แค้นรักสามีตัวร้าย นิยาย บท 265

บทที่ 265 เธอยังมีชีวิตอยู่

“เรื่องประหลาดอะไร”

บุริศร์หันกลับไปทันที ความเร็วนั้นทำให้จริมตกใจจนแทบกระโดด

“ข้าวของต่างๆ บนเรือของพวกเราล้วนกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ทว่าหลังจากที่แล่นออกมาจากนั่นน้ำก็พบว่าเสื้อผ้าน้อยลงอย่างน่าประหลาด ทั้งยังหากล่องปฐมพยาบาลไม่พบ ตอนนั้นทุกคนคิดว่ามีโจรขึ้นมาบนเรือ แต่กลับไม่พบบุคคลน่าสงสัยเลยสักนิด พวกเราเป็นเรือบรรทุกสินค้า ลูกเรือถูกกำหนดเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว แต่น่าเสียดายที่อาหารของพวกเรากลับน้อยลงทุกวัน พวกเราไม่มีทางเลือกเลยต้องเทียบท่าแถวๆ เมืองหนองฮี เพื่อกักตุนเสบียงอาหาร เลยสามารถกลับมาได้ ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา”

เมื่อจริมพูดประโยคนี้ออกมา หัวใจของบุริศร์ก็เหมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

“อาหารของพวกคุณกำหนดจำนวนเอาไว้ชัดเจนแล้วเหรอ”

“ใช่ครับ”

“ไม่มีใครแอบขโมยกินใช่ไหม”

“เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนครับ! ลูกเรือของพวกเราล้วนได้รับการฝึกฝนมาให้เป็นมืออาชีพ นอกจากนี้ทุกครั้งที่ออกทะเลก็ค่อนข้างที่จะใช้ระยะเวลายาวนาน ไม่มีทางที่จะไม่เคารพกฎเกณฑ์ ทุกคนรู้ดีว่าอาหารและน้ำจืดเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานที่สุดสำหรับการอยู่รอดในทะเล ดังนั้นพวกเขาไม่มีทางที่จะยุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน ทว่าตั้งแต่ออกมาจากน่านน้ำของอเมริกา อาหารกับน้ำจืดของพวกเราก็น้อยลง แต่พวกเรากลับหาไม่พบว่าใครเป็นคนขโมยไป เรื่องนี้แปลกประหลาดมากจริงๆ หลายคนบอกว่าอาจเพราะไปยั่วยุสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ ดังนั้นทุกคนจึงหลีกเลี่ยงเรื่องนี้”

ตอนที่จริมพูดประโยคนี้ออกมา สีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก

บางครั้งหลังจากใช้ชีวิตอยู่บนทะเลเป็นเวลานาน หลายคนก็มักจะเชื่อในตำนานเล่าขานบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นไปตามวิทยาศาสตร์หรือไม่ พวกเขาก็ยังคงเชื่อ ถึงอย่างไรพวกเขาก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้

ทว่าบุริศร์กลับไม่ได้คิดแบบนี้

เป็นไปไม่ได้ที่อาหารและน้ำจะหายไปโดยไม่มีสาเหตุ ถ้าหากเป็นของอย่างอื่นก็ยังพอจะพูดได้ แต่พวกเขาไม่เหลือแม้กระทั่งกล่องพยาบาล

กล่องพยาบาลอย่างนั้นเหรอ

หรือว่ามีใครได้รับบาดเจ็บกัน

จะเป็นนรมนหรือเปล่า

“ผมขอไปดูหน่อยได้ไหม”

“ได้ครับ!”

จริมรู้ดีว่าบุริศร์เป็นประธานของบริษัทฮัวยูกรุ๊ปจำกัด ทั้งยังเคยฝากส่งของ ไม่มีทางที่จะก่อเรื่องอะไรแน่นอน นอกจากนี้ผู้บังคับบัญชาของการท่าเรือก็เป็นคนพามาด้วยตัวเอง เธอเขาอยากดูเรือบรรทุกสินค้า กัปตันเรืออย่างเขาจะพูดอะไรได้

บุริศร์กับพฤกษ์ตามจริมไปที่เรือบรรทุกสินค้า

เรือลำนี้มีขนาดที่ทั้งใหญ่และกว้างมาก เนื่องจากสินค้าถูกขนถ่ายลงไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงว่างเปล่าเป็นพิเศษ

หลังจากที่บุริศร์ขึ้นไปบนเรือก็ถามออกมาว่า “ปกติทั่วคุณพักผ่อนกันที่ไหน”

“พวกเรามีห้องพักเป็นของตัวเองครับ คนสิบกว่าคนพักร่วมกันอยู่ที่ทางฝั่งนั้น”

จริมชี้ไปยังห้องพัก

บุริศร์เดินไปดู จึงพบว่าในนี้ล้วนเป็นที่พักอาศัย แต่เพราะว่ามีแต่ผู้ชาย จึงค่อนข้างที่จะสกปรกและไร้ระเบียบ อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเหมือนกลิ่นเท้าด้วย

เขาบีบจมูกแล้วมองไปรอบๆ หลังจากนั้นก็ถอยออกมา มั่นใจว่านรมนไม่ได้ซ่อนอยู่ที่นี่แน่

“ยังมีที่อื่นที่สามารถซ่อนคนได้อีกไหม”

“มีน่ะมันก็มีครับ แต่พวกเราก็เคยดูหมดแล้ว หากี่ครั้งก็ไม่เคยพบใครเลย”

จริมพูดพลางชี้ไปยังคลังเก็บของที่อยู่ข้างล่าง “ปกติแล้วเราจะใช้พื้นที่ตรงนี้ไว้เก็บสิ่งของที่จะนำกลับไปให้ครอบครัวและเด็กๆ ที่บ้าน ของทั้งหมดล้วนแต่กองสุมๆ เอาไว้ตรงนี้ ที่น่าประหลาดคืออาหารกับน้ำจืดของพวกเราน้อยลง แต่ของส่วนตัวกลับไม่มีอะไรหายไปเลย”

ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ของจริม บุริศร์ก็กำลังจะไปดู แต่ว่าพฤกษ์กลับรีบห้ามเขาไว้

“ให้ผมไปดูเองเถอะครับประธานบุริศร์ ทางข้างล่างค่อนข้างที่จะแคบ ทั้งยังมีกลิ่นอับชื้น ผมลงไปเองดีกว่า”

“ฉันไปเอง”

บุริศร์ไม่ได้สนใจเลยสักนิด

ขอแค่ได้พบเบาะแสของนรมน ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟเขาก็จะไป

ในเมื่อเห็นบุริศร์เป็นแบบนี้ พฤกษ์ก็ไม่ได้ห้ามเขาต่อ จากนั้นก็ลองคะเนรูปร่าง

บุริศร์เดินลงไปจากฝั่งข้างๆ พฤกษ์

คลังเก็บของต่ำมาก บุริศร์จึงจำเป็นต้องก้มตัวลงไป ไม่สามารถที่จะลุกยืนได้อย่างเต็มตัว

ภายในนั้นมีกลิ่นอับชื้น แต่เพราะของทั้งหมดถูกเอาออกไปแล้ว จึงค่อนข้างที่จะว่างเปล่า จึงสามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

ในนี้ไม่มีอะไรอยู่เลย ไม่มีทางที่จะซ่อนคนได้อย่างแน่นอน

บุริศร์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

ถ้าหากไม่อยู่ที่นี่ แล้วนรมนไปอยู่ที่ไหนกัน

เป็นไปได้ไหมว่าเธอไม่ได้ขึ้นมาคนเดียว แต่ยังมีคนอื่นขึ้นมากับเธอด้วย

บุริศร์จำเป็นที่จะต้องคาดเดาแบบนี้

เมื่อพฤกษ์พบว่าไม่เจอเบาะแสอะไร อีกทั้งที่นี่ยังมีกลิ่นไม่ค่อยดีเสียเท่าไหร่ จึงกล่าวกับบุริศร์เสียงเบาว่า “ท่านประธานครับ เรากลับขึ้นไปข้างบนกันก่อนเถอะครับ”

บุริศร์ไม่พูดอะไร หันกลับไปมองอีกครั้งอย่างไม่คิดจะยอมแพ้ ทำกระทั่งเดินวนรอบเตาเผาทุกอันในคลังเสียด้วยซ้ำ ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นเส้นผมจำนวนหนึ่ง

เป็นผมยาวของผู้หญิง!

มีความยาวใกล้เคียงกับผมของนรมน ตะขอเกี่ยวพวกนั้นติดอยู่ตรงมุมหนึ่งในคลังเก็บของ แต่เพราะว่าแสงค่อนข้างที่จะมืด จึงทำให้มองเห็นได้ยาก ถ้าไม่ใช่เพราะบุริศร์เดินสำรวจอย่างละเอียด เกรงว่าคงหาไม่พบเป็นแน่

เขารีบเก็บผมเส้นยาวนั้นกลับมาทันที จากนั้นก็นำใส่ถุงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “พวกเรากลับกันก่อนเถอะ”

“ครับ”

พฤกษ์ประคองบุริศร์ออกมาจากคลังเก็บของ

จริมเห็นพวกเขาออกมาในสภาพเหมือนไม่พบอะไรสักอย่าง จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “ประธานบุริศร์ ที่ผมรู้ก็มีแค่นี้แหละครับ”

“ขอบคุณมาก”

บุริศร์กล่าวขอบคุณอย่างเรียกเฉย ก่อนจะเดินออกไป

ผู้บังคับบัญชาของการท่าเรือเห็นว่าบุริศร์หาหลักฐานที่ตัวเองต้องการไม่พบ จึงกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ต้องขอโทษจริงๆ นะครับประทานบุริศร์ คุณดู...”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณพวกคุณมาก”

“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร เป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว”

บุริศร์ออกมาจากการท่าเรือแล้วก็พูดกับพฤกษ์ที่อยู่ข้างๆ ว่า “ไปตรวจสอบมาให้หมดว่าพวกเขาแวะเทียบท่าที่ไหนบ้าง ดูด้วยว่ามีคนขึ้นฝั่งบ้างหรือเปล่า”

“ครับ!”

ทันทีที่บุริศร์กลับมาถึงเมืองชลธีก็ส่งเส้นผมยาวในมือนำไปตรวจเทียบกับ DNA ของนรมน

ผลลัพธ์ออกมาเร็วมาก เป็นเส้นผมของนรมนจริงๆ

หัวใจของบุริศร์เป็นแรงขึ้นมาในทันที

เธอยังมีชีวิตอยู่!

เธอยังไม่ตาย!

เธอโดยสารเรือบรรทุกสินค้ากลับมาแล้ว

เพียงแต่ตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกันนะ

บุริศร์ไม่รู้เลย เบาะแสที่เขาเพิ่งค้นพบก็ได้ขาดสะบั้นไปอีกครั้ง

เขาส่งข่าวดีนี้ไปให้คิม

คิมดีใจเป็นอย่างมาก

หลังจากที่คนของตระกูลทวีทรัพย์ธาดารู้ว่าคิมกลับมาแล้ว ก็โทรศัพท์มาขอนัดเจอกับเธอ คิมขอให้บุริศร์ไปกับเธอด้วย เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ทั้งสองฝ่ายนัดพบกันที่โรงแรมHilton

เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ตอนที่ธรณีกับคุณนายทวีทรัพย์ธาดาเห็นคิม ก็พากันตกตะลึง

ถึงแม้ว่าจะมีร่องรอยของกาลเวลาอยู่บนใบหน้าของเธอ พวกเขาก็ยังจำได้ทันทีว่าคิมคือผู้หญิงที่อยู่ในรูปถ่ายและรูปวาดของชินทร

“หัวหน้าคิม”

ธรณีกล่าวอย่างสุภาพ

คิมกลับพูดเสียงเรียกว่า “ฉันยื่นใบลาออกจากตำแหน่งแล้ว ตอนนี้ไม่ใช่หัวหน้าอีกต่อไปแล้ว พวกเธอเรียกฉันว่าคิมเถอะ”

คุณนายทวีทรัพย์ธาดามองคิมอยู่ตลอด ทันใดนั้นเธอก็ถามขึ้นมาว่า “เธอเป็นคนรักของลูกชายคนโตฉันอย่างนั้นเหรอ”

“ใช่ค่ะ”

คิมเผชิญหน้ากับคุณนายทวีทรัพย์ธาดาอย่างใจเย็น แล้วเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้นออกมา

หลังจากที่คุณนายทวีทรัพย์ธาดาฟังจบก็ส่งเสียงสะอื้นออกมา

“ถ้าตอนนั้นฉันรู้ว่าเธอกำลังท้องอยู่ จะยังไงก็ต้องพาเธอกลับมาที่ตระกูลทวีทรัพย์ธาดาให้ได้”

“ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามโชคชะตาค่ะนายหญิง”

คิมเองก็รู้สึกขมขื่นไม่น้อย

ถ้าตอนนั้นไม่หมดหนทาง เธอจะทิ้งลูกของตัวเองไปได้อย่างไร

ตอนที่ชินทรอยู่ในสนามรบ เธอก็ถูกคนที่บ้านกดดันให้ไปสอบการทูต แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าจะสอบผ่าน

แต่ตอนนั้นเธอกำลังตั้งท้อง ไม่สามารถที่จะไปเรียนได้ เงื่อนไขในตอนนั้นโหดร้ายเป็นอย่างมาก จำเป็นต้องมีครอบครัวที่ใสสะอาด ระหว่างการตรวจสอบบันทึกพฤติกรรมทางการเมือง คิมก็พยายามที่จะปกปิดเรื่องนี้อย่างยากลำบาก ตอนที่รู้ว่าตัวเองท้อง เธอก็ยื่นเอกสารขอพักการเรียน บอกกับบุคคลภายนอกว่าตัวเองเป็นโรคประหลาด จำเป็นที่จะต้องได้รับการรักษา ทั้งยังเชิญคนมาทำกรณีตัวอย่างของโรค

ความคิดของเธอในตอนนั้นเรียบง่ายมาก ชินทรเข้าร่วมกองทัพและมุ่งสู่สนามรบโดยไม่ทิ้งคำพูดใดๆ ไม่สนใจเธอแม้แต่สักนิดเดียว ดังนั้นเธอจึงสอบเข้าไปเป็นนักการทูต กลายเป็นทูตคนสำคัญให้เขาดู ว่าเธอไม่ได้ทำได้แค่วาดภาพและเป็นตัวภาระเท่านั้น

เพียงแต่คิดไม่ถึงเลย ว่านับแต่นั้นเป็นต้นไป เธอกับเขาจะไม่สามารถมาบรรจบกันได้อีก

ทันทีที่คุณนายทวีทรัพย์ธาดาได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกปวดใจมากจริงๆ

“ก่อนที่ชินทรจะเข้ากองทัพ เขาบอกฉันว่าตัวเองมีแฟนสาวที่ดีมากคนหนึ่ง เพียงแต่ชีวิตการเป็นทหารของเขานั้นยากลำบากมาก หากไม่มียศทางการทหารหรือมีความดีความชอบก็ห้ามมีความรักในช่วงสามปีแรก ตอนนั้นยังบอกอีกว่าขอแค่เขาสามารถผ่านช่วงเวลาสามปีนี้ไปได้ เขาก็จะมาขอเธอแต่งงาน น่าเสียดายตอนที่เขากำลังคุยเรื่องแต่งงานอยู่นั้น เธอก็หายตัวไปแล้ว ชินทรในตอนนั้นเสียใจมาก เขาเสียใจที่ไม่เคยทิ้งช่องทางการติดต่อไว้ให้เธอ เขาขอให้คนช่วยตามหาเธออยู่นั่นนาน แต่ก็ไม่พบข่าวคราวของเธอเลย”

“ตอนนั้นฉันประจำการอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศค่ะ ซึ่งเป็นหน่วยงานลับของประเทศ ดังนั้นร่องรอยของฉันจึงถูกปิดเป็นความลับทั้งหมด เขาจึงไม่สามารถตามตัวฉันพบ”

คิมไม่เคยรู้เลยว่าชินทรกลับมาหาเธอ ถ้าหากเธอรู้ละก็ บางทีเธออาจจะไปพบกับเขาสักครั้ง

ตอนที่คุณนายทวีทรัพย์ธาดาพูดถึงลูกชายคนโตของตัวเองก็รู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก

“ลูกชายของฉันรักเธอคนเดียวมาตลอดชีวิต เขาบอกว่าหากตามหาตัวเธอไม่พบก็จะอุทิศตัวเองให้กับกองทัพและประเทศชาติ พอถึงช่วงวันหยุดก็เกือบจะใช้เวลาทั้งหมดในการตามหาเธอ น่าเสียดายที่ไม่พบข้อมูลอะไรเลยสักอย่าง ท้ายที่สุดก็ได้แต่ความผิดหวังกลับเข้าไปในกองทัพ จากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ตอนที่พวกเราได้รับข่าวของเขาอีกครั้งก็เป็นข่าวที่เขายอมเสียสละชีพ สิ่งของที่เขาทิ้งเอาไว้ก็ล้วนแต่เป็นภาพของเธอ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยพบเธอมาก่อน แต่ก็ได้รู้จักเธอ และมองภาพเหมือนของเธอตลอดยี่สิบปี”

ดวงตาของนายหญิงแดงก่ำ

ธรณีนำของที่ชินทรเหลือทิ้งไว้มอบให้คิม

“พี่ใหญ่บอกว่าหากวันไหนมีโอกาสได้พบคุณ ก็ให้นำของพวกนี้มอบให้คุณด้วย”

คิมรับมาดู นอกจากภาพเหมือนของเธอแล้ว ยังมีนาฬิกาอีกเรือนหนึ่ง

นี่เป็นนาฬิกาของสมัยเมื่อหลายปีก่อน เป็นนาฬิกาที่คิมซื้อให้ชินทรหลังจากที่เพิ่งจะตกลงเรื่องความสัมพันธ์กับเขาได้ไม่นาน

ตอนนั้นชินทรพูดติดตลกว่า นาฬิกาอยู่ คนก็อยู่ เพราะคำพูดไม่ดีพวกนี้ คิมจึงได้โมโหขึ้นมา

ตอนนี้นาฬิกาไม่เดินแล้ว ทว่าน้ำตาของเธอกลับไหลไม่หยุด

นาฬิกายังอยู่ แล้วชินทรล่ะ

คิมกำนาฬิกาข้อมืออันนี้เอาไว้แน่น การจะพูดออกมาทั้งน้ำตาว่า “ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ค่ะ ฉันทอดทิ้งเด็กของตระกูลทวีทรัพย์ธาดาไปแล้ว ฉันในตอนนั้นได้ทอดทิ้งนรมนไปแล้ว ขอโทษด้วยค่ะ”

คุณนายทวีทรัพย์ธาดากอบกุมมือของเธอเอาไว้แล้วพูดว่า “โชคดีที่พวกเรารู้ว่านรมนคือคนตระกูลทวีทรัพย์ธาดาของพวกเรา แต่ว่าพ่อแม่ทางฝั่งของตระกูลธนาศักดิ์ธนไม่รู้เรื่องนี้ พวกเราหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมานานมากแล้ว พ่อแม่ทางฝั่งของตระกูลธนาศักดิ์ธนเลี้ยงดูนรมนมาตลอดยี่สิบปี คิดมาตลอดว่าเธอเป็นลูกแท้ๆ ของตัวเอง ถ้าหากอยู่ๆ ตอนนี้ไปบอกว่านรมนเป็นคนของสกุลทวีทรัพย์ธาดา พวกเขาจะยอมรับได้อย่างไร”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แค้นรักสามีตัวร้าย