ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 261

หนานหว่านเยียนจ้องมองเขาย่างเย็นชา มองเขาเข้าใกล้มาเรื่อยๆ นางผลักเขาออกไป

“เจ้ากลับไปนั่งที่เดิมได้หรือไม่?”

กู้โม่หานฟื้นคืนสติ ยามที่สัมผัสได้ถึงสายตาที่ดูถูกและไม่รู้อะไรเลยของหนานหว่านเยียน ปลายหูของเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงในทันที

เขากระแอมลำคอเบาๆ สองครั้งและกลับไปนั่งตำแหน่งเดิม เขาหันหน้าหนีไม่มองหนานหว่านเยียนอีก จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูดคุย เสียงที่เปล่งออกมานั้นแหบเล็กน้อย “ขอบใจที่ช่วยเสด็จแม่”

หนานหว่านเยียนนั่งอยู่ตรงข้ามเขา ก็กล่าวโดยไม่ได้คิดอะไร:“ไม่จำเป็น ช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหน้าที่ของข้า เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอ”

ช่วยชีวิตหยีเฟยกับช่วยผู้อื่นก็เหมือนกัน ไม่มีความแตกต่าง อย่างมากก็เป็นการผูกมัดเพิ่มขึ้นอีกชั้น

ทว่า วันนี้นางประหลาดใจกับท่าทีของกู้โม่หานที่ปฏิบัติต่อนางจริงๆ คอยปกป้องนางเกือบจะตลอดเวลา ทำให้นางแปลกใจเป็นอย่างมาก

ทว่าอาศัยแค่สิ่งนี้ ยังไม่พอให้ความโกรธของนางที่มีต่อเขาสงบลงได้

นอกจากดอกบัวสีขาว(ผู้หญิงคนนั้นดูภายนอกใสๆ น่ารัก คิดไม่ถึงว่าจริงๆแล้วแร เงียบ)ตาย หรือกู้โม่หานจะจ่ายค่าตอบแทนอย่างสาสม

อย่างไรเสียนางก็ไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์อะไร ถูกโบยแล้ว ก็ต้องโบยกลับไปอีกเท่าตัว ถึงจะอยู่ได้อย่างสบายใจ

“ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี”เมื่อเอ่ยถึงเรื่องวันนี้ สีหน้าของกู้โม่หานก็ค่อยๆ เย็นชาลง “เจ้าคิดว่าหว่านเฟยเป็นฆาตกรที่วางแผนลอบทำร้ายเสด็จแม่ใช่หรือไม่?”

ด้วยความเฉลียวฉลาดของหนานหว่านเยียน ไม่มีทางที่จะมองเงื่อนงำไม่ออก ทว่าเขาอยากฟังความคิดเห็นของนาง

ทันใดนั้นแววตาของหนานหว่านเยียนก็ดูจริงจัง กล่าวตอบไปแบบส่งเดช:“หว่านเฟยก็เป็นเพียงแพะรับบาป ถูกผู้อื่นดึงเข้ามา จะว่าไปแล้วข้าก็คาดไม่ถึง”

นางคิดว่าหนานชิงชิงลงมือได้อย่างอมหิต ทว่าสามารถทำให้พระชายาอันเป็นที่รักเข้ามาผัวพันได้ หนานชิงชิงเพียงผู้เดียว ไม่มีความสามารถขนาดนั้น ทำได้เพียงพิสูจน์ว่าเรื่องราวซับซ้อนกว่าที่นางคาดไว้มากทีเดียว

ใบหน้าอันหล่อเหลาของกู้โม่หานมีความเย็นชาที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวเล็กน้อยเอ่ยว่า “ข้าก็คิดเช่นเดียวกัน ข้าเพียงไม่แน่ใจ แท้จริงแล้วผู้ใดกันที่ต้องการทำร้ายเสด็จแม่”

“ตั้งแต่ไหนมาเสด็จแม่ไม่เคยเคียดแค้นผู้ใด การวางกลอุบายต่างๆ ยิ่งไม่ชำนาญ เมตตาจริงใจต่อผู้อื่น ตามหลักแล้ว ในวังแห่งนี้ไม่มีใครมีความคิดที่จะสังหารนาง”

