“แม่นางลั่วสินะ? นายท่านของเรามีคำเชิญ”
ที่ติดตามอยู่ด้านหลังของลั่วเสี่ยวปิงคือชายร่างสูงห้าคนในชุดสีเทาธรรมดา แม้ว่าจะแต่งตัวเหมือนประชาชนธรรมดา แต่จากรูปร่างและกล้ามเนื้อที่ห่อไว้ไม่มิดของคนเหล่านี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคนฝึกวิทยายุทธ
“นายท่านของพวกท่านเป็นใคร?” ลั่วเสี่ยวปิงอารมณ์จิตใจเคร่งเครียด แต่กลับถามด้วยใบหน้าอันเฉยเมย
ฝีมือน้อยนิดของตัวเองนี่ไม่ต้องเอ่ยถึงคนฝึกวิทยายุทธห้าคนแล้ว แม้แต่หนึ่งคนในนั้นก็สู้ไม่ได้
แน่นอน หากว่าใช้ยาพิษในขณะที่คนอื่นคาดไม่ถึงนั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
“นายท่านของพวกเราเป็นใคร แม่นางลั่วไปแล้วก็จะรู้ แม่นางลั่วเชิญเถอะ” ผู้ชายที่นำทางเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา ทำท่าทางเชื้อเชิญ
ได้ยินดังนั้น ความคิดของลั่วเสี่ยวปิงก็เคลื่อนไหว มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำห่อยาพิษห่อหนึ่งไว้
ไม่กี่คนนั่นเห็นลั่วเสี่ยวปิงไม่ขยับ จึงมีสองคนเดินขึ้นหน้าไปเตรียมจะฝืนบังคับ
ลั่วเสี่ยวปิงกำยาพิษแน่น แต่สุดท้ายก็คลายมือแล้ว เอายาพิษโยนกลับเข้าไปในสเพซอีกครั้ง
นางคิดว่า นางรู้แล้วว่าคนเหล่านี้เป็นคนของใคร
หากว่าเป็นเหมือนที่นางคิด เช่นนั้นยังไงฝ่ายตรงก็คงคิดวิธีที่จะพบตัวเองอีกเป็นแน่
แทนที่จะป้องกันแบบนี้ เผชิญหน้าโดยตรงจะดีซะกว่า
เมื่อคิดเช่นนี้ ลั่วเสี่ยวปิงเหลือบมองทั้งสองคนที่กำลังต้องการจับตัวเองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ข้าไปเอง”
ทั้งสองมองไปทางหัวหน้าของพวกเขา เมื่อเห็นหัวหน้าของพวกเขาพยักหน้าจึงได้ถอยไปด้านข้าง
ในไม่ช้า เหมือนดั่งที่ลั่วเสี่ยวปิงคิด นางถูกพามาที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดของหอว่านเซียง
เมื่อผลักประตูเข้าไป เห็นชายวัยสามสิบปีนั่งอยู่ด้านใน รูปร่างผอมซูบบนใบหน้าเป็นหนังหุ้มกระดูกแต่กลับมีสายตาการคิดคำนวณอย่างชาญฉลาด
ตอนนี้ ชายผู้นั้น และก็คือฮัวเว่ยที่กำลังสังเกตมองลั่วเสี่ยวปิงอย่างละเอียด
ในตามีความเหยียดหยามสองสามระดับ มีความประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งยังมีความหยิ่งยโสอีกนิดหน่อย สุดท้ายทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นมาตรฐานความฉลาดเฉียบแหลมของพ่อค้า
“แม่นางลั่ว?” ฮัวเว่ยยกริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มไม่ได้มาจากใจจริง “เจ้านั่ง”
กลางห้องรับรองจัดวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่งจริง แต่เก้าอี้ที่เข้าชุดกับโต๊ะตัวนี้ก็ไม่อยู่จริงๆ และฮัวเว่ยในเวลานี้ก็นั่งพิงอยู่ข้างกำแพง
ห่างจากฮัวเว่ยไปอีกหนึ่งโต๊ะชายังมีที่นั่งอีกที่หนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่า จะต้องมีฐานะเท่าเทียมกันกับฮัวเว่ยจึงจะมีสิทธิ์นั่งตำแหน่งนั้นได้
ในตอนนี้ฮัวเว่ยเชิญลั่วเสี่ยวปิงให้นั่งลง แน่นอนว่าไม่ได้เกรงใจและไม่ได้เชื้อเชิญให้ลั่วเสี่ยวปิงนั่งลงด้วยความจริงใจ แต่เป็นการแสดงอำนาจอย่างโจ่งแจ้ง
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ตอนนี้จะต้องเอ่ยด้วยความเกรงใจคำหนึ่งว่า “ไม่เป็นไร ข้ายืนก็ได้”
แม้ว่าบางคราวยืนอยู่สูงจะมีพลังมากกว่า แต่อยู่ที่นี่กลับไม่ใช่เช่นนั้น
หากฮัวเว่ยนั่ง แล้วลั่วเสี่ยวปิงเลือกที่จะยืนในเวลานี้ เช่นนั้นก็คือตกอยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่า
แต่ในสายตาของคนธรรมดาตระกูลฮัวนั้นก็คือความยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง ฮัวเว่ยในสายตาของคนธรรมดา ก็ดูเป็นคนที่สง่างามสูงส่งมากโดยธรรมชาติ ใครยังจะกล้าถอดเขี้ยวเสือกัน?
ตั้งแต่เริ่มฮัวเว่ยก็ไม่คิดที่จะให้ลั่วเสี่ยวปิงเลือก แต่เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะให้นางยืนคุยกัน
ทว่าลั่วเสี่ยวปิงกลับทำเหนือความคาดหมายของฮัวเว่ยอย่างสิ้นเชิง ยังไม่รอให้ฮัวเว่ยตอบสนองได้ ลั่วเสี่ยวปิงก็เดินอ้อมโต๊ะนั่นไป เดินตรงไปตรงที่ว่างด้านข้างของฮัวเว่ยและกล่าวด้วยความสุขุมประโยคหนึ่งว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเจตนาของฮัวเว่ย และไม่สนใจสีหน้าของฮัวเว่ยโดยสิ้นเชิงว่าเป็นอย่างไร
โดยสรุป เจรจาการค้าความร่วมมือกับผู้คน ไม่ว่าจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่มีหลักการว่าคนอื่นนั่งนางต้องยืน
เว้นแต่ว่า อีกฝ่ายจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
แต่ ฮ่องเต้อะไรก็ห่างไกลเกินไป คาดว่าทั้งชีวิตนี้ของนางก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำความร่วมมือกับฮ่องเต้
ลั่วเสี่ยวปิงคิดเช่นนี้ และไม่รอให้ฮัวเว่ยถามว่านางต้องการดื่มชาหรือไม่ นางก็หยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มช้าๆด้วยความสงบนิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
สนุกแต่ทำไมคุยกับคนอายุเยอะกว่า เรียกเจ้า ๆ ข้า กับเจ้า ทำไม่ใช่ ท่าน เหมือนอันอัน อานอาน คุยกับพ่อ กับผู้ใหญ่ เรียกเจ้าอยู่เลย...
เนื่องนี้สนุกดี..ถึงแม้จะมีบางตอนที่เขียนเนือยไปหน่อย แต่ก็ตบกลับมาได้ 👍👍👍 คือ โอเคดีเลย...
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...