ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 353

“ท่านแม่ไม่รู้อะไรเลย เมื่อครู่ท่านปู่หมิงยังชมข้าว่ามีพรสวรรค์ด้วยล่ะ!”

หนานหว่านเยียนเกาปลายจมูกของนางด้วยความชื่นใจอย่างยิ่ง “เจ้าเรียนรู้ได้เร็ว ซาลาเปาน้อยไม่ค่อยสันทัดเรื่องด้านนี้ อย่าลืมสอนน้องสาวมากๆ แต่เจ้าเสียเปรียบด้านวรรณกรรม ซาลาเปาน้อยเปรื่องปราด ก็ต้องช่วยเหลือพี่สาว พวกเจ้าเติมเต็มกันและกัน ประคับประคองกันไปได้พอดี”

เกี๊ยวน้อยฟังสำนวนพวกนี้ไม่ค่อยเข้าใจ เพียงพยักหน้า เขย่าแก้มป่องๆ ไปมา “ข้ารู้หน่า!”

ซาลาเปาน้อยก็ก้าวไปข้างหน้าจับมือเกี๊ยวน้อยเอาไว้ ดวงตาเปล่งประกาย “ข้าจะเรียนกับพี่สาวอย่างตั้งใจ! ไม่รั้งขานางแน่นอน!”

ทันใดนั้นทั้งสี่คนก็หัวเราะด้วยกัน บรรยากาศอบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ

จากนั้นพวกเขาก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระ จู่ๆ เกี๊ยวน้อยก็ลุกขึ้นยืนอย่างพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ ชูอุ้งมือน้อยๆ ของตนเอง “ข้ายังไม่ได้แสดงวรยุทธ์ที่ข้าเพิ่งเรียนให้ท่านปู่หมิงดูเลย!”

ขณะพูด นางกำลังจะวิ่งไปด้านหน้าเรือน“ข้าจะไปเปลี่ยนเป็นชุดฝึกซ้อมในห้อง!”

ซาลาเปาน้อยรีบเดินตามไป “พี่สาวรอข้าก่อน ข้าจะไปด้วย!”

หนานหว่านเยียนอดหัวเราะไม่ได้ จ้องมองแผ่นหลังทั้งสองคนกระโดดโลดเต้น แต่แววตากลับครุ่นคิด

หากพวกนางสามารถใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลเช่นนี้ตลอดไปได้ ก็คงจะดี

แต่เพียงครู่เดียว สองคนพี่น้องวิ่งกลับเข้ามาด้วยใบหน้าขาวซีด ด้านหลังยังตามมาด้วยเซียงอวี้ที่มีสีหน้าประหม่าเช่นเดียวกัน

“ทำไมกลับมาไวเช่นนี้...” หนานหว่านเยียนถามด้วยรอยยิ้ม แต่เมื่อทั้งสามคนวิ่งเข้ามาใกล้ รอยยิ้มบนหน้านางพลันแข็งค้างเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

เพียงเห็นดวงตาเกี๊ยวน้อยยับยู่ยี่ ถือซากนกสาลิกาปากดำตัวหนึ่งไว้ในมือ “ท่านแม่ ท่านแม่ตอนพวกข้ากำลังกลับห้อง พบเจอนกน้อยตัวหนึ่งตายใต้ต้นไม้ ช่างน่าสงสารยิ่ง...”

เกี๊ยวน้อยรู้สึกเศร้าโศกเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงซาลาเปาน้อย

ความเห็นอกเห็นใจของเด็กทั้งสองสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีล่ากับปู๋ล่าเป็นเพื่อนมาตั้งแต่เด็ก เห็นสัตว์ตัวเล็กๆ ตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้เป็นที่สุด

หนานหว่านเยียนก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว วางซากนกสาลิกาปากดำในมือเกี๊ยวน้อยลงบนพื้น “ไม่เป็นอะไร นกสาลิกาปากดำตัวน้อยเพียงไปดินแดนอื่น มันอยู่ที่นั่นได้อย่างมีความสุข”

ฤดูกาลนี้ จะมีนกสาลิกาปากดำหรือ

โม่หวิ่นหมิงลดสายตาลง สำรวจซากนกสาลิกาปากดำอย่างตั้งใจ

เซียงอวี้แสดงความกระวนกระวายอยู่ด้านข้าง จ้องมองซากนกสาลิกาปากดำตัวนั้นรู้สึกเพียงหวาดกลัวมาก “พระชายาเพคะ โปรดอภัยที่บ่าวปากมาก แต่การตายของนกสาลิกาปากดำเป็นลางร้าย โดยเฉพาะถ้ามันตายในเรือน”

“ไม่รู้ว่า เป็นเพราะกลศาสตร์พวกนั้นที่วางไว้ในเรือนของท่านปู่หมิงหรือไม่ ไม่ระวังทำร้ายนกสาลิกาปากดำตัวนี้ ถึงได้...”

