บทที่ 546 เต๋อเฟยผู้ได้รับความโปรดปราน
ตอนที่อันหลิงหยุนได้รับคำสั่งให้รีบมาถึงนั้น กั๋วจิ้วใหญ่ก็หมดสติไปแล้ว หลังการตรวจอาการแล้วจึงยืนยันได้ว่าเป็นไตวาย ไม่ใช่โรคหอบหืด เมื่อรู้ว่าไม่ใช่โรคหอบหืด อันหลิงหยุนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะถ้าใช่จริงๆ เขาคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอนแล้ว
เงื่อนไขในสถานที่แห่งนี้ ล้วนเป็นอะไรที่ดิบๆหยาบๆไม่สมบูรณ์ แน่นอนว่าไม่มีอะไรที่จะใช้บรรเทาอาการหอบหืดของเขาได้
เมื่อเทียบกับยุคปัจจุบัน หลายๆโรคในยุคโบราณ ไม่ใช่ว่าไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่เป็นเพราะรอให้โรคกำเริบขึ้นไปจนถึงขั้นสุดท้าย คนก็ตายไปเองต่างหาก
เรื่องของกั๋วจิ้วใหญ่ทำให้ทั้งหวางฮองไทเฮาและมู่มิงตื่นตระหนก กระทั่งฮ่องเต้ชิงหยู่ก็ยังไม่กล้าล้อเล่นกับเรื่องนี้ พระองค์มีรับสั่งให้ส่งอ๋องตวน กั๋วจิ้วน้อย รวมถึงอ๋องเสียน ไปที่คุกพร้อมกันกลางดึก ให้รับตัวกั๋วจิ้วใหญ่เข้าวัง ส่งมอบให้สถาบันแพทย์หลวงวินิจฉัยและรักษาเป็นการส่วนพระองค์อย่างเร่งด่วน
อันหลิงหยุนก็ตามเข้าวังมาด้วย เพื่อให้แน่ใจว่ากั๋วจิ้วใหญ่ไม่เป็นไร
หวางฮองไทเฮาทอดพระเนตรเห็นว่ากั๋วจิ้วใหญ่หมดสติ ทั้งตัวบวมฉุ ชั่วขณะนั้นบังเกิดความหนักอึ้งวูบโหวง พระวรกายไหวเอน จวนเจียนประชวรพระวาโย (เป็นลม)
ไห่กงกงรีบเข้าไปพยุงอย่างรวดเร็ว ถวายยาเม็ดที่อันหลิงหยุนให้ไว้ หลังจากเสวยไปแล้วพระนางก็รู้สึกดีขึ้นมาก แต่ยังคงกันแสงออกมาด้วยความทุกข์พระทัยเหลือแสน
ฮ่องเต้ชิงหยู่รีบเสด็จมาพร้อมกับมู่มิง ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นสภาพของกั๋วจิ้วใหญ่ ก็ทรงรู้สึกประหลาดพระทัยอย่างยิ่ง มู่มิงเพิ่งเคยเห็นกั๋วจิ้วใหญ่ในสภาพนี้เป็นครั้งแรก หลังจากยืนอึ้งอยู่เป็นนานสองนาน จึงค่อยมีปฏิกิริยาขึ้นมา เดินร้องไห้เข้าไปหากั๋วจิ้วใหญ่
จะว่าเกลียดก็คือเกลียด แต่กลับไม่อาจทนเห็นกั๋วจิ้วใหญ่ต้องเผชิญความลำบาก ยุ่งยากถึงขนาดนี้ได้
มู่มิงมือหนึ่งเช็ดน้ำตาไปพลาง ในขณะที่อีกมือ ก็กุมจับมือของกั๋วจิ้วใหญ่เอาไว้อย่างเป็นทุกข์ ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้ ฮ่องเต้ชิงหยู่ทรงประทับอยู่กับมู่มิงตลอด ความรู้สึกที่พระองค์มีต่อมู่มิงนั้น แตกต่างจากที่มีให้ฮองเฮาและเซียวกุ้ยเฟย
ฮ่องเต้ชิงหยู่ก็ไม่สามารถตรัสออกมาได้อย่างกระจ่างชัดนัก แต่มู่มิงนั้นช่างกระตือรือร้น รุกเร้า หยิ่งผยอง รวมถึงความเทิดทูนเลื่อมใสศรัทธา ความรู้สึกจากจิตใจที่เยาว์วัย ความสดใสทั้งหลายเหล่านั้น จะพบเจอได้เฉพาะจากร่างของมู่มิงเท่านั้น
ฮ่องเต้ชิงหยู่ทรงมีพระทัยห่วงใยไม่น้อย ตรัสถามว่า "หมอหลวงล่ะ?"
“ หมอหลวงมาตรวจอาการแล้วพ่ะย่ะค่ะ แต่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร”
ไห่กงกงรีบทูลตอบคำตอบ มู่มิงได้ยินพลันรู้สึกทุกข์ใจยิ่งขึ้น นางก้มศีรษะลงเช็ดน้ำตา ราวกับว่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนเป็นความผิดของนาง
ฮ่องเต้ชิงหยู่ตรัสขึ้นมาว่า: "มู่มิง อย่าร้องไห้เลย ถึงอย่างไรย่อมจะต้องมีหนทางแก้ไขเสมอ"
มู่มิงได้ฟังกลับยิ่งรู้สึกเสียใจมากยิ่งขึ้น ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา นางได้ใกล้ชิดกับฮ่องเต้ชิงหยู่ จิตใจของนาง ได้ถูกฮ่องเต้เติมจนเต็มแล้ว อันที่จริงนางเองก็รู้อยู่ว่าแบบนี้มันไม่ถูกต้อง แต่นางก็ยังไม่อาจควบคุมความคิดอันว้าวุ่นสับสนนี้ได้
เรื่องบางเรื่อง ก็ช่างแปลกจริงๆ ถึงกับทำให้ข้ามเส้นแบ่งเรื่องอายุ ข้ามผ่านความอคติทุกสิ่งทุกอย่างไปได้
มู่มิงเงยหน้าขึ้น หันมองฮ่องเต้ชิงหยู่ : "หมอหลวงเองก็ไม่มีหนทางนะเพคะ"
"ยังมีพระชายาเสียนอีกคนอย่างไรล่ะ" ฮ่องเต้ชิงหยู่ทอดพระเนตร มองไปที่อันหลิงหยุนอันหลิงหยุนมองเห็นถึงทักษะอันยอดเยี่ยมของมู่มิง ที่สามารถทำให้พระทัยของฮ่องเต้ทรงลุ่มหลงรักใคร่ ถึงขั้นทำให้พระองค์ลืมฮองเฮาไปได้เลยด้วยซ้ำ
ใครบอกว่าผู้ชายดี ๆ ไม่คู่ควรมีผู้หญิงสองคน นี่ก็ไม่ใช่ว่ามีสองคนแล้วหรอกหรือ?
“หม่อมฉันเคยตรวจมาแล้วเพคะ ท่านกั๋วจิ้วใหญ่เป็นโรคไต ซึ่งหม่อมฉันสามารถรักษาได้ นอกจากนี้ท่านกั๋วจิ้วใหญ่ยังมีโรคหอบหืดอีกด้วย โรคนี้ไม่ค่อยดีเพคะ หากไม่ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด ก็อาจถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ
ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันเคยไปที่คุกหลวงเพื่อคุยกับท่านกั๋วจิ้วใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว แต่ ท่านกั๋วจิ้วใหญ่ไม่เต็มใจจะออกจากคุกหลวงมาเพื่อรับการรักษา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอาการจึงได้ทรุดหนักจนเป็นถึงขนาดนี้เพคะ "
อันหลิงหยุนทูลรายงานไปตามความจริง ฮ่องเต้ชิงหยู่ ทอดพระเนตรอันหลิงหยุนอย่างฉงนในพระทัย: "ทำไมล่ะ?"
"ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันถามแล้ว ท่านกั๋วจิ้วบอกว่าฝ่าบาททรงอภัยโทษให้เขา ถ้าเขาออกไป เกรงว่าจะเป็นการยาก ที่จะได้รับการนับถือจากประชาชนอีกเพคะ"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หวางฮองไทเฮาก็ทรงสะอื้นอย่างสุดกลั้น ไห่กงกงรีบร้อนทูลปลอบเป็นพัลวัน
คนอื่นมองดูหวางฮองไทเฮากันแสงเช่นนั้น แต่ไม่มีใครเข้าไปปลอบ ฮ่องเต้ชิงหยู่ทรงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าไปทูลปลอบโยนด้วยองค์เอง : "ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ก่อนหน้านี้ ก็เอาแต่ยุ่งกับงานราชการตลอด จนละเลยมู่มิง กั๋วจิ้วใหญ่จึงเกิดความร้อนใจกระทั่งเลอะเลือนกระทำเรื่องผิดพลาดเช่นนี้ ข้าอภัยให้กั๋วจิ้วใหญ่ก็จริง แต่ไม่เคยคิดคิดถึงจิตใจของเขาว่าคิดเช่นไรกับข้า จนทำให้เรื่องกลายมาเป็นเช่นนี้ ขอเสด็จแม่ทรงอย่าได้โศกเศร้าเกินไปเลยพ่ะย่ะค่ะ บางทีพระชายาเสียนอาจพอมีหนทาง อย่างไรก็ให้นางลองดูก่อนดีไหมพ่ะย่ะค่ะ? "
หวางฮองไทเฮาปรายพระเนตรมองฮ่องเต้ชิงหยู่ พระนางยังคงต้องไว้พระพักตร์ขององค์ราชาบ้าง ทั้งยังได้ยินมาว่า ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ฮ่องเต้ชิงหยู่ทรงไปประทับอยู่ที่วังซ่งเต๋อตลอด มู่มิงเองก็ดูเหมือนจะว่าง่ายเชื่อฟังมากขึ้น กำลังค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในวัง ยอมรับสิ่งที่คนเป็นป้าเช่นนางตระเตรียมการไว้ให้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พระนางก็ทรงรู้สึกโล่งพระทัยขึ้นมาก ครั้นทอดพระเนตรเห็นพระโอรสองค์นี้ ก็ทรงรู้สึกชื่นชมขึ้นมาได้บ้างหลายส่วน
ท้ายที่สุด พระสนมสองคนแรกล้วนไม่ใช่คนโปรดของพระนาง แต่เป็นมู่มิงคนนี้ต่างหากที่ครองพระทัยของพระนางได้ตรงความประสงค์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน
เรื่องนี้สนุกมาก ดีมากจริงๆ ขอบคุณผู้แต่ง ขอบคุณผู้แปล ขอบคุณสปอนเซอร์ ขอบคุณ Admin ที่ลงให้อ่านจนจบ ถ้าเป็นไปได้อยากอ่านเรื่องเจ้าห้าต่อ...
หยุนหยุนคือแบบ เห้อออออ...
เต้คือหงเมียหนักมาก ผิดขนาดไหนก็เข้าข้าง...
ฮองเฮาก็ไม่ได้ท้องจริงๆซะหน่อย คนที่ท้องจริงๆก็มีแค่เซียวผินผู้น่างสารเท่านั้น...
ฮองเฮาเลวทรามเพียงใดทุกคนรู้หมด เต้ก็รู้ดีในใจ แต่ก็บังคับให้ทุกคนต้องตายเพื่อเมียรักตัวเอง ช่างเป็นผัวเมียที่เลวทรามสมกันจริงๆ สงสารหยุนหยุน ทำไมต้องชีวิตมาพัวพันกับคนชั่วพวกนี้ด้วยนะ...
ทุกคนรู้มดว่าฮองเฮาพยายามฆ่าหลิงหยุนาตลอด แต่ทุกคนก็ต้องการให้หลิงหยุนช่วยฮองเฮาและบ้านฮองเฮา ฮ่องเต้ก็นิสัยแย่นะ รักเมียหลงเมียจนปิดหูปิดตาทุกทาง ใจขณะดียวกันก็บังคับห้หิงหยุนสละชีวิตเพื่อตัวเองกับเมียัตวเอง บ้าบอ...
อักลิงหยุนคือใช้เงินมือเติบมากอยู่นะ ขึ้นเงินเดือนให้คนั้งจนตั้งเยอะในคราวเดียว อีกทั้งสร้างหนี้สินพันรอบตัวอีก อย่างไรก็ตามรักษาใครก็ไม่เคยได้เงิน คนในราชวงศ์ขี้เหนียวมาก...
กระยาหารังคืออะไรคะ...