แววตาของหนานหว่านเยียนมืดลงในทันที นางมองไปยังกู้โม่หาน

ทันทีหลังจากนั้น นางมองไปทางนอกหน้าต่าง จากนั้นกล่าวออกมาอย่างลึกซึ้งจนยากที่จะเข้าใจ

“ภายในใจข้า แม้ว่าเจ้าจะธรรมดา ทว่าในพระราชวัง มักจะมีคนรู้สึกว่าเจ้ามีความสามารถมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการเอาชนะ......อะไรนั้น หรือเรื่องอื่น เจ้าก็คือภัยคุกคามของพวกเขา เพราะเหตุนั้นคนที่ลงมือกับหยีดฟยจะมีเยอะ”

“เพราะทุกคนต่างรู้ว่า นางเป็นจุดอ่อนของเจ้า สังหารนางก็สามารถทำลายเจ้าได้ ทำให้ชั่วชีวิตของเข้าไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก”

จุดอ่อนหรือ?

กู้โม่หานไม่เคยนึกถึงปัญหาหน้านี้มาก่อน เขารู้เพียงเพื่อเสด็จแม่แล้วเขาสามารถทำได้ทุกอย่าง ทว่าไม่คิดเคยใส่ใจเรื่องเช่นนี้ ตรงกันข้ามกลับทำให้เสด็จแม่ถูกสังหารโดยไร้เหตุผล

ดังนั้นไม่ว่ายามที่เขายังเยาวน์วัยโดนทิ้งให้โดดเดี่ยว หรือถูกกู้โม่เฟิงกดขี่ ท้ายที่สุดแล้ว ล้วนเพื่อทำให้เขาท้อถอยหมดกำลังใจไม่มีแรงที่จะสู้ต่อไป กลายเป็นคนไร้ค่า

ทว่ากู้โม่หานกลับเงยขึ้นไปมองยังหนานหว่านเยียน เอ่ยถามออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย“เด็กน้องสองคนนั้น เป็นจุดอ่อนของเจ้าหรือไม่?”

หนานหว่านเยียนนิ่งอึ้งไป ราวกับคาดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา

ต่อมาในทันใด เพียงแวบเดียวแววตาของนางก็เปลี่ยนเป็นแววตาที่โหดเหี้ยม พร้อมกล่าวเตือนเขาอย่างดุร้าย

“เป็นจุดอ่อน และเป็นเกราะด้วย!กู้โม่หาน ไม่ว่าผู้ใดที่กล้าแตะต้องบุตรสาวของข้า ข้าจะเอาพวกมันให้ตายไปข้างหนึ่ง! เจ้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น!”

บุตรสาวของนาง เป็นส่วนที่อ่อนโยนที่สุดใจในของนางมาโดยตลอด เพื่อพวกนาง หนานหว่านเยียนสามารถพาดชุดเกราะที่แข็งแกร่งไว้บนไหล่ พร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ

กู้โม่หานมองสายตาที่ก้มต่ำของหนานหว่านเยียน ก็มีความรู้สึกที่พรวดพราดเข้ามาเล็กน้อย

หนานหว่านเยียนเป็นแม่ที่ดี

ทันใดนั้นก็เหมือนว่าเขาจะเข้าใจประโยคนั้นของหวางหมัวมัวแล้ว——

“หากไม่มีอำนาจ จะไม่สามารถปกป้องคนที่รักได้อย่างทั่วถึง......”

เมื่อครู่เขาอยากพูดบางอย่าง แต่ในตอนนี้เอง ลูกธนูไร้เสียง พุ่งเข้ามาด้วยไอสังหาร ยิงตรงเข้ามาในรถม้า

“ระวัง!”ทันใดนั้นม่านตาของกู้โม่หานหดเล็กลง เขาคว้าลูกธนูสะท้อนแสงที่ลอยเข้ามาด้วยมือเปล่า

สีหน้าของหนานหว่านเยียนเคร่งขรึมขึ้นอย่างฉับพลัน นางจับลูกกรงหน้าต่างไว้แน่น“มีมือสังหาร!”

เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นรถม้าราวกับสูญเสียการควบคุมไป ความเร็วเพิ่มขึ้นและเริ่มที่จะกระแทกไปมาอย่างบ้าคลั่ง หนานหว่านเยียนจะยืนก็ไม่ติด นั่งก็ไม่ได้

กู้โม่หานเปิดม่านในรถออก ทว่าเห็นคนขี่ม้าโดนยิงด้วยธนูตายไปแล้ว เมื่อม้าถูกยิงที่ส่วนท้องก็ตื่นตกใจ ร้องเสียงหลงหนีเตลิดเปิดเปิง วิ่งตรงพุ่งลงเนินเขาไป

“หนานหว่านเยียน!”สีหน้าของกู้โม่หานเปลี่ยนไปในทันที ตามสัญชาตญาณเขากอดเอวของหนานหว่านเยียนไว้ ปกป้องนางไว้ในอ้อมกอด

หนานหว่านเยียนยังไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร “ตูม”เสียงรถม้าที่ตกเนินเขาลงไป ตกลงไปแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ไม้กระดานทั้งหมดกระแทกลงบนตัวกู้โม่หาน แม้ว่าเขาจะสวมชุดเกราะ ทว่าบริเวณไหล่และศีรษะด้านหลังของเขามีบาดแผล

เขาร้องเสียงอู้อี้ออกมา อดกลั้นความเจ็บปวดไว้ แผ่นไม้ที่กระแทกหลัง สายตาตื่นตระหนกของเขามองไปยังหนานหว่านเยียนที่อยู่ในอ้อมกอก“หนานหว่านเยียน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”

หนานหว่านเยียนเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาถูกก้อนกรวดและทรายขูดหลายแผล ไหล่ก็มีรอยเลือดไหลเป็นชั้นๆ และนางเองก็ถูกกู้โม่หานกอดอยู่ไว้อย่างแน่น ในอ้อมกอด ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

ทันใดนั้นดวงหน้าของหนานหว่านเยียนก็หดเล็กลง “ข้าไม่เป็นอะไร”

ทั้งคู่ยังไม่ทันจะพูดอย่างอื่น รอบทิศทางก็มีสามสิบกว่าคนที่ใส่ชุดดำที่ท่าทางน่าเกรงขามออกมาล้อมรอบทั้งสองไว้

ทันใดนั้นเองสายตาของกู้โม่หานก็เย็นชาโหดเหี้ยม ลุกขึ้น ยืนตัวตรงนำหนานหว่านเยียนหลบไว้ข้างหลัง ไอสังหารในตัวเขาเหมือนดั่งมังกรที่วิ่งไปมาทั่วทิศทาง

“กล้าลอบสังหารข้า ดูท่าพวกกลัวจะอายุยืนเกินไป!”

หัวหน้าคนชุดดำเห็นกู้โม่หานนำหนานหว่านเยียนไปแอบไว้ด้านหลัง ก็เกิดความคิดอะไรบางอย่าง

เขาส่งสายตาไปยังผู้ที่อยู่รอบๆ “สังหารสตรีผู้นั้นก่อน...”

เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามาโจมตีกู้โม่หาน และหนานหว่านเยียนที่ไร้หนทางสู้อย่างโหดเหี้ยม

หนานหว่านเยียนตื่นตระหนก แววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นพวก“พวกเจ้าเป็นใคร?!ข้าและพวกเจ้าไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน เหตุใดต้องมาโจมตีข้า?!”

ศัตรูของนางจะพูดกันตามตรงก็คือดอกบัวขาวน้อย (*ภายนอกดูบริสุทธิ์ แต่ความจริงกร้านโลก หรือหนานชิงชิง ดอกบัวขาวน้อยไม่น่าจะลงมือกับนางง่ายๆ หนานชิงชิงเพิ่งจะวางแผนกำจัดนางไป เหตุใดจะต้องไล่ข้านางในทันที โดยเฉพาะยามที่กู้โม่หานอยู่กับนาง และคนเหล่านี้ดูเผินๆ แม้จะพุ่งเป้ามาที่นาง ทว่าแววตากลับเล็งไปยังกู้โม่หาน

ชัดเจนแล้วว่าไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นาง!

