แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 196

ฉีเทียนเห้าปัดฝุ่นที่ไม่มีอยู่บนตัว และเปิดจดหมายในมือด้วยสีหน้าที่เย็นชา

เพียงแต่ว่าเมื่อเขาเห็นเนื้อหาในจดหมาย ตาของฉีเทียนเห้าก็มีความโหดเหี้ยมแว็ปผ่านไป

หนานเฉินที่อยู่ด้านข้าง เห็นสีหน้าของเจ้านาย ก็ลังเลและพูดว่า "นายท่าน เป็นเพราะทางนายหญิงนั้นเกิดเรื่องแล้วเหรอ?"

ผู้ที่ส่งจดหมายถึงนายท่านในเวลานี้ จะต้องเป็นหนานซิงอย่างไม่ต้องสงสัยแน่เลย

และหนานซิงมาส่งจดหมายในเวลานี้ คงต้องเกี่ยวข้องกับนายหญิงแน่เลย

ฉีเทียนเห้าไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นจดหมายให้กับหนานเฉิน

หลังจากอ่านจดหมายจบ หนานเฉินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ "ครึ่งวัน……นายท่าน หรือว่ามันเป็นฝีมือของท่านนั้น? "

เมื่อเห็นว่านายท่านของตัวเองไม่พูดอะไร หนานเฉินก็คิดและคาดเดาว่า "ท่านนั้นต้องการใช้ลูกสาวของนายท่านหราวเพื่อบังคับให้ตระกูลหราวเชื่อฟังและทำตามคำสั่งของเขา เพื่อควบคุมคนในราชสำนักครึ่งหนึ่ง……"

เมื่อพูดถึงตรงนี้ หนานเฉินก็หันมองฉีเทียนเห้า หยุดไปชั่วคราวแล้วพูดว่า "นายท่าน ดูเหมือนว่าคราวนี้ นายหญิงจะช่วยนายท่านกำจัดเรื่องหนึ่งไปโดยไม่ได้ตั้งใจ"

ใบหน้าที่เย็นชาของฉีเทียนเห้า เริ่มอ่อนโยนขึ้นเพราะคําพูดนี้ของหนานเฉิน "นั้นสิ ช่วยข้าแก้ปัญหาไปหลายเรื่องเลย"

หนานเฉิน:“……”รอยยิ้มที่ภาคภูมิใจบนใบหน้าของนายท่านนั้น……มันดูไม่เหมือนนายท่านเลย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากนายท่านมีหาง คงต้องตั้งขึ้นสูงไปถึงบนฟ้าแน่เลย

หนานเฉินก้มหัวลงอย่างเงียบๆ กล้ามเนื้อที่แข็งทื่ออดกระตุกไม่ได้

"สั่งคำสั่งลงไปว่า เปิดเผยสาเหตุของการตายของหญิงชรานั้นให้กับกัวหงหยาง" ฉีเทียนเห้าเก็บร้อมยิ้มและสั่งด้วยเสียงที่เคร่งขรึม

หนานเฉินได้ยินคําสั่ง ใบหน้าที่เย็นชาก็อดไม่ได้มีความประหลาดใจเล็กน้อย

นายอำเภอคนหนึ่ง จะสามารถทำให้นายท่านลดตัวออกคำสั่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

และอีกอย่าง ในจดหมายหนานซิงยังกล่าวถึงความคับข้องใจของคนรุ่นก่อนๆของตระกูลกัว ต่อให้เปิดเผยสาเหตุของการเสียชีวิตของหญิงชรานั้น กัวหงหยางก็คงจะไม่ทำไรหรอก

ยิ่งกว่านั้น นายอำเภอเล็กๆคนหนึ่ง จะสู้กับท่านนั้นได้อย่างไร?

อย่างไรก็ตามความสงสัยก็เกิดขึ้นเพียงในทันที ไม่ช้าหนานเฉินก็เข้าใจแล้ว

นายท่านต้องการให้ตระกูลหราวรู้เรื่องนี้ เช่นนี้ ท่านนั้นอยากจะวางแผนทำอะไรก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นอีกแล้ว

แม้ว่า เขาจะรู้สึกเสมอว่าคําสั่งของนายท่านอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนายหญิงเล็กน้อย แต่หนานเฉินก็ไม่ได้คาดเดาอีกต่อไป

เพราะ เรื่องที่เจ้านายสั่ง เขาเพียงแค่ทำตามก็พอ อย่างอื่น เรื่องที่ควรคิดก็ควรคิด เรื่องที่ควรหยุดคิดก็หยุดคิด มิฉะนั้นก็จะเหมือนเช่นหนานซิง สองสามวันก็ถูกลงโทษ

เมื่อเก็บความคิด หนานเฉินก็ถามต่อว่า "เช่นนั้นองค์หญิงหก……"

"ข้าจะไปคนเดียว"

ไม่รอหนานเฉินถามจบ ฉีเทียนเห้าก็ดึงผู้บาดเจ็บคนหนึ่งที่ยังสามารถเดินได้ เดินข้ามผ่านศพหลายศพแล้วให้เขานำทางภายใต้สายตาที่หวาดกลัวของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ

ใครก็คิดไม่ถึงว่า ค่ายเฮยหลงที่ร้ายกาจและชอบสร้างเรื่องนั้น จะพ่ายแพ้ไปในเพียงไม่กี่นาที และโจรที่ร้ายกาจในเดิมทีนั้น ตอนนี้อยู่ต่อหน้าฉีเทียนเห้าก็เหมือนนกกระทาที่อ่อนแอ

ไม่นาน ฉีเทียนเห้าก็ถูกพาไปยังยอดเขาอีกยอดหนึ่ง

เดิมทีฉีเทียนเห้าคิดว่าเขาจะเห็นซ่งหลิงหลิงที่ตัวสกปรกและมีคราบน้ำตาที่เต็มไปบนใบหน้า แต่เมื่อเขาเดินไปถึงที่ประตู และได้ยินเสียงที่ดังมาจากข้างใน ฝีเท้าของฉีเทียนเห้าก็หยุดลงทันที

ในบ้านหินที่เรียบง่าย มีเด็กหญิงตัวเล็กๆที่สวมชุดสีแดง อายุประมาณสิบสี่หรือสิบห้าปี ดวงตาที่สดใสและฟันที่ขาวและน่ารักมาก ที่กําลังยิ้มและหรี่ตามองชายหัวล้านที่นั่งอยู่ที่นั่นตั้งแต่เข้ามา ในดวงตานั้นมีแสงและเอ่ยปากด้วยท่าทีที่อยากจะลอง: "พระภิกษุปลอม ข้าเบื่อมาก พวกข้าวิ่งหนีกันเถอะ"

ชายหัวล้านท่องเสียงสงบสุขและพูดประโยคที่พูดมาในหลายวันที่ผ่านนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า "อาตมาเพียงแค่ลาสิกขา ไม่ใช่พระภิกษุปลอม"

หญิงสาวชุดสีแดง ก็คือซ่งหลิงหลิงฟังแล้ว ก็ไม่ได้คิดเช่นนั้น "ลาสิกขาแล้วยังเรียกตัวเองว่าอาตมา แถมยังหัวล้านอีก เจ้าไม่ใช่พระภิกษุปลอมคือไร?"

ว่าแล้ว ซ่งหลิงหลิงก็โบกมือด้วยท่าทางที่ไม่อยากพูดถึงหัวข้อนี้อีกต่อไป "โอ้ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว พระภิกษุปลอม ตกลงเจ้าจะหนีออกไปกับข้าไหม?"

"วิทยายุทธของเจ้าอ่อนแอเกินไป ข้าได้สูญเสียวิทยายุทธไปหมดแล้ว หนีไม่ผลหรอก" อู้เจินบอกความจริงด้วยสีหน้าที่สงบ ในเสียงนั้นไม่มีความตื่นเต้นไรเลย หน้าตาของเขาดูมีจิตเมตตากรุณา แม้จะไม่ได้สวมใส่กาสาวพัสตร์ แต่มองจากรูปลักษณะ อู้เจินก็ไม่เหมือนพระภิกษุที่ลาสิกขาแล้วเลย แต่เหมือนกับผู้บรรลุนิพพานที่ไม่มีความปรารถนาอะไรเลย

เมื่อซ่งหลิงหลิงได้ยินความจริงนี้ สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีทันที "ข้าว่านะพระภิกษุปลอม เจ้าสูญเสียวิทยายุทธไปหมดแล้วทําไมตอนนั้นเจ้ายังต้องช่วยข้าไว้อีกละ?"

"แม่นางตกอยู่ในอันตราย ข้าไม่อาจปล่อยให้แม่นางต้องเผชิญกับมันเพียงคนเดียว"

ประโยคที่ทำให้คนรู้สึกซาบซึ้งประทับใจเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับพูดด้วยท่าทางการแสดงออกที่จิตเมตตากรุณาและเสียงที่สงบสุขยิ่งนัก ต่อให้ซ่งหลิงหลิงอยากซาบซึ้งก็ซาบซึ้งไม่ลง

เพราะนางรู้ว่า ต่อให้ตัวเองเป็นแมวหรือสุนัข พระภิกษุปลอมนี้ก็จะตามไว้แน่นอน

ถอนหายใจแล้วซ่งหลิงหลิงก็นั่งลงข้างๆอู้เจินและพูดอย่างเบาๆว่า "หากเสด็จอาอยู่ก็ดีแล้ว……เอ๊ะ? พระภิกษุปลอม ดูเหมือนว่าข้าโดนขังจนเห็นภาพหลอนตาซะแล้ว……"

……

ร้านค้าในเมืองใกล้ตกแต่งเสร็จแล้ว แต่เช้าลั่วเสี่ยวปิงก็ได้เตรียมเข้าเมืองเพื่อทําการซื้อของครั้งสุดท้ายก่อนจะเปิดร้าน

หลังจากเสร็จสิ้นสิ่งต่าง ลั่วเสี่ยวปิงก็นั่งรอจางเอ้อหลางขับรถม้ากลับมาที่บ้าน

ในเวลานี้ หนานซิงกําลังสอนวิทยายุทธเด็กสองคนในลาน ดูฝีมือที่ยิ่งอยู่ยิ่งคล่องแคล่วของเด็กทั้งสองคน ลั่วเสี่ยวปิงก็อดถอนหายใจไม่ได้

หลังจากที่ฉีเทียนเห้าจากไป นางก็เพียงสามารถทําได้แค่ฝึกหัดวิทยายุทธพื้นฐานได้เท่านั้น

ในตอนแรกนางก็อยากจะฝึกกับหนานซิง แต่เพียงแค่นางพูดออกมา หนานซิงก็ทําท่าทางที่กลัวและออกห่างให้ไกล เห็นเช่นนี้นางก็ทำได้เพียงทิ้งความคิดนี้ซะ

ดังนั้นตอนนี้ นางรู้สึกว่าตัวเองอยู่ล้าหลังลูกทั้งสองไปมากนัก

และในเวลานี้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

ลั่วเสี่ยวปิงคิดว่าคงจะเป็นจางเอ้อหลางกลับมาแล้ว จึงลุกขึ้นและไปเปิดประตู

พอประตูเปิดออก ลั่วเสี่ยวปิงก็เห็นคนที่ยืนอยู่ที่ประตู

เป็นผู้ชายที่แต่งกายในลักษณะของบัณฑิตในเสื้อสีฟ้า แต่ร่างของบัณฑิตคนนี้ผอมแห้งเกินไป แม้ว่ารูปลักษณ์จะดูดี แต่ขาวเกินไป โหนกแก้มสูงเกินไป แต่มองจากใบหน้าลั่วเสี่ยวปิงก็ไม่ชอบมากแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาของบัณฑิตที่มองนางนั้นมันชัดเจนเกินไป ซึ่งทําให้นางรู้สึกอึดอัดมาก

“เจ้าหาใคร?”ลั่วเสี่ยวปิงเอ่ยอย่างเย็นชา

แม้จะรู้สึกว่าบัณฑิตที่อยู่ตรงหน้านั้นหน้าคุ้นยิ่งนัก แต่ก็คิดไม่ในขณะนั้น บวกกับนางไม่ชอบบัณฑิตยิ่งนัก ดังนั้นจึงไม่เสียเวลาไปนึกคิด ยังไงเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

"เจ้า……หน้าเจ้าหายดีจริงแล้วเหรอ? บัณฑิตไม่ได้ตอบกลับลั่วเสี่ยวปิง แต่กลับถามคำถามนี้ออกมาอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น

แต่เมื่อมองดูรูปร่างหน้าตาของบัณฑิตคนนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็เกิดการคาดเดาหนึ่งอย่าง

"เจ้ามาทำไร?บ้านข้าไม่ต้อนรับเจ้า"

ในขณะนี้ เสียงที่เย็นชาของอานอานก็ดั่งขึ้นที่ข้างๆลั่วเสี่ยวปิง

ลั่วเสี่ยวปิงก้มหน้าลง ก็เห็นอานอานสีหน้าเย็นชา ทั้งตัวนั้นมีแต่ความขยะแขยงบัณฑิตที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูหน้า

นี่เป็นครั้งแรกที่ลั่วเสี่ยวปิงเห็นอานอานเกลียดใครคนหนึ่งมากเช่นนี้ แต่สิ่งที่ทำให้นางตกตะลึงไปกว่างนี้คืออย่างอื่น

ในเวลานี้ อานอานในตอนนี้นั้น ทําให้นางได้เห็นร่องรอยของฉีเทียนเห้าอีกครั้ง

เหมือนตอนที่ฉีเทียนเห้าเย็นชา เป๊ะๆเลย?

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง