ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 293

หยุนเหิงทั้งโกรธ ทั้งร้อนใจ ทั้งโมโห แต่มิอาจเอื้อนเอ่ยอันใดได้ แค่อ้าปากขึ้นก็พลันหัวเราะฮ่าฮ่าฮ่าอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ทันใดเขาก็นึกเกลียดหยุนอี่ว์โหรวขึ้น

แม้แต่หนานหว่านเยียนเองก็มองออกแล้วว่าเขาเป็นอะไร หยุนอี่ว์โหรวทำไมไม่ส่งตัวเขากลับจวนไปรักษา เขาช่วยเหลือนางโดยไม่สนใจสิ่งใด แต่กลับต้องมารับโทษโบยแทนนางตั้งสามสิบไม้!

หนานหว่านเยียนเห็นว่าหยุนเหิงโกรธเคือง จึงได้หรี่ตาลงอย่างมีเลศนัย “อวี่เฟิงพอตีเสร็จแล้ว ก็ส่งแม่ทัพน้อยหยุนกลับจวนแม่ทัพเสีย อธิบายเรื่องราวกับแม่ทัพให้ชัดเจนแทนข้าด้วย ประเดี๋ยวจวนแม่ทัพหาคู่กรณีล้างแค้นไม่เจอ ก็จะมาสร้างความยุ่งยากที่ข้าอีก”

“ขอรับ พระชายา”

พูดจบ เขาก็พาหยุนเหิงผู้ชักกระตุกคลุ้มคลั่งจากไป

พระชายาสิบมองมาที่หนานหว่านเยียนด้วยความชื่นชม

หนานหว่านเยียนพูดจาได้รอบคอบ ไร้ข้อผิดพลาด อีกทั้งยังฟ้องร้องหยุนอี่ว์โหรวต่องหน้าต่อตาแม่ทัพอย่างเปิดเผยอีกด้วย

พระชายาสิบเลิกคิ้วแล้วมองหนานหว่านเยียนอีกรอบ

ไม่ว่าหยุนเหิงจะเลวร้ายแค่ไหน แต่ก็เป็นบุตรชายคนโตของจวนแม่ทัพ แก้วตาดวงใจของหยุนเจิ้นซง หากว่าถูกตีจนตายขึ้นมาจริงๆ จวนแม่ทัพตามเอาผิด หนานหว่านเยียนคงต้านไม่อยู่ การลงโทษนี้สมเหตุสมผล มีเหตุมีคุณธรรม

หนานหว่านเยียนมองไปที่จ้างฮวาผู้ยังคงตกตะลึง “ยังไม่ไสหัวไปอีก?”

จ้างฮวามองไปที่ใบหน้าอันงดงามของหนานหว่านเยียน ราวถูกบังคับให้ลงมาจากสวรรค์ กำลังออกคำสั่งข่มขู่นาง

“เจ้าค่ะ เจ้าค่ะ บ่าวขอลา!” จ้างฮวารีบแบกเอาหยุนอี่ว์โหรวออกไปข้างนอก แววตากลับเผยความชิงชังไม่สมดั่งใจ

ความแค้นนี้ รอนายท่านดีขึ้นแล้ว พวกนางจักต้องเอาคืนแน่!

หลังจากทุกอย่างได้ผ่านไป เซียงอวี้ก็ทั้งรู้สึกตื่นเต้นและสบายใจเป็นพิเศษ

“พระชายาท่านช่างเก่งกาจยิ่งนัก!”

พระชายารองหยุนเห็นได้ชัดว่านางจะพาคนของจวนแม่ทัพมาหาเรื่อง ด่าพวกเขาว่าเป็นทาสต่ำต้อย ทำลายชิงช้าตัวโปรดของนายท่านทั้งสองไม่พอ ยังจะมาผลักพระชายาให้ตกทะเลสาบ นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ ช่างบังอาจยิ่งนัก!

ยังดีพระชายาฉลาดมีไหวพริบ เพียงเอ่ยปากไม่กี่คำก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพระชายาลงมือได้อย่างไร นางอยู่เหตุการณ์ตลอดเวลา แต่กลับน่าฉงนว่าไม่เห็นร่องรอยใดๆ เลย

หรือเป็นเพราะว่าแม่ทัพน้อยหยุนเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ?

