บทที่ 851 ความแตกต่างของจื่อฮั่ว – ตอนที่ต้องอ่านของ ยอดหมอยาของอ๋องเสียน
ตอนนี้ของ ยอดหมอยาของอ๋องเสียน โดย หยูนเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 851 ความแตกต่างของจื่อฮั่ว จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที
บทที่ 851 ความแตกต่างของจื่อฮั่ว
หยุนโล่ชวนมองไปที่ถุงพกตรงหน้าตัวเอง หยิบขึ้นมาเปิดออกดูข้างในถุง พบว่ามี เมล็ดถั่วทองอยู่ในนั้น
หยุนโล่ชวนยื่นมือออกไปลูบสัมผัสเบาๆ เมล็ดถั่วทองกัดเข้าที่นิ้วของหยุนโล่ชวนจนเต็มคำ แล้วออกแรงดูดเลือดนางไปสองอึก เมื่อดูดจนเต็มอิ่มแล้ว จึงพลิกตัวนอนหงายอยู่ภายในถุงนั้น หยุนโล่ชวนมองดูนิ้วที่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว จึงหยิบเอาเสี่ยวเมล็ดถั่วทองออกมาข้างนอก
"นี่คือหนอนชื่อจินจื่อตัวเมีย ข้าเองก็มีอยู่ตัวหนึ่งเช่นกัน หนอนประเภทนี้คือหนอนกู่ หากได้อ้าปากเป็นต้องกินเลือดมนุษย์ หลังจากนี้ไปนางจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่าง ข้าได้ฟังเจ้าบ้านป๋ายบอกกับข้าว่า เจ้าตัวนี้ก็นับว่ามีนิสัยประหลาดมาก เลี้ยงมันมาตั้งนานแล้วไม่เคยยอมกินยอมดื่มอะไรเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้กลับกินเลือดของเจ้าเสียได้ นี่คือการยอมรับเจ้านายแล้วล่ะนะ ระหว่างพวกเจ้าคงมีโชคชะตาที่ต้องได้มาผูกพันกันเป็นแน่ "
"เป็นอย่างนั้นเองหรือนี่?" หยุนโล่ชวนตื่นเต้นมาก เริ่มพูดคุยกับหนอนชื่อจินจื่อ ทั้งยังตั้งชื่อให้อีกด้วย
"ฮ่องเต้ตรัสว่า ที่แล้วมาองค์หญิงนั้นจะต้องมีชื่อที่งดงาม ดังนั้นเป็นธรรมดาที่ชื่อของเจ้าก็ไม่ควรจะย่ำแย่จนเกินไป ข้าว่าไม่สู้เรียกเจ้าว่าชื่อเซียนจื่อดีกว่า"
ชื่อเซียนจื่อออกมาจากถุงพก แล้วบินขึ้นไปนอนเอกเขนกอยู่บนผมของหยุนโล่ชวน อวดประกายสีทองสุกสกาว ดูอร่ามตาอย่างยิ่ง
อันหลิงหยุนได้แต่ทอดถอนใจ :"มองไม่ออกเลยว่า สัตว์ทั้งหลายในโลกทางนี้ จะมีความฉลาดแสนรู้ได้ถึงขนาดนี้"
หยุนโล่ชวนแปลกใจ: "ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไรหรือ?"
“เจ้าบ้านป๋ายบอกกับข้าว่า เจ้าชื่อจินจื่อตัวนี้ นางเลี้ยงมานับสิบปีแล้ว เดิมทีเคยวางแผนไว้ว่าจะหาเจ้าของที่เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดให้ แต่นางกลับไม่เคยพอใจเหล่าคนรอบตัวเจ้าบ้านป๋าย จึงไม่มีใครที่ได้รับเลือก ต่อมาเจ้าบ้านป๋ายค้นพบว่า นางมีความแตกต่างจากตัวอื่นๆมาก จึงตั้งใจว่าจะเก็บเอาไว้ให้ลูกสาวใช้ ไม่คิดว่าพอจื่อฮั่วเกิด นางก็ไม่แสดงท่าทีว่าอยากเข้าใกล้อีก แต่กลับแสดงท่าทีต่อเจ้า หากว่านางไม่ยอมรับเจ้าเป็นเจ้านายล่ะก็ คงได้แต่พกติดตัวไปก่อน หากเกิดอะไรขึ้นนางจะรู้ได้ อีกทั้งราชาหนอนพิษกู่น้ำแข็งก็จะรู้ เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าห้าจะเป็นคนแจ้งให้ข้ารู้เอง แต่ตอนนี้ข้าดูไปแล้ว เหมือนว่านางจะได้พบเจ้านายที่นางเฝ้าตามหามาตลอดเข้าแล้วล่ะ"
"เช่นนั้นข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งแล้ว ใช่ไหมชื่อเซียนจื่อ?" หยุนโล่ชวนนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ฮ่องเต้ชิงหยินฟัง ฮ่องเต้ชิงหยินทอดพระเนตรมอง ชื่อเซียนจื่อ ที่อยู่บนศีรษะของนางครู่หนึ่ง จึงเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหยิบลงมา
ชื่อจินจื่อพลันเกาะเกี่ยวตัวเองเข้าไปในถุงพกจนแน่น หลบซ่อนอยู่ข้างในไม่ยอมออกมาอีกเลย
ฮ่องเต้ชิงหยินตรัสหยอกเย้าว่า: "ดู ๆ ไปแล้ว ชื่อเซียนจื่อกับชวนเอ๋อช่างเหมือนกันมากจริง ๆ ต่างก็ขี้อายเหมือนกันเลย"
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
หยุนโล่ชวนได้ชื่อเซียนจื่อไป ทำให้นางอารมณ์ดีมีความสุขไปทั้งวัน จนค่ำถึงยอมกลับไปกับฮ่องเต้ชิงหยิน
ทั้งสองออกจากจวนอ๋องเสียน อันหลิงหยุนยืนดูอยู่ข้างหลังเป็นนานสองนาน จึงหมุนตัวเดินกลับไป ต้องตระเตรียมเรื่องที่จะไปส่ง เฟิ่งป่ายซูกับซูอู๋ซินในวันพรุ่งนี้แล้ว ทั้งสองบอกว่าพวกเขาจะพากันออกท่องเที่ยว ไปชมนกชมไม้ เพลิดเพลินกับความงามตามธรรมชาติไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้น พวกเขาก็ค่อยตามหาดินแดนในอุดมคติสักแห่ง แล้วไปใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสันโดษ ซึ่งฟังดูแล้วช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก แต่ความรู้สึกอันแท้จริงบางอย่างที่อันหลิงหยุนรู้สึกได้คือความรู้สึกว่า ทั้งสองยังอยู่ซึมซับกับความสุขนี้ไม่เพียงพอเลย แต่เหตุผลที่พวกเขาต้องจากไปเร็วขนาดนี้ ก็เป็นเพราะว่าบ่ายวันพรุ่งนี้ เฟิงอู๋ฉิงก็จะมาที่นี่แล้วนั่นเอง
ในคืนนั้น อันหลิงหยุนไปหาเฟิ่งป่ายซูกับซูอู๋ซิน ทั้งสองยังคงพักผ่อนอยู่ อันหลิงหยุนไม่กล้าจู่ ๆ ก็ผลักเปิดประตูเข้าไป แล้วดูว่าพวกเขาสองสามีภรรยากำลังทำอะไรอยู่
หลังจากรออยู่นานกว่าครึ่งชั่วยาม ทั้งสองคนถึงค่อยลุกขึ้นมา ซูอู๋ซินจึงเรียกให้พวกเขาเข้าไป อันหลิงหยุนจึงเข้าไปพร้อมกับกงชิงวี่
ซูอู๋ซินแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย กุมพระหัตถ์ฮ่องเต้หญิงเตรียมตัวจากไปแล้ว
อันหลิงหยุนเอ่ยถามขึ้นว่า: "ไม่ใช่คุยกันแล้วหรือว่า จะออกเดินทางวันพรุ่งนี้?"
“ พรุ่งนี้ไปก็น่าจะมีปัญหายุ่งยากไม่น้อย ไปมันเสียคืนนี้เลยนี่ล่ะ ไม่จำเป็นต้องบอกลาอะไรกันหรอกนะ”
"....." อันหลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกไปเลยทีเดียว โลกแห่งนี้ยังมีวิธีการสร้างสัมพันธ์กันในรูปแบบนี้อยู่ด้วยหรือนี่ ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมานี้ ซูอู๋ซินเข้ากับคนในจวนได้ดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อของนาง ทั้งสองมักจะกอดคอพูดคุยกัน ตั้งวงดวลเหล้าสนุกสนานเฮฮา ถึงแม้ว่าหยุนจิ่นจะไม่ได้มาร่วมด้วย แต่ในยามที่ว่าง ๆ ไม่มีธุระอะไร ทั้งสามคนก็มักจะมาล้อมวงเล็ก ๆ ดื่มกันในสวนอยู่เสมอ มาวันนี้พวกเขาจะไป กลับไม่คิดจะทักทายกล่าวลาอะไรพ่อของนางเลย ความไม่รู้จักมารยาทของคนคนนี้ อันหลิงหยุนได้เห็นกับตา เจอกับตัวเข้าแล้วจริง ๆ นั่นล่ะ
"ตอนนี้หยุนจิ่นก็ท้องแล้วด้วย พวกท่านไม่ได้แสดงความยินดีกับพ่อของข้า ก็จะจากไปกันแล้วหรือ? " อันหลิงหยุนเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี
"เรื่องแสดงความยินดีนั่นไม่จำเป็นหรอก คนเยอะขนาดนี้ คงไม่มาสนใจแค่พวกเราคนเดียวหรอกน่า" สีหน้าไร้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของซูอู๋ซินฉายชัดเต็มใบหน้า อันหลิงหยุนเห็นแก่ที่เขาเป็นผู้อาวุโส จึงรู้สึกไม่ดีที่จะต่อว่าเขาออกไป
เฟิ่งป่ายซูเอ่ยขึ้นว่า : "หากว่ามีชะตาร่วมกันคงได้พบกันอีก เจ้าเองก็กำลังท้องอยู่ ไว้รอให้ลูกเจ้าเกิดเมื่อไหร่ ถ้าพวกเราสามารถรีบกลับมาได้ พวกเราจะต้องกลับมาหาเจ้าอย่างแน่นอน"
"....."อันหลิงหยุนพูดไม่ออกอีกครั้ง นี่ก็คนไร้ยางอายไม่รู้ผิดชอบชั่วดีอีกคนแล้ว พูดแบบรวมๆ ให้เข้าใจได้ง่าย ๆคือ พวกเขาไม่ได้วางแผนว่าจะกลับมากันอยู่แล้ว
เจ้าห้ายืนอยู่ในห้องด้วยใบหน้าที่ไม่มีความสุขอย่างยิ่ง
อันหลิงหยุนรู้สึกลำบากใจขึ้นมาบ้างแล้ว ลูกยังเล็กเกินไป จะส่งมอบให้กับเจ้าบ้านป๋ายดูแลนางก็ไม่วางใจ เจ้าบ้านป๋ายยืนยันที่จะจากไป และจะอย่างไรก็ไม่มีทางทิ้งจื่อฮั่วไว้ที่นี่อย่างแน่นอน
แต่เจ้าห้าลุ่มหลงยึดติดอยู่แต่กับจื่อฮั่ว ซึ่งเรื่องนี้ นางก็ไม่อาจทำเป็นไม่สนใจได้เช่นกัน
" ท่านเจ้าบ้านจะไปทั้งอย่างนี้จริง ๆ น่ะหรือ? ถ้าเด็กทั้งสองต้องแยกจากกัน พวกเขาอาจจะล้มป่วยลงได้ พวกเขาสองคนยังเล็กนัก ท่านเจ้าบ้านจะตัดใจได้จริง ๆ น่ะหรือ? "
อันหลิงหยุนพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด
“ ข้าเข้าใจดี ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ข้าไม่อาจรั้งอยู่กับเจ้าที่นี่ไปตลอดโดยไม่กลับไปได้ ข้าวางแผนไว้แล้วว่า จะไม่ให้จื่อฮั่วเข้าร่วมการคัดเลือก หรือฝึกฝนภารกิจใด ๆ ในการเป็นเจ้าบ้านอย่างเด็ดขาด เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าไม่ควรคิดการแทนจื่อฮั่ว ข้าเองก็ตัดใจไม่ได้เช่นกัน เมื่อกลับไปข้าจะบอกพวกเขาเอง เจ้าวางใจเถอะ"
“ถึงเจ้าบอกไป ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาจะยอมเชื่อนี่ พวกเขาคงไม่ยอมให้เรื่องจบไปง่าย ๆ อย่างนี้แน่ หากเจ้าไม่ต้องการให้จื่อฮั่วเข้าร่วมการคัดเลือก มีทางเดียวคือ ต้องลงมืออย่างรวดเร็วเฉียบขาด เจ้าอาจจะป้องกันได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่คงไม่อาจป้องกันได้จนชั่วชีวิต เมื่อเวลานั้นมาถึง คนที่ต้องเจ็บก็จะมีเพียงจื่อฮั่ว”
“ แต่ถึงอย่างไรจื่อฮั่วก็เป็นลูกของเรา ข้าต้องพานางกลับไป ” เจ้าบ้านป๋ายยืนกรานที่จะไป อันหลิงหยุนก็ไม่อาจเอ่ยรั้งไว้ได้แล้วจริง ๆ เมื่อหันไปมองเจ้าห้า ก็เห็นว่าสีหน้าของเจ้าห้านั้นขาวซีดเผือดสีไปทั้งหน้าแล้ว
อันหลิงหยุนเข้าไปอุ้มเจ้าห้าขึ้นมา: “เจ้าห้า ลูกยังเล็กเกินไป แม่ไม่สามารถปล่อยให้ลูกตามพวกเขาไปได้ วันพรุ่งนี้แม่จะไปต้อนรับอาจารย์ของเจ้า ทั้งยังต้องจัดการเรื่องภายในโรงเรียนแพทย์อีก บวกกับการเดินทางไกลไม่ดีกับน้องในท้องแม่นะลูก”
เจ้าห้าเม้มปากตัวเองแน่น ไม่ยอมพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว สายตาจับจ้องไปที่จื่อฮั่วเขม็ง
จื่อฮั่วแค่นเสียงเย็นชาออกไปเสียงหนึ่ง แล้วหันศีรษะไปวางแนบบนไหล่ของเจียงหยุนเฟิง แม้ว่าอายุจะยังไม่ครบสองเดือน แต่นางกลับดูแข็งแรงกว่าทารกอายุหลายเดือนแล้วเสียอีก จนตอนนี้นางมีความยืดหยุ่น คล่องแคล่วเหมือนกับเด็กวัยหนึ่งขวบแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งเสียงฮึมฮัมในลำคอ ก็ยังฟังดูมีพละกำลังกว่าคนทั่วไปอีกด้วย
เจ้าบ้านป๋ายไม่ลังเลแม้แต่น้อย: "พวกเราไปก่อนนะ"
หลังจากพูดจบ เจ้าบ้านป๋ายก็พาคนจากไปแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ยอดหมอยาของอ๋องเสียน
เรื่องนี้สนุกมาก ดีมากจริงๆ ขอบคุณผู้แต่ง ขอบคุณผู้แปล ขอบคุณสปอนเซอร์ ขอบคุณ Admin ที่ลงให้อ่านจนจบ ถ้าเป็นไปได้อยากอ่านเรื่องเจ้าห้าต่อ...
หยุนหยุนคือแบบ เห้อออออ...
เต้คือหงเมียหนักมาก ผิดขนาดไหนก็เข้าข้าง...
ฮองเฮาก็ไม่ได้ท้องจริงๆซะหน่อย คนที่ท้องจริงๆก็มีแค่เซียวผินผู้น่างสารเท่านั้น...
ฮองเฮาเลวทรามเพียงใดทุกคนรู้หมด เต้ก็รู้ดีในใจ แต่ก็บังคับให้ทุกคนต้องตายเพื่อเมียรักตัวเอง ช่างเป็นผัวเมียที่เลวทรามสมกันจริงๆ สงสารหยุนหยุน ทำไมต้องชีวิตมาพัวพันกับคนชั่วพวกนี้ด้วยนะ...
ทุกคนรู้มดว่าฮองเฮาพยายามฆ่าหลิงหยุนาตลอด แต่ทุกคนก็ต้องการให้หลิงหยุนช่วยฮองเฮาและบ้านฮองเฮา ฮ่องเต้ก็นิสัยแย่นะ รักเมียหลงเมียจนปิดหูปิดตาทุกทาง ใจขณะดียวกันก็บังคับห้หิงหยุนสละชีวิตเพื่อตัวเองกับเมียัตวเอง บ้าบอ...
อักลิงหยุนคือใช้เงินมือเติบมากอยู่นะ ขึ้นเงินเดือนให้คนั้งจนตั้งเยอะในคราวเดียว อีกทั้งสร้างหนี้สินพันรอบตัวอีก อย่างไรก็ตามรักษาใครก็ไม่เคยได้เงิน คนในราชวงศ์ขี้เหนียวมาก...
กระยาหารังคืออะไรคะ...