“ข้าอยู่ที่นี่ พวกเจ้ากลับอยากจะสังหารพระชายาข้า!บังอาจจริงๆ!”ความอดทนของกู้โม่หานลดลง ชุดเกราะแวววาวเยือกเย็น และดวงตาที่เฉียบคมดั่งนกอินทรีของเขาเล็งความเคลื่อนไหวของทุกคนไว้ นำหนานหว่านเยียนขยับเข้ามาใกล้หลบไว้ด้านหลังคอยปกป้องไม่ห่าง“คอยตามข้าไว้ !”

ครั้งก่อน หนานหว่านเยียนถูกลอบสังหารเขาไม่อยู่ในเหตุการณ์ จึงทำให้นางถูกฟันได้รับบาดเจ็บ ทว่าในวันนี้ ไม่รู้ว่าคนเหล่านี้พุ่งเป้ามาที่ใคร เขาไม่มีทางให้เหตุการณ์เดิมซ้ำรอยอย่างแน่นอน

“บังอาจหรือ?” คนชุดดำยิ้มเยาะอย่างเย็นชา“อ๋องอี้ท่านรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว!วันนี้ท่านทำให้เจ้านายของข้าอับอาย พวกข้าจะทำให้ท่านและพระชายาของท่านตายอย่างน่าสมเพช!ทุกคน!บุก!”

จะว่าไปแล้ว คนชุดดำเหล่านี้รวมตัวกันมาจากทุกทิศทาง

นายท่านของพวกเจ้าหรือ?

ทันใดนั้นกู้โม่หานและหนานหว่านเยียนก็เข้าใจอย่างชัดเจน

หากจะกล่าวว่าวันนี้กู้โม่หานได้หาเรื่องใครเข้า ก็มีเพียงกู้โม่เฟิงเท่านั้น และเมื่อเห็นอาวุธในมือคนเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นดาบสันโค้งแบบพิเศษของจวนอ๋องเฉิง

ดังนั้น......

ยังคิดไม่ทันจบ หนานหว่านเยียนก็ได้ยินเสียงคมดาบปะทะกัน อาวุธที่ปะทะกันทำให้เกิดประกายไฟสีแดงขึ้น

กู้โม่หานชักดาบตัดมือที่ถือดาบของทั้งสามคนนั้นออกในทันที วิญญาณร้ายปรากฏในดวงตาของเขา ผู้ที่เห็นก็กลัวจนขนหัวลุก เขาใช้นิ้วที่เรียวยาวทั้งห้าจับคันดาบไว้อย่างแน่น คว้าดาบที่ตกลงไปขึ้นมา ล้มคู่ต่อสู้ติดต่อกันหลายคนในรวดเดียว

ทางด้านหนานหว่านเยียนคนชุดดำพุ่งเข้ามาโจมตีสามถึงห้าคน แยกเขี้ยวพร้อมตะโกนว่าฆ่า

นางหยิบหน้าไม้ขึ้นมา“ฆ่าอะไรกัน อย่าคิดว่าข้าจะรังแกง่าย!”

โม่หวิ่นหมิงมอบหน้าไม้ให้แก้นาง แม้ว่าพลังในการสังหารจะสูงมาก ทว่าหนานหว่านเยียนก็ไม่ถนัดสิ่งเหล่านี้ ยิงธนูติดกันถึงสามดอกจึงจะทำให้ศัตรูได้รับบาดเจ็บได้

ทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมา คาดไม่ถึงว่าหนานหว่านเยียนที่แท้ก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องวุ่นวายตลอดเวลา

ทว่าทันใดนั้นหนานหว่านเยียนก็คิ้วขมวด ดวงตาดับวูบลงในทันที……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้