ตอนนี้เวลานี้ ในใจของลั่วเสี่ยวปิงมีการคาดเดาเพิ่มขึ้นมาข้อหนึ่ง
ลั่วเสี่ยวจู๋ไม่ได้อยากจะหางานทำ แต่ว่า ต้องการเข้ามาในบ้านของนาง
เช่นนั้น จุดประสงค์ที่แท้จริงของนางคืออะไร?
ลั่วเสี่ยวปิงมองดูลั่วเสี่ยวจู๋ ในใจเต็มไปด้วยความระแวดระวัง บนใบหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อย
“พี่เสี่ยวปิง……” ลั่วเสี่ยวจู๋รู้สึกกังวลเล็กน้อย
“ที่บ้านข้าไม่ได้ต้องการคนซักผ้าทำอาหาร” หลังจากที่ลั่วเสี่ยวปิงคิดใคร่ครวญดูแล้ว รู้สึกว่าปฏิเสธไปโดยตรงดีกว่า
ตามหลักแล้ว หลังจากที่นางรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของลั่วเสี่ยวจู๋คือการเข้ามาอยู่ในบ้านของนาง ก็ควรจะใช้แผนซ้อนแผนทำตามความต้องการของนาง เช่นนี้ก็จะสะดวกในการจับตาดูว่านางต้องการจะทำอะไรกันแน่
แต่ว่า นางจะไม่ทำแบบนั้น
เพราะในบ้านมีลูกสองคน และนางก็ดูออกถึงท่าทีที่ไม่ปกติของลั่วเสี่ยวจู๋ที่มีอานอาน ดังนั้นนางจึงไม่สามารถปล่อยให้ลั่วเสี่ยวจู๋เข้าบ้านเพียงเพื่อสนองความเฉลียวฉลาดในเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งของตนเองได้
ลั่วเสี่ยวจู๋คิดไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธ ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ลั่วเสี่ยวปิงไม่ให้โอกาสลั่วเสี่ยวจู๋ได้พูดต่อ พาลูกสองคนเดินหน้าต่อ ฉีเทียนเห้าเพียงแค่เดินตามไปติดๆ
พวกเขาเพิ่งจะเดินผ่านลั่วเสี่ยวจู๋ไป จางเอ้อหลางก็ควบรถม้าปรากฏตัวขึ้นจากด้านข้าง
ฉีเทียนเห้าได้จัดเตรียมรถม้าเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงทักทายจางเอ้อหลางแล้วก็ขึ้นรถม้าไป
รถม้าไกลออกไป เกิดเป็นฝุ่นตลบอบอวลลอยขึ้นมาเต็มพื้น
ลั่วเสี่ยวจู๋มองดูรถม้าที่ควบออกไป เก็บสีหน้าท่าทางบนใบหน้าลงเล็กน้อย มองไปยังทิศทางที่ลั่วเสี่ยวปิงจากไป มุมปากเกี่ยวเป็นมุมโค้งเย้ยหยันเล็กน้อย: “ก็พึ่งผู้ชายไม่ใช่หรือไง?”
พูดคำนี้จบ ลั่วเสี่ยวจู๋ไม่ได้มองไปที่บ้านหลังใหม่ของลั่วเสี่ยวปิงนั่นอีก ก้าวเท้าก็เดินไปทางกระท่อม
ตอนที่ลั่วเสี่ยวจู๋กลับไป คนของบ้านสี่อยู่ในลานกันหมด อากาศของปลายฤดูใบไม้ร่วงแต่ละคนสวมใส่แต่เสื้อผ้าบางๆ ในเวลานี้ล้วนแต่มีใบหน้าอมทุกข์กันทั้งนั้น เห็นลั่วเสี่ยวจู๋กลับมา ต่างก็มีท่าทีอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ไม่พูดออกมา
“ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องชาย พวกท่านเป็นอะไรไป?” ลั่วเสี่ยวจู๋ถาม
“ไม่……” ลั่วต้าโซ่วอยากจะพูดว่าไม่มีอะไร ลั่วฝูซิงกลับชิงเอ่ยปากกล่าวออกมาก่อน
“พี่สาว บ้านเราไม่มีอาหารแล้ว”
บ้านสี่ออกมาจากตระกูลตัวเปล่า อาหารที่กินทุกวันนี้คืออาหารที่ลั่วเสี่ยวปิงทิ้งเอาไว้ ตอนนี้อาหารพวกนั้นก็ใกล้จะหมดแล้ว
ไม่มีอาหารไม่มีเครื่องนุ่งห่ม คนของบ้านสี่ไม่กลัดกลุ้มสิแปลก
แต่ว่าไม่มีใครตำหนิลั่วเสี่ยวจู๋ที่เป็นคนเอ่ยเรื่องแยกบ้านเลย อย่างไรเสียถึงแม้คนที่เอ่ยขึ้นมาจะเป็นลั่วเสี่ยวจู๋ แต่ว่าทุกคนก็เห็นด้วย
เมื่อลั่วเสี่ยวจู๋ได้ยินว่าที่ไม่มีอาหาร สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ ลั่วต้าโซ่วก็กล่าวปลอบโยนว่า “ไม่เป็นไร พ่อจะขึ้นเขาไปผ่าฟืนเดี๋ยวนี้แหละ พี่เสี่ยวปิงของเจ้ารับซื้อฟืน ขายเป็นเงินอย่างไรก็สามารถผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้อยู่”
ลั่วต้าโซ่วพูดไปก็เดินไปหยิบขวาน
“พี่สาว ท่านจะไปไหน?”
ในขณะที่ลั่วต้าโซ่วเดินไปหยิบขวาน จู่ๆลั่วเสี่ยวจู๋ก็หันหลังวิ่งออกไปจากประตูบ้านไป
หลังจากที่ลั่วฝูซิงไล่ตามมาถึงหน้าประตู ก็เห็นเพียงลั่วเสี่ยวจู๋วิ่งเหยาะๆไปทางเมือง ไม่ว่าลั่วฝูซิงจะเรียกอย่างไรก็ไม่หันกลับมาเลย
……
รถม้าวิ่งเร็วมาก ไม่ถึงครึ่งชั่วยามพวกเขาก็มาถึงในเมืองแล้ว
พอมาถึงในเมือง ลั่วเสี่ยวปิงก็ให้จางเอ้อหลางควบรถม้าไปยังร้านค้าคนกลางในการซื้อขาย
ในเมืองไม่ได้ใหญ่มาก ก็มีแค่ร้านค้าคนกลางเพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ร้านค้าคนกลางดำเนินการในด้านการค้าขายและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก หลังจากที่ฟังเหตุผลการมาของลั่วเสี่ยวปิงเข้าใจแล้ว ก็มีนายหน้านำทาง พาพวกเขาไปดูหน้าร้านทันที
ในระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม ลั่วเสี่ยวปิงก็ดูร้านไปสามร้านแล้ว
บนถนนสายหลักคนพลุกพล่านที่สุด แต่ว่าร้านค้าในถนนสายหลักประกาศขายน้อย มีเพียงร้านค้าที่เล็กมากแห่งเดียวเท่านั้น ราคาขายกลับสูงมาก ราคาหนึ่งร้อยตำลึงเต็มๆ
อีกสองแห่งอยู่ที่ถนนทิศตะวันตกร้านหนึ่ง ถนนทิศตะวันออกร้านหนึ่ง
ร้านค้าที่ถนนทิศตะวันตกไม่เล็ก ราคาก็ถือว่าใช้ได้ แต่ว่าถนนทิศตะวันตกกลับเป็นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านยากจน ไม่ได้มีระดับความสามารถในการใช้จ่าย
และถนนทิศตะวันตกก็มีเพียงร้านค้าไม่กี่แห่ง ร้านตีเหล็กอะไรพวกนั้น สภาพแวดล้อมก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ส่วนถนนทิศตะวันออก อยู่ติดกับตลาด คนสัญจรไปมาเยอะพอสมควร พื้นที่ร้านอยู่ในระดับปานกลาง เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวของเจ้าของร้านก็คือ คนที่ซื้อร้านต้องซื้อบ้านที่อยู่ด้านหลังไปด้วย ไม่ได้ขายแยก
ลั่วเสี่ยวปิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าไปดูที่บ้านหลังนั้นก่อนแล้วค่อยว่ากัน
บอกว่าอยู่หลังร้าน แต่กลับไม่ได้เชื่อมติดกับร้าน
ออกไปจากด้านหลังของร้าน จะเป็นตรอกเล็กๆทางหนึ่ง ตรงข้ามแนวทแยงมีประตูบานเล็กบานหนึ่ง ประตูบานเล็กนั่นก็คือประตูหลังของบ้าน
เข้าไปจากประตูหลัง ก็คือสวนเล็กๆแห่งหนึ่ง มีเขาเทียมกับศาลาสวน ไม่ใหญ่ แต่ก็ประณีตอยู่เล็กน้อย
เดินต่อไปข้างหน้าอีกหน่อย ก็จะเป็นตึกเล็กสองชั้น
ด้านหน้าของตึกเล็กมีห้องรับรองสองฝั่ง กระดานหินปูอยู่ตรงลาน ข้างหน้ามีจิตรกรรมฝาผนังอันหนึ่ง ด้านหลังของจิตรกรรมฝาผนังก็คือประตูใหญ่
เปิดประตูออก สิ่งที่ทำให้ลั่วเสี่ยวปิงต้องแปลกใจคือ ถนนที่อยู่ตรงข้ามประตูห่างออกไปไม่ไกลจากหอฝูหม่านพอดี ฝั่งตรงข้ามยังมีร้านอาหารเล็กๆเปิดอยู่ไม่น้อย
ถึงแม้จะไม่เคยคิดซื้อบ้านในเมือง แต่ลั่วเสี่ยวปิงก็ยังคงเอ่ยถามราคา
“ฮูหยินท่านนี้ พูดตามความจริงไม่ปิดบัง ราคาเฉพาะของร้านนี้คือแปดสิบตำลึง ไม่ถือว่าแพง แต่ว่าบ้านหลังใหญ่หลังนี้ไม่เล็กจริงๆ เจ้าของบ้านเรียกราคาแปดร้อยตำลึง หากไม่ใช่เพราะราคานี้ เกรงว่าร้านค้าที่อยู่ข้างหน้านั่นคงจะถูกคนซื้อไปนานแล้ว” นายหน้ากล่าวไป ก็ทำหน้ายิ้มเจื่อนๆไปด้วย “สมัยนี้ ใครจะสามารถเอาเงินมากมายขนาดนี้ออกมาได้อย่างง่ายดายได้ล่ะ?”
ดูเหมือนจะเป็นการทอดถอนใจอย่างจนใจของนายหน้า แต่กลับเหมือนเป็นการบอกลั่วเสี่ยวปิงว่า ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีคนซื้อบ้านหลังนี้เพราะไม่มีใครสามารถเอาเงินแปดร้อยตำลึงออกมาได้ในคราวเดียว
แต่ วิธีการพูดแบบนี้คนทั่วไปก็ยังสามารถฟังออกถึงความผิดปกติที่อยู่ข้างใน
ถึงอย่างไรคนมีเงินก็มีถมเถไป บ้านหลังนี้ก็ไม่เล็ก ทำเลที่ตั้งก็ถือว่าใช้ได้ จะไม่มีคนที่สามารถเอาเงินแปดร้อยตำลึงปรากฏตัวขึ้นมาแม้แต่คนเดียวได้อย่างไร?
ลั่วเสี่ยวปิงปิดประตูใหญ่ลง เดินอ้อมจิตรกรรมฝาผนังไปดูบ้านโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า สายตาแฝงไปด้วยแหลมคมเล็กน้อย
บ้านหลังนี้ นางไม่เห็นความผิดปกติอะไรจริงๆ รู้แต่ว่ามันแตกต่างไปจากแผนผังของบ้านทั่วไปเล็กน้อย อีกอย่างมันน่าจะไม่มีคนอาศัยอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว
เพราะถึงแม้ตัวบ้านจะถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้านมาก แต่ทั่วทั้งสถานที่กลับขาดกลิ่นอายของมนุษย์ ไม่เหมือนมีคนอาศัยอยู่เลย
นายหน้ามองดูสายตาที่มองสำรวจไปรอบๆของลั่วเสี่ยวปิง อดที่จะรู้สึกประหม่าในใจไม่ได้ “ฮูหยิน ท่านชอบบ้านหลังนี้ไหม?”
ถึงแม้ยังมีฉีเทียนเห้าที่ยืนดูแลเด็กๆอยู่ด้านข้าง แต่ตลอดทางมานี้นายหน้าก็ถือว่ามองออกแล้ว ครอบครัวนี้คนที่เป็นคนตัดสินใจคือฮูหยินน้อยท่านนี้
“ชอบไม่ชอบแล้วอย่างไร?” ลั่วเสี่ยวปิงถามกลับ
นายหน้าได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็แข็งทื่อ
“วันนี้ข้าจะซื้อร้านมาหาพวกเจ้าด้วยความจริงใจ แต่ท่านที่เป็นนายหน้าไม่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นก็ขออภัยที่ข้าไปหาคนอื่น” สีหน้าท่าทางของลั่วเสี่ยวปิงเย็นชาลงมากะทันหัน
ถึงแม้ในเมืองจะมีร้านค้าคนกลางแค่แห่งเดียว แต่ว่าไม่มีใครกำหนดสักหน่อยว่าจะหาร้านจำเป็นต้องให้นายหน้าแนะนำ นางเองก็สามารถไปสอบถามด้วยตนเองแล้วไปหาเจ้าของบ้านได้เช่นกัน
ถึงแม้ การทำเช่นนี้มันจะยุ่งยากเกินไปหน่อยก็เถอะ
ทันทีที่นายหน้าได้ยินคำพูดนี้ของลั่วเสี่ยวปิง คิดทบทวนแล้วรู้ได้ในทันที รู้ว่าลั่วเสี่ยวปิงต้องพบความผิดปกติของบ้านหลังนี้แล้ว รีบร้อนกล่าวอย่างเอาใจ
“ฮูหยินอย่าเพิ่งโกรธไป ฮวงจุ้ยของบ้านหลังนี้ไม่เหมาะให้คนอยู่อาศัยจริงๆ เพราะข้าผีหลงจิตใจปิดบังความจริงข้อนี้เอาไว้ หากฮูหยินตั้งใจจะซื้อร้านจริงๆ ข้าจะช่วยฮูหยินลองหาดูอีกที”
พวกเขาเป็นนายหน้าหาเงินมาได้อย่างยากลำบาก บางครั้งในหนึ่งเดือนก็อาจจะไม่สามารถขายออกไปได้สักบิลเลยด้วยซ้ำ
ครอบครัวนี้ดูก็รู้แล้วว่าต้องการจะซื้อร้านจริงๆ หากซื้อขายกันสำเร็จ ชีวิตเขาก็จะสบายขึ้นมาหน่อย จะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ลั่วเสี่ยวปิงรู้ว่าบ้านหลังนี้มีปัญหาแน่นอน แต่กลับไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดบนเรื่องของฮวงจุ้ย นี่ทำให้ชั่วขณะหนึ่งลั่วเสี่ยวปิงไม่รู้จะพูดอะไรดี
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง