ยอดหมอยาของอ๋องเสียน นิยาย บท 368

บทที่ 368 เข้าวัง

“ฮูหยิงแก่โปรดวางใจ ข้าต้องมีคำอธิบายให้ชวนเอ๋อแน่”

พูดจบอ๋องตวนก็หันหลังเดินจากไป ทิ้งให้ผู้เป็นฮูหยิงแก่อยู่กับสีหน้าเหลืออด ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมไปหาหยุนโล๋ชวน

ขณะที่อันหลิงหยุนนั้น เมื่อแน่ใจว่าหยุนโล๋ชวนไม่เป็นอะไรแล้วจึงกลับจวนอ๋องเสียนไป

อีกสองวันกงชิงวี่ก็ต้องไปด่านชายแดนแล้ว

นางกลับจวนอ๋องเสียน พักผ่อนได้วันหนึ่งกงชิงวี่ก็ต้องเตรียมตัวออกเดินทางไปด่านชายแดนเสียแล้ว

อันหลิงหยุนไปส่งเขาที่นอกเมือง ทั้งยกมือจัดอาภรณ์บนร่างเขาให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะเอ่ยกำชับ “เดินทางต้องระวังให้มาก แล้วอย่าลืมใช้พิราบส่งจดหมายให้ข้าด้วย

เอาเจ้ากาดำกับเจ้าจิ้งจอกหางสั้นไปด้วย เผื่อมีเหตุอันใดจะได้คอยดูแลกัน”

อันหลิงหยุนอุ้มจิ้งจอกหางสั้นมาส่งให้กงชิงวี่ ทว่าเมื่อเขาเห็นเจ้าอีกาดำที่เกาะอยู่บนไหล่ ก็ปฏิเสธออกมาอย่างหนักแน่น “ไม่ต้องหรอก ให้พวกมันอยู่ข้างกายหลิงหยุนเถิด ข้าถึงค่อยเบาใจลงหน่อย อาหยู่ปกป้องพระชายาให้ดี”

“พ่ะย่ะค่ะ”

ครั้งนี้อาหยู่ไม่ได้ติดตามไปด้วย ทันใดนั้นเอง อันหลิงหยุนพลันรู้สึกลังเลขึ้นมา “ท่านอ๋อง ให้ราชาอีกาติดตามไปด้วยเถิด”

“อืม”

กงชิงวี่รับคำก่อนจะกระโจนขึ้นหลังม้า อันหลิงหยุนได้แต่เงยหน้ามองเขา นางไม่อยากแยกจากเขา ทว่าด่านชายแดนเกิดเรื่อง หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนคงไม่จำเป็นต้องไปเช่นนี้ นางจึงไม่อาจเป็นตัวถ่วงให้เขา

เห็นกงชิงวี่ควบม้าทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว อันหลิงหยุนได้แต่ยกมือขึ้นป้องแดดเหนือหว่างคิ้วแล้วมองเขาห่างไกลออกไป

ม้าควบไปไกลแล้ว อันหลิงหยุนถึงได้รู้ว่าคราวนี้เขาไปแล้วจริงๆ

นางจึงหันกายเตรียมกลับไปเช่นกัน

นางเดินทางออกจากเมืองมานับสิบหลี่ ขากลับจึงต้องรถม้ากลับไป อาหยู่พยุงอันหลิงหยุนขึ้นรถม้า ก่อนจะรีบคุมรถม้ากลับไป

ทว่าออกเดินทางมาได้เพียงครึ่งทางก็ได้ยินเสียงคนแห่ขบวนศพแว่วมา อันหลิงหยุนแปลกใจจึงแหวกม่านหน้าต่างบนรถม้าออกดู ก่อนจะเห็นว่าท้องฟ้าที่ก่อนหน้านี้ครึ้มฟ้าครึ้มฝนยามนี้เริ่มตกลงเม็ดแล้ว

ณ ทางเข้าเมือง กลับมีคนขบวนใหญ่หามโลงศพทำจากไม้แดงล้ำค่าเดินออกมา ที่ถือธงขาวเดินนำหน้าอยู่นั้นเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำเข้มร่างซูบผอม ส่วนที่แบกโลงเดินตามหลังมานั้นเป็นชายร่างกำยำอีกสี่คน และที่เดินรั้งท้ายเป็นแม่นมสูงวัยผู้หนึ่ง

