บทที่ 228 ช่วยชีวิตคนจวนเฉินเสี้ยง
กงชิงวี่เดินอยู่ข้างอันหลิงหยุน เอ่ยพลางถอนหายใจ: "นี่ข้าควรชื่นชมเจ้า หรือควรเป็นห่วงเจ้าดีล่ะ?"
"ต้องเป็นห่วงเรื่องอันใดกันเพคะ?" อันหลิงหยุนไม่เห็นด้วยกับความเห็นดังกล่าว
"หลิงหยุนตอนนี้ต้องการลมได้ลม ต้องการฝนได้ฝน โชควาสนาดีถึงเพียงนี้ ทำไมข้าจะรู้สึกเป็นห่วงไม่ได้?" กงชิงวี่บ่นงึมงำๆด้วยความหงุดหงิด
อันหลิงหยุนรู้สึกขบขัน: "หากว่าท่านไม่มีความสุข ท่านเลิกกับข้าไปเสีย เท่านี้ท่านก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้วเพคะ"
"พูดจาเหลวไหล! ข้าไม่เลิกเด็ดขาด!"
“ ท่านอ๋อง ท่านมีสิ่งใดต้องเป็นห่วงกันเพคะ? ตรงกันข้ามท่านมีพระชายาอย่างข้าถือเป็นโชคดีที่น่าเฉลิมฉลอง หากไม่มีข้า ท่านเป็นเหมือนอ๋องตวนไปตบแต่งพระชายารอง สองข้างล้วนโคลงเคลงแกว่งไกวไม่มั่น เป็นเช่นนั้นท่านจะมีคืนวันอันสงบสุขได้หรือเพคะ?”
“ที่ข้าไม่แต่งพระชายารองนี่ นับว่าเป็นความดีความชอบของหลิงหยุนแล้ว?”
“ ถ้าเช่นนั้นท่านอ๋องจะลองดูก็ได้นะเพคะ ลองแต่งพระชายารอง แล้วดูว่าข้าจะทำเช่นไร?” อันหลิงหยุน
มองไปที่กงชิงวี่ด้วยท่าทีไร้ความขุ่นเคืองใดๆ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งมองก็ยิ่งไม่สบายเนื้อตัวเอาเสียเลย
กงชิงวี่เริ่มรู้สึกไม่ดี เอ่ยอย่างรีบร้อน: "ข้าไม่พิศวาสพระชายารอง ข้าพิศวาสเพียงหลิงหยุน!"
“ฮึ! ข้าว่าท่านยังไม่ตายใจมากกว่า เห็นผู้อื่นแต่งพระชายารอง หัวใจท่านคงจะคันยุบยิบๆ อยากแต่งเสียแทบแย่ ”
“ ข้าไม่เคยคิด หยุดพูดจาเหลวไหล”
กงชิงวี่จับจูงมืออันหลิงหยุนไว้ ไม่กล้ามองไปที่นาง
อันหลิงหยุน กลอกตามองบนใส่กงชิงวี่ด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เดินตามหลังไปด้วยท่าทีเมินเฉยไม่แยแส
ทั้งสองมาถึงจวนท่านอ๋องใหญ่ หน้าประตูจวนล้วนเต็มไปด้วยโคมไฟสีขาว แว่วเสียงร้องไห้แผ่วเบาอยู่ข้างใน
นี่เรียกได้ว่า มีคนตายไม่ได้แจ้งจัดงานศพได้อย่างถูกต้อง
อันหลิงหยุนหยุดและมองเข้าไปข้างใน
กงชิงวี่ก็หยุดด้วยเช่นกัน
“ ท่านอ๋อง ตอนที่ท่านลงดาบสังหารคน ท่านลังเลบ้างหรือไม่ ว่าสุดท้ายแล้ว นั่นคือคนในครอบครัวเดียวกันกับท่าน?”
"ไม่! เมื่อคิดถึงอ๋องชินยู่แล้ว ข้าไม่อาจใจอ่อน พวกเขาสังหารอ๋องชินยู่ ข้าสามารถละเว้นพวกเขาได้ แต่พวกเขาสังหารครอบครัวอ๋องชินยู่ทั้งบ้าน ข้าไม่อาจละเว้นพวกเขาได้”
เมื่อเห็นว่ากงชิงวี่โกรธแล้ว อันหลิงหยุนจึงลากเขาออกเดินจากไป
หลังออกห่างจากจวนอ๋องใหญ่ อันหลิงหยุนจึงถามว่า "ท่านอ๋องเรื่องนี้เป็นเรื่องของจวนท่านอ๋องใหญ่จริงๆหรือเพคะ?"
กงชิงวี่ส่ายหน้า: "ไม่ใช่ จวนอ๋องใหญ่โดยมากแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หากเอ่ยถึงผู้บงการ พวกเขาเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนที่ท่านอ๋องใหญ่ยังหนุ่ม ไม่ได้มีความฉลาดเฉลียวเช่นนั้น เมื่อเขาอายุมาก ก็ไม่ได้มีความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูงอันใดแบบนั้น ดังนั้นจึงไม่ใช่จวนอ๋องใหญ่
ตัวอ๋องชินยู่เองก็ไม่น่ามีความทะเยอทะยานได้ อ๋องชินหรงแน่อยู่แล้วว่า ต้องมีความทะเยอทะยานอยู่ แต่ความทะเยอทะยานของเขา ไม่ได้อยู่ในราชสำนักเขาแค่ทำตามใครบางคนที่คอยให้คำแนะนำเสนอแผนการให้ก็เท่านั้น
หากเจ้านายตกที่นั่งลำบาก พวกเขาต้องมีคนคอยแก้ปัญหาให้ เดิมทีพวกเขาต้องการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว หาทางช่วยเจ้านาย ใส่ร้ายโยนความผิดให้ข้า
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ข้าจะเป็นฝ่ายย้อนไปแว้งกัดพวกเขากลับ
ตลอดมาท่านป้ารักใคร่เอ็นดูข้ามาก อ๋องตวนเกิดเรื่องท่านป้าทุกข์ใจเหลือแสน แต่เมื่ออ๋องตวนไม่เป็นไรนางจึงยังพออดกลั้นไว้ได้ ข้าเกิดเรื่องจึงเป็นการไปยั่วให้ท่านป้าเกิดโทสะ การตรวจสอบย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
ท่านป้าทำการตรวจสอบ ย่อมต้องหาผู้บงการออกมาได้
พวกเขาจึงทำได้เพียงต้องให้คนออกมารับปัญหา
เป็นธรรมดาที่กงชิงห่าวฉือย่อมไม่ได้ มีเพียงต้องให้อ๋องชินยู่เป็นคนออกมารับไป
"ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะยอมล้มเลิกไปทั้งอย่างนี้หรือเพคะ?"
กงชิงวี่ส่ายหน้า: "หากง่ายดายเช่นนี้ย่อมไม่ใช่พวกนั้นแล้ว ข้ายังไม่เกิด พวกเขาก็บงการวางแผนกันแล้ว จนตอนนี้ข้าอายุเท่าไหร่ จนลูกชายใกล้จะออกมาลืมตาดูโลกแล้ว พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เกรงว่าเรื่องยอมแพ้ล้มเลิกไปคงไม่อาจเป็นไปได้แน่แล้ว
อันหลิงหยุนก็รู้สึกเช่นกัน อดถามไม่ได้ว่า “ เช่นนั้นท่านอ๋องคิดว่าใครเป็นเจ้านายหรือเพคะ?”
"ข้าจะรู้ได้กระไร ข้าเห็นใครก็เหมือนว่าใช่ไปเสียหมดทุกคน" กงชิงวี่เริ่มมีอารมณ์โกรธแล้ว อันหลิงหยุนจึงไม่อยากคุยกับเขาอีก
อันใดคือสิ่งที่เรียกว่า เห็นใครก็เหมือนว่าใช่ไปเสียหมด?
แต่ก็ไม่เหมือนที่เขาพูดออกมาเสียทีเดียว
ที่ไม่พูด ก็เพียงเพราะไม่อยากจะยอมรับมันก็เท่านั้นเอง
ทั้งสองคนอ้อมเป็นวงกลมจนครบรอบ ก็ยังต้องมาถึงหน้าประตูจวนเฉินเสี้ยงจนได้
อันหลิงหยุนถาม: "ควรต้องเข้าไปไหมเพคะ?"
มีรถม้าของพระราชวัง จอดอยู่ที่หน้าประตูจวนอ๋องตวน ทหารกองทัพวี่หลินหลายนายยืนอยู่ที่ประตู เพียงเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าฮ่องเต้ชิงหยู่และฮองเฮาทรงประทับอยู่ด้านใน
นี่เป็นการกลับมาพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว
“ ข้าไม่เข้าไปแล้วดีกว่า”
เมื่อพาอันหลิงหยุนจากมา ทั้งคู่ก็กลับไปยังจวนอ๋องเสียน
แม่ทัพอัน มารออยู่ในจวนนานแล้ว
อันหลิงหยุนเข้าประตู แม่ทัพอันก็รีบเดินออกมาอย่างรีบร้อน
“ นี่มันเวลาอันใดแล้วยังมีเรี่ยวมีแรงออกไปเที่ยวเล่น รอพวกเจ้ามาเป็นวันแล้ว เพิ่งกลับมาเอาป่านนี้ ไปวิ่งเล่นถึงไหนกันมา?”
ทันทีที่แม่ทัพอันได้พบหน้าก็เริ่มระบายไม่ยั้ง อันหลิงหยุนงุนงงสงสัยเต็มใบหน้า นี่นางไม่ได้ไปก่อเรื่องอันใดกับใครไว้ใช่ไหม?
“ ท่านพ่อตามีธุระใดเรียกหาข้ากับหลิงหยุนหรือขอรับ?” กงชิงวี่ถาม
เวลานี้นายพลอันจึงนึกขึ้นได้ ถึงเรื่องสำคัญจนต้องมาตามหาอันหลิงหยุน: "เฉิงเสี้ยงฮูหยิงป่วยหนักมาก พ่อไปเยี่ยมนาง นางไอและอาเจียนเป็นเลือดอยู่ตลอด แม้กระทั่งเหล่าหมอทั้งหลายก็ล้วนอับจนหนทาง แต่พ่อคิดว่า หากหลิงหยุนสามารถรักษา ลองไปดูเสียหน่อยก็ได้
“ไม่ได้”
อันหลิงหยุนยังไม่ทันจะได้พูดอันใด กงชิงวี่ก็ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงเสียแล้ว
อันหลิงหยุนและแม่ทัพอันรู้สึกงงงวย พ่อและลูกสาวมองไปยังกงชิงวี่ในเวลาเดียวกัน โดยไม่ได้นัดหมาย กงชิงวี่กล่าวว่า: “ เสินฮูหยินเป็นวัณโรคปอด เป็นโรคติดต่อที่แพร่เชื้อได้ แต่ไหนแต่ไรมาผู้ที่ติดเชื้อวัณโรคปอดไม่มีใครมีชีวิตรอด หลิงหยุนร่างกายอ่อนแอ ไปไม่ได้”
ใบหน้าของกงชิงวี่แสดงถึงความเฉียบขาด แม่ทัพอันรู้สึกไม่พอใจ: "เรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตคนไม่ไปได้กระไร หลิงหยุนเป็นหมอ ไม่มีทางเป็นอันใดไปได้"
"ท่านพ่อตา ถึงแม้ว่าระยะนี้หลิงหยุนจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ร่างกายนางมีบางอย่างที่พิเศษมาก ไม่อาจไปได้โดยเด็ดขาด"
"พูดจาเหลวไหล!" แม่ทัพอันยังอยากพูดอันใดต่อ แต่ถูกอันหลิงหยุนหยุดไว้
"บิดา ท่านไปที่จวนเฉินเสี้ยงก่อน ข้าจะไปเอากล่องยา อย่าไปฟังคำพูดเหลวไหลไร้สาระของเขา ช่วงนี้ยิ่งนับวัน เขาก็ยิ่งผิดมนุษย์มนาทั่วไป ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นเข้าไปทุกที บิดาพูดถูกแล้ว เรื่องเกี่ยวพันกับชีวิตคน จะไม่ไปได้กระไรกัน"
“ หลิงหยุน .... ” กงชิงวี่ยังไม่ยอม
อันหลิงหยุนไม่พอใจ ปรายตามองไปที่เขา จึงหันไปมองแม่ทัพอัน: "บิดา ท่านไปเถอะเจ้าค่ะ"
ด้วยเหตุนี้แม่ทัพอันจึงจากไป ก่อนไปเขายังมองไปที่กงชิงวี่ด้วยอารมณ์ไม่สู้จะดีอีกด้วย
แม่ทัพอันไปแล้ว กงชิงวี่ก็ยังคงพูดว่า "ข้าไม่ให้เจ้าไป"
"ท่านอ๋อง ท่านบังคับข้าได้ด้วยหรือ?" หลิงหยุนมีท่าทีทระนงอย่างมาก
สีหน้าของกงชิงวี่ดูไม่ได้ : "นี่ข้าปล่อยให้เจ้าขึ้นสวรรค์ได้แล้วอย่างนั้นรึ!?"
อันหลิงหยุนไม่เอ่ยคำ
พ่อบ้านไม่กล้าแสดงตัว ได้แต่ซ่อนตัวเฝ้าดูอยู่ในความมืด
คิดในใจ ดูแล้วไม่น่าจะบังคับได้
อันหลิงหยุนหันหลังกลับไป กงชิงวี่จึงเดินตามไปด้วย
เมื่อเข้าประตูไปอันหลิงหยุนไปเตรียมตัว กงชิงวี่เข้าไปรั้งไว้: "หลิงหยุน ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่เช่นนี้ จะไปที่นั่นได้กระไร?"
อันหลิงหยุนเก็บกล่องยา ใส่เข็มฉีดยาและยาเวชภัณท์ทั้งหลายเข้าไป หันกายกลับมาและนำกล่องยาใส่เข้าไปไว้ในมือของกงชิงวี่: "การที่ท่านอ๋องพาข้าไปที่จวนเฉินเสี้ยง ไม่ใช่ว่าท่านเองก็ลังเลอยู่หรอกหรือเพคะ?"
กงชิงวี่ไม่ได้เอ่ยคำใด หากแต่ถูกพูดแทงใจเข้าแล้ว
อันหลิงหยุนเอ่ยถามว่า: "ท่านอ๋อง หากท่านไม่ไปข้าจะไปเองแล้วนะเพคะ?"
อันหลิงหยุนเตรียมจะออกไป กงชิงวี่จึงรั้งนางไว้: "เจ้ามีความมั่นใจว่าจะทำสำเร็จหรือไม่?"
“ความมั่นใจนั้นไม่มีเพคะ เมื่อไหร่กันที่ท่านอ๋องได้เห็นหมอพูดจาใหญ่โต ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าเขาจะช่วยคนได้แน่นอน นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้เพคะ”
คิ้วของกงชิงวี่ ขมวดแล้วขมวดอีก: "เช่นนั้นสามารถป้องกันได้หรือไม่?"
"ท่านอ๋อง ข้าเคยสัมผัสกับวัณโรคปอดมานานแล้ว ตอนนั้นมีผู้ลี้ภัยอยู่นอกเมือง เป็นข้าเองที่ช่วยรักษาพวกเขา ข้าในตอนนั้นไม่ได้ถูกแพร่เชื้อใส่ มาตอนนี้จะถูกแพร่เชื้อเสียแล้ว?"
กงชิงวี่ยอมหลีกทางในที่สุด อันหลิงหยุนเดินนำไป เขาเพียงเดินตามอยู่ข้างหลัง สุดท้ายก็ยังคงรู้สึกกังวลไม่หาย
ระหว่างทางทั้งสองคนไม่พูดไม่จา โดยสารรถม้าไปยังจวนเฉินเสี้ยง
กงชิงวี่ลงจากรถม้า มือหนึ่งถือกล่องยาขึ้นมา ส่งมืออีกข้างหนึ่งไปช่วยอันหลิงหยุนลงมาจากรถ เขาใช้เพียงมือเดียวอุ้มคนลงจากรถม้า
รอจนกระทั่งเท้าทั้งสองข้างของนางยืนลงบนพื้นได้อย่างมั่นคง กงชิงวี่จึงค่อยปล่อยคน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน