บทที่ 269 พี่รู้จักแต่จะรังแกผม
“เอาล่ะ ทุกอย่างมันก็ผ่านไปแล้ว พ่อกลับหม่ามี้ล้วนไม่โทษลูก ตอนนี้ก็บอกพ่อได้แล้วสินะว่าหม่ามี้ของลูกอยู่ที่ไหน”
ตอนนี้บุริศร์รู้แล้วว่านรมนถูกกิมจิช่วยเอาไว้ และกลับมาพร้อมกับเรือบรรทุกสินค้า แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่านรมนอยู่ที่ไหน
เขารู้สึกกังวลไม่น้อย
ตอนแรกกานต์ยังคงเสียใจมาก แต่พอเห็นท่าทางร้อนรนแบบนี้ของบุริศร์แล้ว ก็เงยหน้ามองเขาแล้วพูดออกมาว่า “ผมเชื่อแล้วว่าคุณจริงใจกับหม่ามี้มาก”
“พูดจาไร้สาระ นั่นน่ะเป็นภรรยาของพ่อนะ!”
บุริศร์รู้สึกว่าวันนี้ว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นที่ไม่รู้จักชั่วดีนี่เอาแต่ยั่วยุเขาอยู่ตลอดเวลา
“เดี๋ยวก่อนนะ อะไรที่บอกว่าพ่อจริงใจกับหม่ามี้ของลูก พ่อไม่จริงใจกับเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ทันใดนั้นบุริศร์ก็จับความผิดปกติที่แฝงอยู่ในคำพูดของกานต์เอาไว้ได้
เด็กชายส่ายหน้าแล้วพูดออกมาว่า “ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นระหว่างคุณกับหม่ามี้ ทั้งหมดนี่ก็ฟังมาจากที่เธอพูดกับรเมศ แล้วก็เป็นการคาดเดาของตัวเอง ผมสงสัยมาตลอดว่าบนโลกนี้จะมีผู้ชายที่จิตใจโหดเหี้ยมขนาดนั้นด้วยเหรอ ล้วนพูดกันว่าเสือร้ายไม่กินลูกของตัวเอง แล้วทำไมคุณถึงไม่ต้องการกมลล่ะ ทำไมถึงได้ต้องการเผาให้พวกเราตายอยู่ในกองไฟ”
“นั่นเป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด พ่อไม่เคยคิดที่จะทำร้ายพวกลูกเลย”
ตอนนี้เองบุริศร์ก็ได้รู้แล้วว่าถึงแม้กานต์จะไม่เคยเผชิญกับเรื่องเมื่อห้าปีก่อน แต่ก็ยังส่งผลกระทบต่อพวกเขาไม่น้อย
แต่ยังไงเขาก็ไม่ได้รู้สึกร้อนใจอีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ลูกก็กำลังพูดคุยกับเขาอย่างมีชีวิตชีวา ดังนั้นนรมนก็ไม่น่าจะเป็นอะไรร้ายแรง ใช้โอกาสนี้ในการคลายปมในหัวใจขอลูกชายน่าจะดีกว่า
กานต์พยักหน้า “ก็ผมไม่รู้น่ะสิ พูดตามตรง ครั้งก่อนที่กลับประเทศแล้วเห็นหม่ามี้ยกโทษให้คุณ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อย ทำไมผู้ชายที่ทอดทิ้งลูกและภรรยาอย่างคุณถึงได้ได้รับการอภัยง่ายๆ แบบนั้นกันนะ”
“เด็กโง่นี่ พ่อไปทอดทิ้งลูกและภรรยาตั้งแต่เมื่อไหร่ จะใช้สำนวนสุภาษิตทั้งทีก็ยังใช้ไม่ถูกอีก ไม่ว่าจะเป็นลูก กมล หรือว่าหม่ามี้ของลูก พ่อก็รักและจริงใจด้วยทั้งนั้น”
“แล้วทำไมเมื่อห้าปีก่อนหม่ามี้ถึงไม่รู้ว่าคุณรักเธอล่ะ”
คำพูดนี้ทำให้บุริศร์รู้สึกจุกอยู่ในลำคอ
ใช่แล้ว ถ้าเมื่อห้าปีก่อนไม่เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นละก็ ไม่รู้ว่าตอนไหนกว่าเขาจะรู้ว่าตัวเองรักนรมน แต่เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องเอามาพูดกับลูกหรอกนะ
กานต์เห็นว่าบุริศร์ไม่ปฏิเสธจึงพูดต่อว่า “ดังนั้นพอครั้งนี้เกิดเรื่องกับหม่ามี้อีก ผมก็เลยอยากรู้ว่าคุณจะทำยังไง ถ้าหากคุณไม่ยอมทำอะไรสักอย่าง คิดว่าหม่ามี้ตายไปทั้งแบบนั้นจริงๆ แล้วกลับมาอย่างเงียบๆ ผมก็จะไม่ยอมรับแด๊ดดี้อย่างคุณอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังไม่มีค่าพอสำหรับหม่ามี้อีกด้วย”
พอรู้ว่าที่กานต์ไม่ยอมบอกเขาก็เพียงเพราะเหตุผลแค่นี้ บุริศร์ก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
กานต์พยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและพูดว่า “ใช่แล้ว ผมรู้สึกว่าคุณยังน่าเชื่อถืออยู่ แล้วก็เหมาะสมที่จะเป็นแด๊ดดี้ของผม”
“ขอบคุณสำหรับคำชมนะ”
บุริศร์พูดออกมาด้วยท่าทีที่ไม่ชัดเจน
กานต์กลับยิ้มออกมาแล้วพูดว่า ”ไม่เป็นไรจ้า!”
“เจ้าเด็กนี่ วอนโดนตีนักใช่ไหม”
“ผมจะบอกคุณไว้เลยนะ คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ตีผมอีก ไม่อย่างนั้นผมจะฟ้องหม่ามี้”
เด็กชายยกกลเม็ดพิชิตศัตรูออกมาทันที
บุริศร์รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกเจ้าเด็กนี่ควบคุมเอาไว้ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วพูดออกมาว่า “เอาล่ะคุณชาย จะบอกได้เมื่อไหร่ว่าตอนนี้แม่ของลูกอยู่ที่ไหน”
“รีบไปทำไมกัน ถึงบอกไปตอนนี้คุณก็ยังไม่ได้เจอหม่ามี้อยู่ดี ยังต้องรออีกสักพัก”
“หมายความว่ายังไง”
บุริศร์ค่อนข้างที่จะร้อนใจ
พอเห็นเขาร้อนใจแบบนี้แล้ว เด็กชายก็ไม่ได้แกล้งหยอกเขาอีก เพียงยิ้มแล้วพูดออกมาว่า “ความจริงแล้วตอนที่หม่ามี้ตกลงไปในทะเลนั้นก็กระแทกเข้ากับผิวน้ำ แต่โชคดีที่เธอสติกลับมาได้เร็ว กิมจิก็มาถึงพอดี จึงสามารถช่วยหม่ามี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นน้ำทะเลเย็นเกินไป ตอนที่อยู่บนเรือหม่ามี้ก็ยังได้รับบาดเจ็บอีก หลังจากนั้นจึงมีไข้สูง กิมจิไม่รู้ว่านั่งเป็นเรือบรรทุกสินค้า ยังคิดว่าพอมีคนอยู่ แต่ใครจะไปรู้ว่าอาหารและของใช้ของพวกลูกเรือกับกัปตันได้ถูกกำหนดปริมาณเอาไว้แล้ว กิมจิทำได้เพียงต้องขโมยกล่องพยาบาลของพวกเขามาช่วยรักษาให้หม่ามี้เท่านั้น ”
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ กัปตันเรือบอกว่าพยายามหาตัวพวกเขาแล้วแต่ก็ตามหาไม่พบ”
ตรงจุดนี้ทำให้บุริศร์ค่อนข้างที่จะแปลกใจ
กานต์พูดอย่างภาคภูมิใจ “คนที่ทำงานให้อาณาจักรรัตติกาลจะถูกพบง่ายๆ ได้ยังไง
“ภูมิใจมากไหม”
พอเห็นท่าทางอวดดีแบบนี้ของลูกชายแล้ว บุริศร์จึงเอ่ยแซะเขาไปเล็กน้อย
ทว่าเด็กชายกลับไม่สนใจ เขายิ้มแล้วพูดออกมาว่า “แน่นอนว่าต้องภูมิใจอยู่แล้ว หลังจากนี้ผมต้องเป็นคนที่รับช่วงต่ออาณาจักรรัตติกาลนี่นา”
“ครับๆ ท่านลูกเจ้าขุนมูลนาย”
บุริศร์ชักขี้เกียจที่จะสนใจเขา
กานต์ลูบหลังศีรษะอย่างเขินอายแล้วพูดออกมาว่า “ตอนที่อยู่บนเรือหม่ามี้มีไข้สูงไม่ยอมลด กิมจิจึงต้องหาอะไรให้เธอกินสักหน่อย หลังจากนั้นก็ให้ดื่มน้ำสะอาด ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงท่าเรือที่อยู่ใกล้ๆ ทันทีที่เรือเทียบท่าเพื่อเพิ่มเติมสิ่งของจำเป็น กิมจิก็พาหม่ามี้ลงมาจากเรือ จากนั้นก็ติดต่อคนของเรา แล้วพาหม่ามี้ไปส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ๆ น่าเสียดายที่เธอไม่มีบัตรประชาชน หมอก็เลยไม่รับเอาไว้ กิมจิจึงต้องติดต่อไปที่สำนักงานใหญ่ของพวกเราว่าให้พาตัวหม่ามี้ไปที่ฐาน”
“ฐานเหรอ ฐานที่ไหนกัน”
ทันใดนั้นบุริศร์ก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
กานต์มองเขาแล้วพูดออกมาว่า “ก็ต้องเป็นฐานของพวกเราน่ะสิ คุณแชมป์ก็อยู่ด้วยนะ เขาไม่ได้โทรหาคุณเหรอ อ้อ อาจจะยุ่งอยู่กับการรักษาหม่ามี้ ดังนั้นก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท”
ถึงแม้ว่าคำพูดของกานต์จะไม่ช้าไม่เร็ว แต่ท้ายที่สุดบุริศร์ก็เข้าใจได้
ตอนนี้นรมนอยู่ในฐานะของตระกูลโตเล็กสินะ
เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยจริงๆ
ทันใดนั้นบุริศร์ก็ลุกขึ้นมาแล้วรีบเดินออกไป ก่อนจะได้ยินกานต์พูดต่อว่า “คุณไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะ หลังจากที่หม่ามี้หายป่วยแล้วก็บอกว่าอยากจะฝึกฝนตัวเอง ตอนนี้เธอขึ้นเขาไปกับคุณแชมป์ วางแผนว่าจะเรียนรู้ทักษะการต่อสู้และทักษะการเอาตัวรอดอะไรพวกนั้น”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของลูกชาย บุริศร์ก็ตะลึงไปชั่วขณะ
“ลูกหมายความว่ายังไงน่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แค้นรักสามีตัวร้าย
หล่อนบอกพฤกษ์ได้ย่ะนังนรมน โง่ซ้ำซาก...
อ้าว ขอตุลยาให้ช่วย แล้วทีงี้ทำไมไม่กลัวคนแอบมองจะรู้ว่าขอให้คนอื่นช่วย ไม่สงสัยเลยเว้ยว่าอาจจะมีกล้องซ่อนอยู่เพื่อแอบดูตัวเอง แทนที่จะขอมือถือใหม่มาใช้ สรุป ตอนนี้ไม่มีโทรศัพท์ โทรขอความช่วยเหลือไม่ได้...
โอ๊ย มีปัญญาบอกพฤกษ์ให้ไปบอกสามีได้ แต่ไม่ยอมบอกเค้าว่ามีคนส่งข้อความมาและคนๆนั้นน่าจะอยู่ในสถานพักฟื้นนี่แหล่ะ แล้วจะยังไง ตัวเองจะปกป้องลูกๆและแม่สามีได้ไง แต่งเรื่องได้ไม่เมคเซ้นส์เลย แต่เราว่าดูแล้วเหมือนไปก๊อปเรื่องอื่นมาแล้วเปลี่ยนชื่อคนเอา แล้วไอ้เรื่องที่เอามามันคงใช้บอทแปลมาอีกที เพราะนอกจากภาษาแหม่ง ๆ ยังใช้สรรพนามมั่ว เดี๋ยวเธอเดี๋ยวเขา เดี๋ยวเรียกลูกว่าคุณเดี๋ยวเรียกหนู เดี๋ยวเรียกยายเดี่ยวเรียกย่า ฯลฯ ถ้าคนเขียนหรือแปล มันไม่น่าจะผิดตรงจุดนี้...
นี่กอีกจุดที่ไม่สมจริง นรมนควรจะรีบบอกบุริษร์ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่โอ้เอ้ ทำนั่นทำนี่ตั้งนาน เพราะก็ต้องเข้าใจสิว่าพ่อก็ทุกข์ใจเรื่องลูกหาย...
รู้ว่ามันฆ่าสามีและวางยาลูกคนเล็ก แต่ก็ทำเฉย เก็บมันไว้ใกล้ชิดกับลูกอีกคน ปล่อยให้มันสร้างฐานอำนาจมากขึ้นๆ แถมไม่แอบบอกลูกด้วยว่าต้องระวังอีนี่ อ่านแล้วงงตรรกะ...
น่าแบ่งคนเป็นสองกลุ่มตั้งแต่ต้น ตัวเองกับไมค์พาคนบุกบ้าน ค้นหาตัวนรมน อีกกลุ่มให้คนสนิทไมค์ซึ่งเป็นเจ้าถิ่นพาไปรับตัวแม่กับลูกออกจากรพ. ไม่งั้นอย่างเลวสุดคือเอาลูกและแม่ออกจากรพ. ได้แล้ว ให้ไมค์พาไปค้นบ้าน ช่วยนรมนออกมาด้วย ลองคิดตามความเป็นจริง พอรเมศรู้ว่าพาคนออกจากรพ.แล้ว มันก็ต้องเอะใจแล้วว่าต้องรีบเปลี่ยนที่ซ่อนนรมน รเมศมันก็ไม่น่าโง่นิ เป็นถึงเจ้าพ่อแถบนั้นได้...
แล้วแทนที่จะบอกลูกน้องว่ารเมศไว้ใจไม่ได้ ขังนรมนไว้และจะวางยากมล ก็ไม่บอกอีก แถมไม่เรียกตำรวจ ไม่ขอกำลังเสริม ทั้งๆที่รู้ว่าเลขากำลังจะโทรสั่งคนที่รพ. คือ ไม่คิดเหรอว่าอาจจะหนีออกจากรพ.ไม่ทัน...
กรูจะบ้า แอบเข้ามาคนเดียวอีกแล้ว ไหนว่ารวยมากมีอำนาจมาก ทำไมอนาถาจัง...
ป้าโอก็ใบ้ไว้ชัดมากนะ พระเอกฉลาดก็น่าจะสงสัยว่านางเป็นแม่แท้ ๆ หรือเปล่า พอฟังแม่พูดแล้ว อาจจะว่านางโอวางยาแม่บุริศร์ พอคลอดเด็กผู้หญิงมาก็แอบเปลี่ยนกับแฝดของตัวเอง เพราะงี้ถึงได้รักพระเอกกับน้องมากๆ แต่ก็งงว่าทำไมวางยากิจจา และทำร้ายกานต์ นั่นหลานแท้ๆนี่หว่า...
จะบ้าตาย ทำไมไม่ถามป้าโอว่าลูกอยู่ที่ไหน นักเขียนหลับเหรอ ชั้นงงมาก เขียนเรื่องได้แบบ เรื่องไม่คงเส้นคงวา เปลี่ยนรายละเอียดกลางทาง มีช่องโหว่เต็มไปหมด...