อันหลิงหยุนเห็นคนเหล่านี้กำลังจะเดินไปอีกทาง จึงเอ่ยถามอาหยู่ “ใครกัน น่าอนาถเพียงนี้”

“เป็นจุนฉูฉูพ่ะย่ะค่ะ” อาหยู่จอดรถม้าไว้อีกฟากหนึ่ง อันหลิงหยุนจึงค่อยเดินลงมาจากรถ

ขบวนศพค่อยๆ ห่างออกไป ในที่สุดอันหลิงหยุนก็เห็นคนเดินออกมาจากในเมืองหลวงได้เสียที เป็นอ๋องตวน เขาสวมอาภรณ์สีดำทั้งร่างกำลังเดินมาจากทางนั้น

เมื่อขบวนศพเคลื่อนไปถึงใต้ต้นไม้ใหญ่จึงได้วางโลงศพลงบนพื้นดิน แล้วราดน้ำมันลงบนโลงศพ

อันหลิงหยุนไม่เข้าใจ “พวกเขาจะทำอะไร”

อาหยู่อธิบาย “เป็นประเพณีพื้นบ้านพ่ะย่ะค่ะ นางตายแต่ไม่สามารถฝังในสุสานบรรพบุรุษได้ เพราะตระกูลจุนไม่รับบุตรสาวที่แต่งออกไปแล้ว และยิ่งไม่รับคนที่ตายผิดธรรมชาติแบบนี้

จวนอ๋องตวนก็ไม่รับ ก็ทำได้แค่โยนทิ้งไว้ในรกร้างให้สัตว์ป่าแทะกินเท่านั้น เผาไปเช่นนี้ก็นับว่าลดโทษให้ส่วนหนึ่งแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

อันหลิงหยุนมองอ๋องตวนที่เพิ่งตามมาแวบหนึ่ง คิดไปถึงตอนนางพบเขากับจุนฉูฉูครั้งแรก ยามนั้นพวกเขาช่างเป็นคู่ที่รักกันหวานชื่นกันนัก

ใครจะไปนึกฝันว่าจะลงเอยเช่นนี้!

บนโลงศพเต็มไปด้วยน้ำมัน เพียงนำคบเพลิงมาจุดไฟเปลวเพลิงก็พร้อมโหมลุกขึ้นทันที

ทว่าฝนเม็ดเล็กๆ กลับตกปรอยๆ ไม่หยุด ราวต้องการช่วยดับไฟอย่างไรอย่างนั้น ทว่าเพลิงไหม้ลุกโหมกระพือหนักเช่นนี้ เห็นจะดับไม่อยู่เสียแล้ว

ผู้เป็นอ๋องตวนไม่เอ่ยคำใด และไม่ทำอันใด เพียงยืนมองด้วยสายตาเหม่อลอยอยู่ไกลๆ เท่านั้น

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว ได้ยินเพียงเสียงไม้ฝาโลงแตกร้าวดังสนั่น คนในนั้นคงถูกเผาไม้เป็นสีดำจนดูไม่ออกว่าเป็นอะไรแล้ว

อันหลิงหยุนไม่อยากเห็นอีกต่อไปจึงหันหลังกลับขึ้นรถม้าไป

ทว่าระหว่างทางก็ยังคงถามอาหยู่ว่าเรื่องที่จวนตระกูลจุนทำกับจุนฉูฉูนั้นจะให้เรียกว่าอย่างไรดี

อาหยู่เอ่ย “เรื่องนี้สะเทือนไปถึงหวางฮองไทเฮากับไท่เฟย ไท่เฟยเป็นผู้รับสั่งให้คนลากศพจุนฉูฉูกลับจวนท่านราชครู ระหว่างขนส่งศพไปนั้นสภาพศพน่าอนาถเกินทน ได้ยินว่าคนที่เห็นศพ ตกกลางคืนถึงขนาดนอนไม่หลับทีเดียว ไท่เฟยยังไม่ทันได้คิดก็ตัดสินเช่นนี้ ครั้งนี้ท่านราชครูเองก็พลอยต้องเดือดร้อนไปด้วย คนในจวนราชครูทั้งจวนต่างตื่นตระหนกกันไปหมดแล้ว

แม้แต่หวงกุ้ยเฟยก็ยังถูกขังแล้ว”

“ไท่เฟยไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้นหรอก ท่านราชครูจุนเป็นถึงขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ไม่อาจเกิดเรื่องราวใหญ่โต รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก็ไม่เป็นไรแล้ว”

อาหยู่พลันถามกลับ “พระชายารู้ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก ไท่เฟยเสียหลานไปนางย่อมต้องโกรธแค้น หาเรื่องท่านราชครูจุนก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่พระนางก็ย่อมมีขอบเขต หากจะกล่าวถึงแก้แค้น ได้ลากจุนฉูฉูไปเผาแล้วก็นับว่าได้ระบายความแค้นไปแล้ว

อ๋องตวนไม่เป็นไร พระชายารองหยุนก็ไม่เป็นไรแล้ว เรื่องนี้ยังนับว่ามีทางแก้ไข

ไม่อาจเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตใดขึ้นมาได้หรอก”

อาหยู่นับถือนางจริงๆ อันหลิงหยุนนับว่าเป็นขงเบ้งหญิงโดยแท้ ไม่มีเรื่องไหนที่นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ

อันหลิงหยุนกลับมาพักผ่อนที่จวนอ๋องเสียนได้วันหนึ่งก็ถูกเรียกตัวเข้าวัง

“หม่อมฉันถวายบังคมเสด็จแม่ ไท่เฟย ฝ่าบาท...”

อันหลิงหยุนย่อกาย หวางฮองไทเฮาพลันตรัสขึ้น “ขึ้นมาเถิด ไม่ต้องถวายบังคมแล้ว ตอนนี้เจ้าเป็นคนกำลังท้องกำลังไส้”

อันหลิงหยุนเอ่ยขอบพระทัยแล้วเดินไปข้างๆ หวางฮองไทเฮา ไห่กงกงจึงยกเก้าอี้มาให้ หวางฮองไทเฮาจึงได้รับสั่งให้นางนั่งลง

อันหลิงหยุนถึงได้นั่งลง

หวางฮองไทเฮาสีหน้าไม่สู้ดีนัก ดวงหน้าอันหลิงหยุนพลันฉายแววความเป็นห่วง “เสด็จแม่เพคะ ให้หม่อมฉันตรวจดูสักหน่อยเถิดเพคะ”

“ไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้ายังไม่เป็นไร เจ้าไปดูฮั๋วไท่เฟยเถิด หลายวันนี้นางเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ทั้งยังนอนไม่หลับ”

“เพคะ”

อันหลิงหยุนเข้าไปตรวจอาการให้ฮั๋วไท่เฟย พบว่าชีพจรนางสับสนนัก เห็นได้ชัดว่าตับร้อน ต้องระบายความร้อนที่ตับ และทำใจให้สงบ

“อีกเดี๋ยวหม่อมฉันจะเขียนใบสั่งยาให้ไท่เฟยนะเพคะ ทรงเสวยไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว แต่ร่างกายคนเราป่วยไข้ก็มักมีต้นเหตุมาจากที่ใจ ขอไท่เฟยทรงถนอมพระวรกายด้วย”

“หลิงหยุน...เจ้าบอกข้ามาตามตรง ร่างกายของพระชายารองจะดีขึ้นได้ใช่หรือไม่”

อันหลิงหยุนพยักหน้า “นางไม่เป็นไรแล้วเพคะ แท้งบุตรต้องบำรุงให้มาก แต่อีกสักเดือนหนึ่งก็ไม่เป็นไรแล้วเพคะ”

“เช่นนั้นก็ดี”

ฮั๋วไท่เฟยยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก จึงลุกขึ้น “ข้ากลับก่อนแล้วกัน พี่หญิง หม่อมฉันขอตัวก่อนนะเพคะ”

ครั้นพอฮั๋วไท่เหยหันหลังเดินจากไป อันหลิงหยุนถึงได้เข้าไปตรวจดูหวางฮองไทเฮา

หวางฮองไทเฮาลุกขึ้นส่งมือให้อันหลิงหยุนพยุงลงบันไดไปยังด้านนอกพระตำหนักเฉาเฟิ่ง

ไห่กงกงรีบร้อนตามมาจากด้านหลัง ร้องเรียกให้คนเตรียมเกี้ยวไปยังพระตำหนักศาลบรรพชน

“วี่เอ๋อไปแล้วหรือ” หวางฮองไทเฮาเอ่ยถาม อันหลิงหยุนจึงได้พยักหน้า

ในตอนนั้นเอง พระมารดากับลูกสะใภ้จึงได้เริ่มบทสนทนากันขึ้น

“ในวังไม่ค่อยสงบ นอกวังก็ไม่ค่อยสงบ จุนฉูฉูตายไปยังไม่พอ ยังต้องสูญเสียเด็กที่น่าสงสารไปอีก” หวางฮองไทเฮาคิดแล้วก็รู้สึกขัดพระทัยนัก

อันหลิงหยุนเอ่ยตอบ “แต่บางทีอาจไม่ได้แย่เสมอไปก็ได้นะเพคะ”

หวางฮองไทเฮาหันไปมอง “คำพูดนี้อย่าให้ไท่เฟยได้ยินเชียว หากนางได้ยินเข้า ไม่มีวันปล่อยเจ้าแน่”

“หม่อมฉันเข้าใจเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่คิดว่า ครั้งนี้อ๋องตวนดูจะสำนึกผิดแล้วจริงๆ แต่พระชายารองหยุนจะอยู่หรือจะไปก็ยังตอบไม่ได้ เห็นท่าทางนางท้อแท้สิ้นหวังเพียงนั้น หากอ๋องตวนรั้งนางกลับมาได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดีนี่เพคะ”

“ดูไปแล้ว เจ้าก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง แต่ข้ากลับรู้สึกว่านังหนูตระกูลหยุนผู้นี้ยังนับว่ามีวาสนากว่าตระกูลจุนนัก เสียลูกไปคนหนึ่งแต่กลับคว้าใจอ๋องตวนไว้ได้ ส่วนจุนฉูฉูนั่นขี้ขลาดตาขาว ได้ลงเอยเช่นนี้ก็นับว่าปราณีมากแล้ว”

เมื่อมาถึงตำหนักศาลบรรพชนกลับเห็นว่ามีคนคุกเข่าอยู่ด้านหน้า

ครั้นอันหลิงหยุนดูดีๆ ถึงได้เห็นว่าเป็นตาเฒ่าผู้หนึ่งสวมชุดราชครู บนศีรษะสวมหมวกขุนนาง

ดูจากรูปร่างบอบบางเช่นนี้ เป็นราชครูจุนไม่ผิดแน่

หวางฮองไทเฮาพาอันหลิงหยุนเดินผ่านไป ราชครูจุนสองมือกุมประสานไว้ด้วยกัน มองเจ้าไปในตำหนักศาลบรรพชนด้วยสายตาอาจหาญไม่กริ่งเกรง

อันหลิงหยุนเดินเข้าไปพร้อมกับหวางฮองไทเฮาแล้วคุกเข่าลง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ฝ่าบาทให้ราชครูจุนมาคุกเข่าอยู่ที่นี่หรือเพคะ”

“เป็นเขามาคุกเข่าของเขาเอง เพราะทำลายสายเลือดจักรพรรดิไปจึงรู้สึกผิดต่อคำสั่งเสียของฮ่องเต้องค์ก่อน”

“เสด็จแม่เพคะ ราชครูจุนก็ดูไม่เหมือนขุนนางคดโกง แต่ก็ไม่เหมือนขุนนางตงฉิน เช่นนั้นเขาเป็นอะไรกันนะ” อันหลิงหยุนอยากถามมาตั้งนานแล้ว

หวางฮองไทเฮานึกขัน “คำพูดเช่นนี้ผู้อื่นไม่กล้าถาม คงมีแต่เจ้านี่แหละ!”

“หม่อมฉันผิดไปแล้ว” อันหลิงหยุนรีบขอพระราชทานอภัย นางลืมตัวอีกจนได้

ตอนนั้นเอง หวางฮองไทเฮาถึงได้เอ่ยถึงราชครูจุนขึ้นมา

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน