ห่วงหยกที่เสด็จพ่อให้เจ้าล่ะ? ข้าจำได้ว่า เสด็จพ่อเคยบอกว่า เจ้าห้ามเอาออก”

หนานหว่านเยียนมือเท้าคางมองไปนอกหน้าต่าง “ทิ้งแล้ว”

ทันใดนั้น เหมือนมีคลื่นพายุอยู่ในใจกู้โม่หาน

“ทิ้งแล้วงั้นเหรอ?” ใบหน้าหล่อเหลาของเขามืดมน ทันใดนั้นก็ถามนางอีกว่า “หนานหว่านเยียน เจ้ากล้าทิ้งห่วงหยก นั่นเป็น……”

หนานหว่านเยียนถูกเขาถามจนหงุดหงิด เอาเชือกแดงออกมาจากคอเสื้อ ข้างล่างผูกห่วงหยกหงส์เอาไว้ “พอแล้ว เจ้านี่มันน่ารำคาญจริงๆ อยู่ตรงนี้นี่ไง!”

นางไม่อยากใส่ของคู่กันกับกู้โม่หาน แต่นางก็รู้ว่า ถ้าวันไหนฮ่องเต้ที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้เกิดอยากดูว่าพวกเขาใส่หรือไม่ งั้นนางก็จบเห่กันพอดีน่ะสิ

ดังนั้นนางให้เซียงอวี้ออกไปหาคนทำเป็นสร้อย เวลานานเข้า ก็ไม่ได้สนใจมันอีก

กู้โม่หานเห็นห่วงหยกก็ถึงโล่งอก สายตาเต็มไปด้วยความดื้อรั้นได้ใจเหมือนเด็กน้อย

“ใส่ไว้ให้ดีล่ะ ไม่มีคำสั่งของข้า เจ้าห้ามเอาออกเด็ดขาด!”

นี่เป็นสัญลักษณ์ความรักของเขากับหนานหว่านเยียน และนั่นก็หมายความว่า นางเป็นผู้หญิงของเขา

แต่ต่อมา เขาก็เห็นว่าตัวเองกับหนานหว่านเยียนใกล้กันมาก กลิ่นหอมหวานของหญิงสาวลอยเข้าจมูกของเขา เขาตกตะลึงไปทันที

แต่ต่อมา เขาก็มองไปยังหนานหว่านเยียน ดวงตาของนางกลมโตและสว่างไสวมาก มองลงไป ก็คือริมฝีปากแดงระเรื่อของนาง

จู่ๆ ความทรงจำที่ละมุนละไมก็คืบคลานเข้ามาในหัว

กู้โม่หานจ้องมองไปยังริมฝีปากของนาง กะพริบตา อดไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้นาง……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้