หลังเรื่องตลกผ่านไป เซียงอวี้ก็พาคนใช้มาเก็บกวาดลานบ้าน

สาวใช้ทั้งสองยังอยู่ในลานสวน หนานหว่านเยียนไม่กล้าเชิญองค์ชายสิบกับพระชายาสิบเข้าไปข้างใน ได้แต่ยิ้มเอ่ยขึ้น “วันนี้ทำน้องสิบกับน้องสะใภ้เจอเรื่องน่าขันเข้าแล้ว ขอบคุณสำหรับความยุติธรรมของพวกท่านมาก”

องค์ชายสิบสีหน้าเป็นกันเอง “พี่สะใภ้หกพูดอันใดกัน เราเป็นครอบครัวเดียวกันหนา!”

สวีหว่านหยิงรีบพยักหน้ารับ ดวงดาวในตาแทบจะลอยมาติดบนหน้าหนานหว่านเยียนได้อยู่แล้ว

“เตี้ยนเซี่ยกล่าวถูกต้อง วันนี้พี่สะใภ้ทั้งดุดันทั้งเก่งกาจ ราวกับวีรสตรีหญิง!ช่างเหมาะสมกับเสด็จพี่หกยิ่งนัก”

หนานหว่านเยียนแทบสำลัก “พวกท่านกล่าวขบขันไปแล้ว วันนี้พวกท่านเยี่ยมกู้......ท่านอ๋องใช่หรือไม่?”

องค์ชายสิบเอ่ยตอบ “สมกับเป็นพี่สะใภ้ มองทะลุดุจเทพเจ้า น้องกับหว่านหยิงได้ยินมาว่าเสด็จพี่หกฟื้นแล้ว จึงเร่งรุดมาที่นี่ทันที เสด็จพี่หกอยู่ที่ใดกัน?”

พูดจบเขาก็พลันจะเดินเข้าไปข้างใน หนานหว่านเยียนจึงรีบเอ่ย “คือว่า เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ ข้าให้คนพาท่านไปดีกว่า”

องค์ชายสิบกับพระชายาสิบมองหน้ากัน ทั้งคู่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “น้องคิดว่าเสด็จพี่หกกับพี่สะใภ้พักอยู่ด้วยกันเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะไม่อยู่ น้องไปดูเสด็จพี่หกก่อนดีกว่า พี่สะใภ้คุยเล่นกับหว่าน

หยิงไปก่อนหนา”

เสด็จพี่หกกับพี่สะใภ้ก็รักกันดีไม่ใช่หรือ ทำไมถึงต้องแยกกันนอนด้วย?

ขาดสีสันคู่รักสามีภรรยาไปตรงไหนกันแน่?

พี่สะใภ้ออกจะสวยถึงเพียงนั้น เสด็จพี่หกอดใจไม่แตะต้องนางได้อย่างไรกัน

ที่จริงหนานหว่านเยียนก็อยากบอกว่าพระชายสิบก็ไปด้วยกันก็ได้ แต่มันคงจะดูโจ่งแจ้งไปหน่อย คล้ายเป็นการไล่คน จึงได้แต่ยิ้มเอ่ย “ได้สิ เซียงอวี้ เจ้าพาฝ่าบาทไปพบท่านอ๋องหน่อย”

……

ขณะนี้ กู้โม่หานก็ได้ลงจากเตียงมานั่งบนรถเข็นแล้ว เขาสวมใส่เสื้อคลุมตัวบางๆ นิ้วมือเรียวยาวกำลังพลิกอ่านงานเอกสาร

เอาแต่นอนอยู่บนเตียงนั้นช่างไม่สบายเอามากๆ อีกอย่างเขาตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปฟื้นฟูค่ายทหาร ยึดอำนาจจอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ขาดหายไปในห้าปีก่อนจะต้องได้ชดเชยกลับมาอย่างแน่นอน

องค์ชายสิบเข้ามาอย่างรีบร้อน เห็นใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยจิตใจสูงส่งในอดีตของเสด็จพี่หกแลดูซีดเซียว และมีสภาพอ่อนแอ ก็อดบีบคั้นหัวใจเขาไม่ได้

“เสด็จพี่หก ท่านสบายดีไหม?”

