ยอดหมอยาของอ๋องเสียน นิยาย บท 313

บทที่ 313 กงชิงวี่เข้าวังไปเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์

กงชิงวี่รักษาอาการเจ็บป่วยอยู่หลายวัน ระหว่างนั้น อันหลิงหยุนก็ไม่ได้ออกจากจวนแม่ทัพเลยเช่นกัน จึงศึกษาวิจัยคัมภีร์พิษประหลาดอยู่ที่สวนหลังจวนแม่ทัพ

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ร่างกายของกงชิงวี่ดีขึ้นจนไม่เป็นไรแล้ว แต่เขาไม่อยากออกไปข้างนอก อันหลิงหยุนศึกษาวิจัยพิษประหลาด เขาก็เพียงอยู่ข้างๆ เฝ้าดูนางเช่นนั้น ใช้ชีวิตช่วงหลายวันนั้นผ่านไปอย่างสบายอกสบายใจ

ไม่กี่วันต่อมาอันหลิงหยุนถูกเรียกให้เข้าวัง กงชิงวี่จึงติดสอยห้อยตามเข้าวังไปด้วย

ฮ่องเต้ชิงหยู่ ทอดพระเนตรไปยังกงชิงวี่ ซึ่งยืนอยู่ที่เบื้องล่างพระที่นั่ง ตรัสด้วยสุรเสียงแสดงความเคารพให้เกียรติอย่างยิ่งว่า : "ข้าจำได้ว่าไม่ได้เรียกให้อ๋องเสียนเข้าวัง เหตุใดอ๋องเสียนจึงเข้าวังมาหรือ?"

"หม่อมฉันรู้สึกว่าวันนี้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีแล้ว มีความรู้สึกว่าช่วงเวลาระหว่างนี้ ฝ่าบาทอาจมีพระประสงค์เรียกคนมาใช้สอย จึงเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์พ่ะย่ะค่ะ"

ฮ่องเต้ชิงหยู่ ผินพระพัตร์ทอดพระเนตรไปยังอันหลิงหยุน: "เจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ ลุกขึ้นเถอะ"

"ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ"

อันหลิงหยุนลุกขึ้นยืน ก้มศีรษะลงและไม่เงยหน้าขึ้นมอง

ฮ่องเต้ชิงหยู่ตรัสพระราชปุจฉาว่า: "ช่วงนี้ร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?"

"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันสบายดีเพคะ"

อันหลิงหยุนแอบกวาดสายตามองไปยังผู้คนทั้งหลายที่อยู่ณ.ที่แห่งนี้ วันนี้ฮ่องเต้ชิงหยู่ไม่ได้ทรงมีรับสั่งเรียกเข้าเฝ้าที่พระตำหนักจรุงจิต แต่เป็นที่ท้องพระโรง ในพระตำหนักหลักของราชสำนักแทน หรือจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น?

"หากว่าสบายดี ก็ถอยไปก่อนเถอะ"

อันหลิงหยุนพบว่า ในท้องพระโรงราชแห่งนี้ เดิมทีไม่มีที่ที่ให้นางยืนได้ ในขณะที่กำลังคิดว่าจะไปที่ไหนดีอยู่นั้น กงชิงวี่ก็คว้าจับมือของนาง ดึงให้เดินตามไปอีกด้าน

อันหลิงหยุนไม่กล้าเงยหน้าขึ้น อีตาคนนี้นับวันจะกำเริบเสิบสานมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ท้องพระโรงล้วนเต็มไปด้วยขุนนางบุ๋นบู๊มากมาย เขาดึงนางไปอีกด้านเช่นนี้คือได้ทูลถามฝ่าบาทแล้วหรือ? เขาทำตัวเหมือนคนไม่สนโลกอย่างไรอย่างนั้น เขาไม่กำเริบแล้วใครจะกำเริบล่ะ!

กงชิงวี่ยืดอกเชิดหน้ายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่ปล่อยมือของอันหลิงหยุนแล้ว

แม่ทัพอันคิ้วกระตุกไม่หยุด ไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา

ฮ่องเต้ชิงหยู่ไม่แม้แต่จะทอดพระเนตรเขาแม้แต่น้อย เพียงตรัสถึงเรื่องของอ๋องจวิ้นเสี้ยว

"คดีของอ๋องจวิ้นเสี้ยวเกี่ยวโยงไปถึงหุบเขาราชาโอรสเย้าหวางกู่ แต่ทว่า หุบเขาราชาโอรสเย้าหวางกู่ ไม่ได้อยู่ในเขตแดนของประเทศต้าเหลียงของเรา การจัดการเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องยุ่งยากอยู่ไม่น้อยทีเดียว

