ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ นิยาย บท 366

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของสองหนูน้อยก็เปลี่ยนไปทันที

หนานหว่านเยียนกับกู้โม่หานยิ่งรู้สึกราวกับว่า ถูกดาบคม ๆ เสียบแทงทะลุหัวใจก็ไม่ปาน

หนานหว่านเยียนรีบคุกเข่าลงทันที ไม่ว่าจะเป็นลูกไม่มีพ่อก็ดี หรือลูกที่ตั้งใจปิดบังไว้ไม่ยอมรายงานก็ช่าง สองหัวข้อนี้ต่างก็มีประเด็นที่พาไปในทางร้ายอย่างชัดเจนทั้งคู่ นางไม่อาจปล่อยให้ฮ่องเต้สืบสาวเจาะลึกไปในทั้งสองทิศทางนี้ได้

"เสด็จพ่อ หม่อมฉัน...."

"ข้าไม่ได้ถามเจ้า!" กู้จิ่งซานกลับไม่ให้โอกาสหนานหว่านเยียนพูดอะไรทั้งนั้น ขว้างถ้วยชาในมือลงบนพื้นอย่างแรง แล้วมองไปที่กู้โม่หาน ด้วยสายตาเย็นชาประดุจลิ่มน้ำแข็ง

"อ๋องอี้ ไหนเจ้าอธิบายมาให้ข้าฟังหน่อยซิ ว่าสรุปแล้วเด็กสองคนนี้เป็นลูกของเจ้าใช่หรือไม่?!"

หนานหว่านเยียนคิดจะพูด แต่กลับถูกฮ่องเต้ขัดขวางจนไม่เหลือทางไปต่อ นางกัดฟันพลางหันไปมองไทเฮา แต่ไทเฮากลับส่ายหน้าให้ นางจึงจำต้องอดกลั้นไว้ ไม่ส่งเสียงอะไรออกไปอีก

บรรยากาศในตำหนักใหญ่กดดันถึงขีดสุด ทุกคนต่างตื่นตระหนกจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

ดูเหมือนว่าเรื่องที่อ๋องอี้ปิดบังว่ามีลูกสาว จะทำให้ฝ่าบาทโกรธจนเกินระงับแล้วจริง ๆ !

อ๋องเฉิงขมวดคิ้วมุ่น สองตาจับจ้องไปที่กู้โม่หานเขม็ง ร้อนใจอยากรู้คำตอบของเขา

แต่หนานชิงชิงกลับจับตาดูภาพฉากนี้ด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความคาดหวัง ในดวงตาแฝงแววเย้ยหยันน้อย ๆ

แน่นอนว่ากู้โม่หานเองก็ฟังออก ว่าคำพูดของฮ่องเต้เป็นกับดัก

แต่เขากลับแค่หรี่ตาลงแล้วตอบอย่างเคร่งขรึมว่า: "ทูลเสด็จพ่อ เด็กผู้หญิงสองคนนี้เป็นลูกของกระหม่อมเอง สายเลือดที่ไหลเวียนในร่างก็เป็นเลือดของตระกูลกู้ ข่าวที่เล่าลือกันข้างนอกล้วนเป็นเรื่องเท็จ ไม่ใช่เรื่องจริงแต่อย่างใด"

หนานหว่านเยียนมองไปที่กู้โม่หานตาเขม็ง รู้สึกว่าเส้นประสาทตึงเปรี๊ยะขึ้นมาทุกขณะ

กู้จิ่งซานมองไปที่หนูน้อยทั้งสอง เด็ก ๆ มีใบหน้าสมส่วนได้รูป ดูมีส่วนคล้ายกับหนานหว่านเยียนราว ๆ เจ็ดส่วน น่ารักน่าชัง เหมือนเด็กน้อยในภาพวาดเทศกาลปีใหม่ มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกว่าน่ารักจนแทบอดใจไม่ไหว คิ้วตาดูมีเค้าโครงละม้ายคล้ายกู้โม่หานอยู่หลายส่วน

ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ ถ้าจะบอกว่าเป็นลูกนอกสมรสของผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ เขาจ้องไปที่กู้โม่หานด้วยแววตาคมกริบ น้ำเสียงเย็นชาอย่างยิ่ง

“ในเมื่อเป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แล้วทำไมเจ้าต้องปิดบังไม่ยอมรายงานมานานถึงห้าปีด้วยล่ะ? เจ้าหลอกลวงเบื้องสูงเช่นนี้ มีเจตนาแอบแฝงอะไรอยู่กันแน่?!”

หนานหว่านเยียนขมวดคิ้วแน่น ในดวงตาปรากฏประกายเย็นเยียบวาบผ่าน

เดิมทีฮ่องเต้ก็มีอคติกับกู้โม่หานและนางอยู่ก่อนแล้ว เรื่องของเด็ก ๆ ทำให้เขาสบโอกาสหาข้ออ้างแตกหักได้พอดี จึงส่งผลให้เขาไล่บี้ไม่หยุด

แต่นางคิดดูแล้วก็รู้สึกแปลกใจมากจริง ๆ การที่ฮ่องเต้จะพุ่งเป้าไปที่พระสนมมันเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ เพราะถึงอย่างไรพระสนมก็เป็นแค่เครื่องมือที่ใช้รักษาสมดุลของราชสำนัก แต่การพุ่งเป้าโจมตีที่อาฆาตมาดร้ายขนาดนี้ โดยมีเป้าหมายเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง มันก็ดูจะเกินเหตุไปหน่อยจริง ๆ

"เสด็จพ่อ เรื่องนี้หม่อมฉัน....." หนานหว่านเยียนยังพูดได้ไม่ถึงสองประโยคด้วยซ้ำ ก็ถูกตัดบทด้วยคำพูดแบบเฉียบขาดของกู้จิ่งซานอีกครั้ง

“พระชายาอี้ ในเมื่อเด็กสองคนนี้ไม่ใช่ลูกไม่มีพ่อ เช่นนั้นแล้วเรื่องที่จะพูดต่อจากนี้ไปคือเรื่องของบ้านเมือง เป็นเรื่องภายในราชสำนัก ถ้าเจ้ายังสอดปากขึ้นมาอีกแม้แต่คำเดียวล่ะก็ ข้าจะสั่งให้ลงโทษโบยเจ้าด้วยไม้กระดานเดี๋ยวนี้เลย!”

ที่เขาเรียกหนานหว่านเยียนมาที่นี่ ไม่ใช่เพื่อจะฟังนางพลิกลิ้น หรือช่วยรับโทษแทนกู้โม่หาน

แต่คิดจะลงโทษต่อความผิดของสองคนผัวเมีย หนานหว่านเยียนมีลิ้นที่คมคายวาจาฉะฉาน สามารถพูดกลับดำให้เป็นขาวได้ เขาย่อมไม่เปิดโอกาสให้นางพูดเด็ดขาด

ในตำหนักบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร หรือกล้าลุกขึ้นห้ามปราม

เพราะสุดท้ายแล้ว ทายาทของฮ่องเต้ย่อมแตกต่างจากทายาทของปุถุชนคนทั่วไป เพราะมันส่งผลต่อตำแหน่งรัชทายาท ซึ่งเป็นรากฐานของประเทศ

กู้โม่หานปกปิดเรื่องนี้มานานถึงห้าปี เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ถือเป็นความผิดฐานปิดบังเบื้องสูง ใครจะไปกล้าหยุดกล้าห้ามล่ะ? ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกรึ?

หนานหวานเยียนจึงทำได้แต่ต้องหุบปาก

ที่นางปิดบังซ่อนเร้นชาติกำเนิดของเด็ก ๆ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นางถูกขังอยู่ในเรือนเย็นมาห้าปี แน่นอนว่าย่อมไม่มีโอกาสแพร่งพรายเรื่องของเด็ก ๆ ออกไปได้อยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่อยากให้ยัยหนูทั้งสองต้องกลายเป็นเชื้อพระวงศ์

สรุปว่าใครกันแน่ล่ะที่เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของเด็ก ๆ? เป็นคนในจวน? หรือว่าคนในวัง?

หนานหว่านเยียนไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่นางรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับหยุนอี่ว์โหรวอย่างดิ้นไม่หลุด เพราะในจวนอ๋องอี้ นางคือคนที่เกลียดตนเองที่สุด

กู้จิ่งซานไม่สนใจว่าหนานหว่านเยียนจะคิดอะไร กึ่ง ๆ หรี่กึ่ง ๆ ลืมตาด้วยสีหน้าเย็นชา "อ๋องอี้ ทำไมยังไม่รีบตอบมาอีก?"

สองคิ้วเรียวยาวได้รูปของกู้โม่หานขมวดแน่น ยังคงครุ่นคิดอยู่ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไรดี

สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย วันนี้คงต้องหกคะเมนหน้าคว่ำไม่เป็นท่าแน่ ๆ

เมื่อกู้จิ่งซานเห็นว่ากู้โม่หานไม่สามารถตอบได้ ในดวงตาก็เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ เย็นชาสุดขีด

"ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปิดบังชาติกำเนิดของเลือดเนื้อเชื้อไขแห่งราชวงศ์ หากเจ้าตอบไม่ได้ เจ้ากับพระชายาอี้จะต้องถูกลงโทษในความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง! ทหาร—"

"ช้าก่อน!" ทันใดนั้นแววตาของกู้โม่หานก็ดำทะมึน มองตรงไปที่ฮ่องเต้ "เสด็จพ่อ เรื่องที่ให้ปิดบังไว้เป็นความคิดริเริ่มของกระหม่อมเอง เมื่อห้าปีก่อนกระหม่อมยังไม่ชอบพระชายา คิดว่านางน่ารำคาญ แต่แล้วนางก็ให้กำเนิดลูกสาวสองคน กระหม่อมเกรงว่านางจะยิ่งไม่เห็นใครในสายตา จึงจงใจเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ"

"หากเสด็จพ่อจะลงโทษ ก็ลงโทษกระหม่อมคนเดียวเถอะพ่ะย่ะค่ะ"

กู้โม่หานรับสารภาพออกมาโดยตรง เรื่องมีลูกแล้วไม่บอกจะอย่างไรก็ไม่มีทางหักล้างได้แน่แล้ว ตอนนี้ จำเป็นต้องมีใครสักคนรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ทั้งสีหน้าและท่าทางที่แสดงออกของหนานหว่านเยียนกับหนูน้อยทั้งสอง ดูตื่นตกใจไม่น้อย

หัวใจของสองพี่น้อง ก็ถูกจู่โจมจนรู้สึกตื้นตันมากเช่นกัน

ลุงกู้ถึงกับปกป้องพวกนางขนาดนี้เลยเชียวหรือ.....

ชีกุ้ยเฟยเลิกคิ้วขึ้นสูง พระชายาอ๋องเฉิงดูมีท่าทางไม่พอใจน้อย ๆ แต่ก็เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้

นางอุตส่าห์โหมกระพือข่าวลือเรื่องลูกไม่มีพ่อจนมันลุกลามใหญ่โตขนาดนี้ เพราะเดาได้ว่าถ้าไม่ใช่หนานหว่านเยียนยอมรับผิด ก็ต้องเป็นกู้โม่หานที่ถูกลงโทษ

เรื่องคราวนี้กลับตัวไม่ได้แน่นอนแล้ว นอกเสียจากว่าเรื่องนี้จะยังไม่ถูกเปิดเผยต่อคนภายนอก หรือเป็นพวกเขาเองที่เผยแพร่ข่าวนี้ให้คนภายนอกรู้

แต่น่าเสียดาย ที่พวกเขาทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว

สีหน้าของฮ่องเต้หนักอึ้งดำทะมึน ขณะที่กำลังจะตำหนิกู้โม่หานด้วยความโกรธ จู่ ๆ น้ำเสียงสั่นเครือแบบคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน

"เอาเถอะ หยุดเถียงกันได้แล้ว เรื่องนี้เป็นข้าเองที่บอกให้เจ้าหกปิดบังไว้ ....."

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้