กู้โม่หานเงยขึ้น เห็นเขามาก็รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “น้องสิบ? เจ้ามาได้อย่างไร?”

องค์ชายสิบก้าวไปข้างหน้านั่งลงข้างๆ กู้โม่หาน

“ข้ากับหว่านหยิงได้ยินว่าท่านฟื้นแล้ว ก็อยากจะมาเยี่ยมท่าน อาการบาดเจ็บของท่าน......ยังสาหัสอยู่หรือไม่? ”

“ไม่เป็นไร ก็แค่บาดเจ็บภายนอก ข้ายังทนไหว” กู้โม่หานเลิกคิ้ว อาการบาดเจ็บที่อกซ้ายของเขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ แต่ก็ยังดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก

เขากับองค์ชายสิบไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง คราที่เขากับกู้โม่หานสมรู้ร่วมคิดกันนั้น องค์ชายสิบยังไม่ทันได้กำเนิด

แต่เขารู้มาตลอดว่าองค์ชายสิบไม่ชอบยุ่งเรื่องถูกๆ ผิดๆ ในวังหลวง นิสัยใจคอก็เป็นดั่งม้าป่า คิดอย่างไรทำอย่างนั้น น่าจะ......ไม่ใช่คนที่คิดจะทำร้ายเขา

องค์ชายสิบดูท่ากู้โม่หานไม่ใช่แค่บาดเจ็บภายนอก แต่คิดว่ากู้โม่หานก็เป็นนิสัยเช่นนี้ มักไม่ชอบให้ใครมาเป็นกังวล เขาจึงไม่ได้ถามอันใดมาก

เขาหยิบถุงหอมออกมาจากทรวงอก “เสด็จพี่หก ก่อนข้ากับหว่านหยิงจะออกจากวังหลวง ได้เยี่ยมหยีเฟยเหนียงเหนียงมา”

กู้โม่หานก็ดูมีพลังขึ้นอย่างชัดเจนทันใด “พวกเจ้าไปเยี่ยมเสด็จแม่งั้นหรือ?”

องค์ชายสิบยัดถุงหอมใส่ในมือเขา “อืม หวางหมัวมัวบอกว่า หยีเฟยเหนียงเหนียงฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี หน้าตาก็แลดูมีน้ำมีนวลขึ้นไม่น้อย”

“หวางหมัวมัวฝากข้าเอาสิ่งนี้มามอบให้ท่าน บอกว่าสามารถคุ้มครองท่านให้ปลอดภัยได้ ถุงหอมนี้ เป็นหยีเฟยเหนียงเหนียงนางปักเองกับมือ แต่ว่ายังไม่ทันได้ปักเสร็จ......”

ครั้นพูดถึงตรงนี้ องค์ชายสิบก็ลดดวงตาลง แววตาเผยความโศกเศร้าขึ้นเล็กน้อย

กู้โม่หานมองดูถุงหอมในมือ ก็ทั้งเย็นชา ทั้งโศกเศร้าและโกรธเคืองอยู่บ้าง ก่อนจะค่อยๆ กำมันเอาไว้ในฝ่ามือช้าๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบใจน้องสิบ”

เมื่อก่อนเป็นเขาที่ไร้ความสามารถ แต่ต่อไปเขาจะไม่ปล่อยให้เสด็จแม่ถูกทำร้ายอีกแล้ว......

พอองค์ชายสิบให้หลังไป สวีหว่านหยิงก็จ้องมองหนานหว่านเยียนด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“พี่สะใภ้หก ท่านกับเสด็จพี่หกคืนดีกันหรือยัง? ล้วนมองเห็นใจกันในยามทุกข์ยากแล้ว ก็คงจะคืนดีแล้วกระมัง”

หนานหว่านเยียนลงมือซ่อมชิงช้าที่เสียหายด้วยตัวเอง จึงเอ่ยอย่างขอไปทีว่า “ข้ากับท่านอ๋องไม่เคยมีปัญหาร้ายแรงอันใดกันเสมอมา”

ความสัมพันธ์ของพวกเขาระหองระแหงมาโดยตลอด นางก็ไม่ได้กล่าวเท็จ

สวีหว่านหยิงกุมมือหนานหว่านเยียน และเอ่ยปลอบโยนนางอย่างจริงใจ “พี่สะใภ้หก แม้ว่าข้าจะอายุยังน้อย แต่ข้ารู้ดี ว่าท่านน่ะชอบเสด็จพี่หกมาก ข้าขอบอกท่านนะ ผู้หญิงเราน่ะ ไม่จำเป็นต้องรักนวลสงวนงามเกินไป เราสามารถปล่อยวางหน้าตาลงบ้างก็ได้ เพื่อให้ความรักเป็นไปด้วยดี ท่านจะต้องพักอยู่ด้วยกันกับเสด็จพี่หก หากมีปัญหาอันใดกระโจนเข้ามาใส่ พวกท่านก็มอบจุมพิตให้กันก่อนแล้วค่อยว่ากัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาร้ายแรงแค่ไหนก็ล้วนจัดการได้ ท่าน......”

“เดี๋ยวๆๆ” หนานหว่านเยียนยิ่งฟังยิ่งพิกล ได้ยินคำพูดอันตรงไปตรงมาของนางแล้วก็พลันรู้สึกเขินอาย “ท่านไม่ไปเยี่ยมกู้โม่หานแล้วหรือ?”

“แต่ข้ายังมีคำที่ต้องการพูดอีก......” สวีหว่านหยิงยังเกลี้ยกล่อมให้หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานคืนดีกันไม่สำเร็จ ก็ถูกหนานหว่านเยียนใช้ร่างกายอันเหน็ดเหนื่อยของนางผลักออกมา

สวีหว่านหยิงยืนอยู่ที่หน้าประตู แล้วตะโกนออกไปอย่างไม่ยอมแพ้ “พี่สะใภ้หกสู้ๆ !ข้าเอาใจช่วยพวกท่าน ข้าจะไปเกลี้ยกล่อมให้เสด็จพี่หกเรียนรู้วิถีแห่งสามีภรรยาด้วย สามีภรรยาทะเลาะกันบนหัวเตียง คืนดีกันที่ปลายเตียง มีอะไรค่อยพูดค่อยจากัน!”

หนานหว่านเยียนได้ยินแล้วก็พลันมึนหัว จึงตะโกนตอบนางไป “ท่านอย่าได้สอนมั่วซั่วหนา ระวังมีเรื่อง......”

นางกับกู้โม่หานไม่เหมือนนางกับองค์ชายสิบเสียหน่อย คู่รักข้าวใหม่ปลามัน

พวกเขารักเคารพซึ่งกันและกันเหมือนคนแปลกหน้า

สวีหว่านหยิงแสร้งทำไม่ได้ยิน แล้วเดินตามบ่าวไปที่ลานบ้านกู้โม่หาน

ทันใดนั้นก็มีร่างเล็กๆ สองคนเดินลับๆ ล่อๆ ออกมาจากทางเดิน นางตกใจจนถอยไปด้านหลังครึ่งก้าว“อ๊ะ เจ้าเป็นใคร?”

เกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยในมือถือถังหูลู่คนละไม้ เห็นได้ชัดว่าตกอกตกใจกับเสียงร้องของสวีหว่านหยิง จึงได้มองนางด้วยสายตาระแวดระวัง

สวีหว่านหยิงก็ตกตะลึงเช่นกัน จึงจ้องมองพวกเขาอย่างมึนงง

พวกนางเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผิวเนียนละเอียดดุจหยกขัดเงา ทำคนมองเกิดความเอ็นดู ในมือถือถังหูลู่คนละอัน มองมาที่นางพร้อมๆ กัน ดวงตาเล็กๆ ดูตื่นตัวโดยปริยาย

พระเจ้า ช่างน่ารักน่าชังเสียจริง!

แต่ว่าเด็กหญิงทั้งสองนี้ ไยยิ่งมองยิ่งคุ้นตากันนะ?

ทันใดนั้น สวีหว่านหยิงก็เบิกตาโตโพล่งสั่นระริก “พวกเจ้ากับเสด็จพี่หกเป็น......”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้