ประการแรก มันนับเป็นการทำลายเกียรติยศ ชื่อเสียงของราชวงศ์ในประเทศต้าเหลียง ประการที่สอง หากไม่มีการลงโทษสถานหนัก ในภายหน้าประเทศต้าเหลียงของเรา จะยังจะสามารถเงยหัวขึ้นเผชิญหน้า กับภายในบรรดาประเทศต่างๆ ได้อยู่หรือ นั่นจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะหรืออย่างไร? "

“ สิ่งที่ฝ่าบาททรงตรัสมา หม่อมฉันก็เห็นเป็นเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้คนในท้องพระโรงต่างเอ่ยเห็นด้วยกันจนเสียงเซ็งแซ่ อันหลิงหยุนได้แต่ทอดถอนใจ เปลี่ยนตัวนาย ก็ต้องเปลี่ยนลูกน้องด้วยเป็นธรรมดา ที่เค้าว่ากันมาก็คงจะเป็นอย่างนี้กระมัง?

“ฝ่าบาท หม่อมฉันยินดีแฝงตัวไปจับกุมนักโทษที่ หุบเขาราชาโอรสเย้าหวางกู่ อย่างลับๆพ่ะย่ะค่ะ "

กงชิงวี่ก้าวออกจากแถวมา ขอเสนอตัวเองเป็นตัวแทนไปปฏิบัติหน้าที่นี้

ฮ่องเต้ชิงหยู่ทอดพระเนตรเขาชั่วครู่: "เฒ่าพิษใจโฉดผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ที่เจ้าสามารถมีชีวิตรอดกลับมาหลังเผชิญหน้ากับเขาได้ ข้าก็ปลื้มปิติยินดีเป็นที่ยิ่งแล้ว”

“เกี่ยวกับเรื่องของเฒ่าพิษนั่น ข้าเห็นด้วยกับความคิดของเจ้าเป็นการชั่วคราว

เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้มันมีสาเหตุ ประเทศต้าเหลียงย่อมไม่เป็นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย อีกทั้งไม่ยินดีให้เกิดข้อพิพาทบาดหมางใด ๆ กับคนในยุทธภพ”

“หากว่าเฒ่าพิษไม่ได้ก่ออาชญากรรมใดๆ ในดินแดนของประเทศต้าเหลียงของเราอีก ข้าก็ยินดีที่จะไม่ใช้พระเดช ใช้เพียงพระคุณ แสดงเมตตาไม่ต้องติดตามสังหารจนสิ้น"

"หม่อมฉันรับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ!" กงชิงวี่ประสานมือรับพระบัญชา

ฮ่องเต้ชิงหยู่ทอดพระเนตรกงชิงวี่ ตรัสต่ออีกว่า: "ประเทศต้าเหลียงของเรา แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยติดต่อกับผู้คนในยุทธภพ ครั้งนี้พวกเขามายังประเทศต้าเหลียงของเรา  ก็ยังพอจะยอมรับได้”

เมื่อคิดไปถึงว่า ป๋ายจิ้งหย่วนมีชื่อเสียงเป็นถึงหมอเทพเสียเปล่า กลับทำร้ายลูกศิษย์ของคนอื่น เป็นธรรมดาที่เรื่องนี้ ย่อมจะไม่หยุดอยู่แค่ เลิกแล้วต่อกันไปง่ายๆเท่านั้นแน่

“เรื่องที่อ๋องจวิ้นเสี้ยวปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นไรนั้น ข้าเองก็เคยได้ยินมาเช่นกัน พวกเชื้อพระวงศ์ชั้นล่างเหล่านี้ ถึงเวลาแล้วที่ควรจะต้องกำจัดแก้ไข ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใหม่เสียบ้างแล้ว”

“อ๋องซื่อเจิ้นรับราชโองการ”

“ หม่อมฉันอยู่พ่ะย่ะค่ะ”

“ นับตั้งแต่วันนี้ ข้าขอสั่งให้เจ้าทำการตรวจสอบเรื่องของหุบเขาราชาโอรสเย้าหวางกู่อย่างเป็นความลับ”

"หม่อมฉันรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ"

"อันหลิงหยุนรับราชโองการ"

“ หม่อมฉันอยู่เพคะ”

“นับตั้งแต่วันนี้ ให้เจ้าจงตรวจสอบ กิจการของราชสำนักชั้นในทั้งหมดในเมืองหลวงอย่างเคร่งครัด หากมีใครขัดขวาง อนุญาตให้ประหารก่อน รายงานทีหลัง”

"หม่อมฉันรับราชโองการเพคะ"

"เอาล่ะ ข้าเหนื่อยแล้ว ถอย ... "

"ฝ่าบาท." หมอเว่ยก้าวออกจากแถว สายตาทุกคนล้วนจับจ้องไปทางหมอเว่ย

สีพระพักตร์ฮ่องเต้ชิงหยู่มืดมน: "มีเรื่องใดจะรายงานหรือ?"

"กราบทูลฝ่าบาท เรื่องการคัดเลือกนางดีงามถูกระงับไว้เป็นเวลานานมากแล้ว หม่อมฉันจึงขอกราบทูล ... "

“ข้ารู้แล้ว”

ฮ่องเต้ชิงหยู่ขัดจังหวะคำพูดหมอเว่ยโดยตรง ทำเอาหมอเว่ยก็ไม่กล้าพูดอะไรมากแล้ว

ฮ่องเต้ชิงหยู่ตรัสทันทีว่า: "ข้ามีความตั้งใจที่จะแต่งตั้ง ระหว่างอ๋องสองท่านนี้ขึ้นเป็นรัชทายาท จนบัดนี้ทั้งอ๋องเสียนและอ๋องตวน ต่างก็ใกล้จะได้เป็นพ่อคนแล้ว หากส่งต่อประเทศต้าเหลียงไว้ในมือของพวกเขา ข้าเองก็รู้สึกวางใจ

“ส่วนจะมอบให้ใครนั้น ต้องดูว่าใครจะให้กำเนิดองค์ชายออกมาก่อนก็แล้วกัน "

“ฝ่าบาท.....”

มีคนที่ยังต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง ฮ่องเต้ชิงหยู่ทรงหยัดพระวรกาย เสด็จจากไปแล้ว สวีกงกงกระวีกระวาดตะโกนคำว่าเลิกประชุมเสร็จ จึงเดินตามเสด็จไป

อันหลิงหยุนถอนหายใจ มองไปยังกงชิงวี่ที่อยู่ข้างกาย แล้วเดินตามเขาออกไปข้างนอก

เกี่ยวกับเรื่องให้กำเนิดองค์ชายนั้น อันหลิงหยุนไม่ได้กังวล ประการแรก ฮ่องเต้ชิงหยู่เพียงขายผ้าเอาหน้ารอด ต่อหน้าเหล่าขุนนางก็เท่านั้น ประการที่สอง นางตั้งครรภ์ทีหลัง โดยปกติแล้วนางย่อมไม่ใช่คนที่ให้กำเนิดองค์ชายก่อนแน่ ประการที่สาม กงชิงวี่เคยกล่าวไว้ว่า อ๋องตวนย่อมรับสืบทอดราชบัลลังก์ นางจึงไม่มีอะไรต้องกังวลใจแล้ว

จะพูดไปแล้ว แม้ว่าพระราชบัลลังก์จะเป็นสิ่งที่สูงส่งเหนือสิ่งใดทั้งหมด แต่ไหนแต่ไรมา อันหลิงหยุนกลับไม่เคยนึกพิศวาสเลย

ระหว่างทาง เหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหลาย ล้วนเข้ามาทักทายกงชิงวี่และน้อมทักทายอันหลิงหยุน

ทั้งสองเดินออกจากท้องพระโรงไปยังวังเฉาเฟิ่ง เพื่อถวายพระพรแก่หวางฮองไทเฮา

หวางฮองไทเฮา แม้ว่าจะไม่ได้เจอพวกเขามาหลายวันแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกคิดถึงพวกเขา แม้ได้ฟังเรื่องของเฒ่าพิษใจโฉด ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดพระทัยใดๆ เป็นเพราะพระนางเป็นผู้ที่เคยเผชิญลมแรงคลื่นกระหน่ำ ก้าวผ่านเรื่องราวดีร้ายมาอย่างโชกโชน ได้ยินอันหลิงหยุนบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฒ่าพิษใจโฉดกับป๋ายสู้สู้ ก็ยิ่งไม่รู้สึกตระหนกพระทัยใดๆทั้งสิ้น

เพียงตรัสว่า: "เช่นนั้น ป๋ายสู้สู้ผู้นั้นก็น่าเสียดายแล้ว!"

อันหลิงหยุนยังพอพูดอะไรได้อีกไม่น้อย คนที่ดีเพียงนั้น แน่นอนว่าช่างน่าเสียดายแล้ว

แต่ในโลงศพไม่มีคน อันหลิงหยุนยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่า บางทีคนอาจจะยังมีชีวิตอยู่ หากแม้ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังมีความหวังเสมอ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง พวกเขาอาจยังมีโอกาสได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง

หวางฮองไทเฮา ทอดพระเนตรท้องที่อาการยังไม่ดีขึ้นของอันหลิงหยุน อย่างละเอียดถี่ถ้วน: "มีมากมายหลายคนจริงๆหรือ?"