พูดจบ นางก็เหลือบมองโม่หวิ่นหมิงอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวจะพูดแรงไป ทำให้เขาไม่สบายใจ

โม่หวิ่นหมิงกลับไม่ไร้เหตุผลเงยหน้าขึ้นอย่างเฉยเมย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบ

“กลศาสตร์ไร้ความปรานีจริงๆ ไม่แบ่งแยกมนุษย์และสัตว์ ตราบใดที่มีคนกระตุ้น จะต้องตายอย่างแน่นอน ข้าก็ไม่แน่ใจว่า เรื่องนี้เป็นเพราะกลศาสตร์หรือไม่”

กลศาสตร์ล้วนละเอียดถี่ถ้วนกว่า ปกติทำร้ายคนที่มองไม่เห็น บนร่างนกสาลิกาปากดำนี้ไม่มีบาดแผลใหญ่ ทั้งไม่มีเลือดออก เขาจึงระบุไม่ได้

หนานหว่านเยียนปลอบเด็กสองคน พร้อมฟังบทสนทนาของทั้งสอง ขมวดคิ้วเล็กน้อยขึ้นมา

กระทั่งสีหน้าเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อยในอ้อมแขนค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาด นางถึงหันไปตรวจสอบซากนกสาลิกาปากดำ

“ไม่มีบาดแผล ตัวไม่แข็งทื่อ ไม่ได้แข็งตาย...” หนานหว่านเยียนมองนกสาลิกาปากดำอย่างจริงจัง แหวกขนนกของมันออกตรวจสอบอยู่หลายรอบ

ท้ายที่สุดหางตาชำเลืองมองจะงอยปากของนก มีร่องรอยผงแป้งเล็กน้อย

นางขมวดคิ้ว มือจิ้มบนผงแป้งแล้วใช้นิ้วถูๆ จากนั้นจ่อจมูกดมกลิ่น “ไร้กลิ่น แต่เป็นผลึก”

คนที่ไม่เรียนแพทย์อาจไม่เข้าใจ แต่นางรู้ว่า มันคือสารหนู

“นกสาลิกาปากดำถูกคนวางยาตาย น่าจะตายได้ไม่นานนัก ไม่เกี่ยวข้องกับกลศาสตร์”

นางเพิ่งทำให้หยุนอี่ว์โหรวอับอายขายขี้หน้า และตอนนี้ก็พบนกสาลิกาปากดำถูกคนวางยาตายในเรือนของนาง หรือว่าดอกบัวขาวน้อยคิดจะหาเรื่องอะไรอีก

หากเรื่องที่เดาเป็นจริง ดอกบัวขาวน้อยแข็งแกร่งยิ่งกว่าแมลงสาบยิ่ง นางสงสัยว่าหยุนอี่ว์โหรวชอบกู้โม่หานจริงหรือไม่ ถูกเขาหักอก นางไม่ต้องพักหน่อยหรือ!

ถูกวางยาตาย?

สีหน้าเซียงอวี้พลันเปลี่ยน เดือดดาลไม่พอใจ “เป็นผู้ใดกัน ที่เลวทรามต่ำช้าขนาดนี้!”

สองพี่น้องได้ยินก็ยิ่งเศร้า มองหนานหว่านเยียนด้วยน้ำตาคลอ “ท่านแม่พวกข้าอยากทำหลุมศพฝังนกสาลิกาปากดำตัวน้อย”

“พวกคนร้ายที่วางยานกสาลิกาปากดำตัวน้อย ต้องถูกฟ้าผ่าหมดอย่างแน่นอน!”

“ไปเถอะ” หนานหว่านเยียนให้เซียงอวี้พาพวกนางไปหลังเรือน

เด็กๆ เดินจากไป โม่หวิ่นหมิงก็ขมวดคิ้ว กำชับอย่างเคร่งขรึม

“หว่านหว่านเรื่องนี้ห้ามชะล่าใจเด็ดขาด ต้องเตรียมป้องกันให้ดี”

ความทรงจำของเขากับวังมีไม่มาก แต่เขาก็เคยมีประสบการณ์ กับการต่อสู้ทั้งต่อหน้าและลับหลัง วิธีการเลวทรามต่ำช้า

นกสาลิกาปากดำเป็นสัญลักษณ์ของความสิริมงคล นกสาลิกาปากดำตัวเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้เซียงอวี้เปลี่ยนสีหน้า รู้สึกเป็นลางไม่ดี หากมันตายเกลื่อนกลาด ยิ่งสื่อว่าภัยพิบัติจะมาเยือน ถูกคนเจ้าเล่ห์หลอกใช้ได้ง่าย

หนานหว่านเยียนย่อมรู้ข้อดีข้อเสีย นางก้มศีรษะลงเล็กน้อย ดวงตาเย็นยะเยือก “ข้ารู้แล้ว”

อยู่ดีไม่ว่าดี ก็แกว่งเท้าหาเสี้ยนซะจริง

ใช้วิธีที่ทั้งเงอะงะและอำมหิตเช่นนี้มาจัดการนาง หยุนอี่ว์โหรวช่างไร้ขอบเขตเสียจริง!

คนที่มองว่าชีวิตมนุษย์และชีวิตสรรพสัตว์ เป็นผักเป็นปลาเช่นนี้ จะเป็นฝ่ายเริ่มช่วยคนก่อนจริงรึ อย่างไรนางก็ไม่เชื่อหรอก!

โม่หวิ่นหมิงเห็นนางเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่สายตากลับอดมองนางแล้วมองอีกไม่ได้ แววตาอ่อนโยนมาก

สายลมพัดผ่านแผ่วเบา เส้นผมหนานหว่านเยียนปลิวสยาย ตกลงบนมือเขา นิ้วเรียวยาวของเขาพลันกระชับอย่างอ่อนแรง ไม่ได้จับเอาไว้ หนานหว่านเยียนเงยศีรษะขึ้นมองทางพวกเด็กๆ เดินไป

“ไม่รู้ว่าเด็กทั้งสองคนนั้นจะไปฝังศพไว้ที่ใด ยังไม่กลับมาอีก”

ฝ่ามือว่างเปล่า ดวงตาโม่หวิ่นหมิงสลัวขึ้นหลายส่วน “มีเซียงอวี้อยู่ด้วย ไม่ต้องกังวลหรอก”

“อืม” ขณะหนานหว่านเยียนไม่ได้สนใจแผนการปองร้ายมากนัก ก็เผยรอยยิ้มขึ้นอีกครั้ง เอ่ยกับโม่หวิ่นหมิงว่า “ท่านน้า ขาของเจ้าต้องลมหนาวนานไม่ได้ เข้าห้องก่อนเถอะ ข้าจะจ่ายยาที่ข้าให้เจ้า”

โม่หวิ่นหมิงปรับอารมณ์อย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มให้นาง

“ได้”

หนานหว่านเยียนลุกขึ้น กำลังไปเข็นรถเข็นของเขา ไม่คาดคิดว่าขาจะชา ทันใดนั้นทั้งร่างก็เอนไปข้างหน้า

“หว่านหว่าน” ม่านตาโม่หวิ่นหมิงขดเกร็ง ยืนขึ้นจากรถเข็นอย่างว่องไว เอื้อมมือไปคว้าหนานหว่านเยียน

หนานหว่านเยียนกำลังคว้ามือของเขาตามสัญชาตญาณ แต่เอวพลันถูกรัดแน่น ร่างกายพลิกหมุน ถูกคนจากด้านหลังรอบเข้าไป

นางกระแทกเข้ากับอ้อมแขนของชายหนุ่มที่คุ้นเคยอย่างแรง

หน้าอกของเขาแข็งมาก จมูกหนานหว่านเยียนกระแทกจนเจ็บไปหมด เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กอดนางทันที สายตาตกตะลึง

“เจ้ามาได้อย่างไร...”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้