“ หม่อมฉันยังไม่รู้ว่า สุดท้ายแล้ว เป็นป๋ายสู้สู้หลอกลวงหม่อมฉัน หรือว่ามีมากมายเช่นนั้นจริง หม่อมฉันยังไม่รู้จริงๆพ่ะย่ะค่ะ”

"เช่นนั้นตัวเจ้าเองเห็นเป็นเช่นไร?" หวางฮองไทเฮาก็ทรงเคยประสูติโอรส ธิดาหลายพระองค์เช่นกัน เหตุใดท้องของอันหลิงหยุน จึงดูไม่เหมือนว่ามีจำนวนมากถึงเพียงนั้น

อันหลิงหยุนกล่าวว่า: "หม่อมฉันเองรู้เพียงแค่ว่าตั้งครรภ์แล้วเพคะ แต่นอกเหนือไปจากนั้นหม่อมฉันดูไม่ออก ให้หมอจวนตรวจดูอาการให้ หมอจวนก็บอกว่าเขาก็ไม่รู้เช่นกัน เขามองไม่ออกเพคะ"

“ เช่นนั้นสุดท้ายแล้ว ในน้ำเต้าของป๋ายสู้สู้เป็นยาอะไรกันแน่ หรือจะเป็นไปได้ว่ามีหลายคนจริงๆเช่นนั้นหรือ?”

“ หม่อมฉันไม่รู้จริงๆเพคะ”

อันหลิงหยุนถามสิ่งใดล้วนไม่รู้สักอย่าง หวางฮองไทเฮาทรงรู้สึกหมดความสนพระทัย จึงพระราชทานของรางวัลเล็กน้อยแล้วส่งคนจากไป

อันหลิงหยุนตามกงชิงวี่ออกจากวัง ไห่กงกงไปส่งพวกเขาที่หน้าประตู ค้อมกายคำนับครั้งแล้วครั้งเล่า จึงค่อยจากไป

อันหลิงหยุนออกจากวัง ก็ตรงกลับไปจวนอ๋องเสียน เพิ่งจะเดินเข้าไป ก็ได้ยินพ่อบ้านพูดถึงเรื่องที่มู่มิงป่วยหนัก อันหลิงหยุนจึงคิดถึงเรื่องของมู่มิงขึ้นมาได้

การตายของป๋ายสู้สู้ ทำให้มู่มิงโศกเศร้าเสียใจจนหัวใจแทบสลาย นางทุ่มเทเอาใจใส่ดูแลกงชิงวี่เต็มที่ กระทั่งลืมเรื่องของมู่มิงไปจนหมดสิ้น

เมื่อนึกขึ้นได้ อันหลิงหยุนจึงไปเรือนหลัง เพื่อตรวจดูอาการของมู่มิง พ่อบ้านบอกกับอันหลิงหยุนระหว่างทางว่า : "ตั้งแต่เกิดเรื่องมาจนถึงตอนนี้ นางยังไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย เอาแต่อยู่ที่เรือนหลังไม่ออกมา ร่างกายก็อ่อนแอลงทุกวัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปน่ากลัวว่านางจะไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

อันหลิงหยุนเหลียวมองพ่อบ้าน: "จวนกั๋วจิ้วไม่มีใครมาเลยหรือ"

"มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นอ๋องจวิ้นที่มา ได้ยินมาว่าฮูหยินกั๋วจิ้วก็ล้มป่วยแล้ว เป็นอาการปวดหัว นางจะปวดหัวตลอดทั้งวันจนนอนไม่หลับ พอถึงตอนกลางคืนก็จะพุ่งชนกำแพง มีข่าวลือในเมืองหลวงว่านางประสบเข้ากับวิญญาณผีร้าย จวนกั๋วจิ้วยามนี้ก็สับสนวุ่นวายไม่มีดี กั๋วจิ้วใหญ่คงร้อนอกร้อนใจเจียนตายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

อันหลิงหยุนพยักหน้า: "มิน่าล่ะ!"

เมื่อไปถึงเรือนหลังที่มู่มิงพักอยู่ ทันทีที่เข้าไปก็พบมู่มิงกำลังนอนอยู่ คนผอมลงไปมาก ใบหน้าที่เดิมทีเป็นรูปไข่ห่าน ยามนี้กลายสภาพเป็นเหมือนดั่งแตงกวา น่าเกลียดอย่างยิ่ง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน