แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 207

“แม่นางลั่วสินะ? นายท่านของเรามีคำเชิญ”

ที่ติดตามอยู่ด้านหลังของลั่วเสี่ยวปิงคือชายร่างสูงห้าคนในชุดสีเทาธรรมดา แม้ว่าจะแต่งตัวเหมือนประชาชนธรรมดา แต่จากรูปร่างและกล้ามเนื้อที่ห่อไว้ไม่มิดของคนเหล่านี้ดูท่าแล้วน่าจะเป็นคนฝึกวิทยายุทธ

“นายท่านของพวกท่านเป็นใคร?” ลั่วเสี่ยวปิงอารมณ์จิตใจเคร่งเครียด แต่กลับถามด้วยใบหน้าอันเฉยเมย

ฝีมือน้อยนิดของตัวเองนี่ไม่ต้องเอ่ยถึงคนฝึกวิทยายุทธห้าคนแล้ว แม้แต่หนึ่งคนในนั้นก็สู้ไม่ได้

แน่นอน หากว่าใช้ยาพิษในขณะที่คนอื่นคาดไม่ถึงนั่นก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง

“นายท่านของพวกเราเป็นใคร แม่นางลั่วไปแล้วก็จะรู้ แม่นางลั่วเชิญเถอะ” ผู้ชายที่นำทางเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา ทำท่าทางเชื้อเชิญ

ได้ยินดังนั้น ความคิดของลั่วเสี่ยวปิงก็เคลื่อนไหว มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำห่อยาพิษห่อหนึ่งไว้

ไม่กี่คนนั่นเห็นลั่วเสี่ยวปิงไม่ขยับ จึงมีสองคนเดินขึ้นหน้าไปเตรียมจะฝืนบังคับ

ลั่วเสี่ยวปิงกำยาพิษแน่น แต่สุดท้ายก็คลายมือแล้ว เอายาพิษโยนกลับเข้าไปในสเพซอีกครั้ง

นางคิดว่า นางรู้แล้วว่าคนเหล่านี้เป็นคนของใคร

หากว่าเป็นเหมือนที่นางคิด เช่นนั้นยังไงฝ่ายตรงก็คงคิดวิธีที่จะพบตัวเองอีกเป็นแน่

แทนที่จะป้องกันแบบนี้ เผชิญหน้าโดยตรงจะดีซะกว่า

เมื่อคิดเช่นนี้ ลั่วเสี่ยวปิงเหลือบมองทั้งสองคนที่กำลังต้องการจับตัวเองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง “ข้าไปเอง”

ทั้งสองมองไปทางหัวหน้าของพวกเขา เมื่อเห็นหัวหน้าของพวกเขาพยักหน้าจึงได้ถอยไปด้านข้าง

ในไม่ช้า เหมือนดั่งที่ลั่วเสี่ยวปิงคิด นางถูกพามาที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดของหอว่านเซียง

เมื่อผลักประตูเข้าไป เห็นชายวัยสามสิบปีนั่งอยู่ด้านใน รูปร่างผอมซูบบนใบหน้าเป็นหนังหุ้มกระดูกแต่กลับมีสายตาการคิดคำนวณอย่างชาญฉลาด

ตอนนี้ ชายผู้นั้น และก็คือฮัวเว่ยที่กำลังสังเกตมองลั่วเสี่ยวปิงอย่างละเอียด

ในตามีความเหยียดหยามสองสามระดับ มีความประหลาดใจเล็กน้อย ทั้งยังมีความหยิ่งยโสอีกนิดหน่อย สุดท้ายทั้งหมดก็เปลี่ยนเป็นมาตรฐานความฉลาดเฉียบแหลมของพ่อค้า

“แม่นางลั่ว?” ฮัวเว่ยยกริมฝีปากขึ้น รอยยิ้มไม่ได้มาจากใจจริง “เจ้านั่ง”

กลางห้องรับรองจัดวางโต๊ะไว้ตัวหนึ่งจริง แต่เก้าอี้ที่เข้าชุดกับโต๊ะตัวนี้ก็ไม่อยู่จริงๆ และฮัวเว่ยในเวลานี้ก็นั่งพิงอยู่ข้างกำแพง

ห่างจากฮัวเว่ยไปอีกหนึ่งโต๊ะชายังมีที่นั่งอีกที่หนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่า จะต้องมีฐานะเท่าเทียมกันกับฮัวเว่ยจึงจะมีสิทธิ์นั่งตำแหน่งนั้นได้

ในตอนนี้ฮัวเว่ยเชิญลั่วเสี่ยวปิงให้นั่งลง แน่นอนว่าไม่ได้เกรงใจและไม่ได้เชื้อเชิญให้ลั่วเสี่ยวปิงนั่งลงด้วยความจริงใจ แต่เป็นการแสดงอำนาจอย่างโจ่งแจ้ง

หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ตอนนี้จะต้องเอ่ยด้วยความเกรงใจคำหนึ่งว่า “ไม่เป็นไร ข้ายืนก็ได้”

แม้ว่าบางคราวยืนอยู่สูงจะมีพลังมากกว่า แต่อยู่ที่นี่กลับไม่ใช่เช่นนั้น

หากฮัวเว่ยนั่ง แล้วลั่วเสี่ยวปิงเลือกที่จะยืนในเวลานี้ เช่นนั้นก็คือตกอยู่ในตำแหน่งที่ด้อยกว่า

แต่ในสายตาของคนธรรมดาตระกูลฮัวนั้นก็คือความยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง ฮัวเว่ยในสายตาของคนธรรมดา ก็ดูเป็นคนที่สง่างามสูงส่งมากโดยธรรมชาติ ใครยังจะกล้าถอดเขี้ยวเสือกัน?

ตั้งแต่เริ่มฮัวเว่ยก็ไม่คิดที่จะให้ลั่วเสี่ยวปิงเลือก แต่เพราะตัดสินใจแล้วว่าจะให้นางยืนคุยกัน

ทว่าลั่วเสี่ยวปิงกลับทำเหนือความคาดหมายของฮัวเว่ยอย่างสิ้นเชิง ยังไม่รอให้ฮัวเว่ยตอบสนองได้ ลั่วเสี่ยวปิงก็เดินอ้อมโต๊ะนั่นไป เดินตรงไปตรงที่ว่างด้านข้างของฮัวเว่ยและกล่าวด้วยความสุขุมประโยคหนึ่งว่า “เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”

ดูเหมือนจะไม่เข้าใจเจตนาของฮัวเว่ย และไม่สนใจสีหน้าของฮัวเว่ยโดยสิ้นเชิงว่าเป็นอย่างไร

โดยสรุป เจรจาการค้าความร่วมมือกับผู้คน ไม่ว่าจะเจรจาสำเร็จหรือไม่ ก็ไม่มีหลักการว่าคนอื่นนั่งนางต้องยืน

เว้นแต่ว่า อีกฝ่ายจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน

แต่ ฮ่องเต้อะไรก็ห่างไกลเกินไป คาดว่าทั้งชีวิตนี้ของนางก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำความร่วมมือกับฮ่องเต้

ลั่วเสี่ยวปิงคิดเช่นนี้ และไม่รอให้ฮัวเว่ยถามว่านางต้องการดื่มชาหรือไม่ นางก็หยิบแก้วชาขึ้นมาดื่มช้าๆด้วยความสงบนิ่ง

ตอนมาถึงเห็นเสี่ยวเอ้อยกถาดน้ำชาออกไปพอดี บนชายังมีไอร้อนผุดอยู่ กลิ่นด้านในก็ค่อนข้างสดชื่นเบาบาง เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกคนดื่มไปแล้วแน่นอน ดังนั้นนางจึงหยิบขึ้นมาอย่างสบายใจมาก

“เจ้า......” แสดงอำนาจไม่สำเร็จ ทั้งยังถูกแย่งชาชั้นดีที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะไปอีก ฮัวเว่ยรู้สึกเพียงแค่ความโกรธอัดอั้นอยู่ในลำคอ ขึ้นไม่ได้ ลงไม่ได้ ทรมานเป็นที่สุด ทำได้เพียงเพ่งมองลั่วเสี่ยวปิงด้วยสีหน้าแดงก่ำ

ทำให้โกรธซะจน!

เขายังไม่เคยพบเจอผู้หญิงที่ไร้ยางอายไม่วางตัวในกฎเกณฑ์เช่นนี้มาก่อน

ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่แค่หญิงบ้านนอกผู้หนึ่งหรือไง? เข้าใจผิดไปตรงไหนกันแน่?

ดูเหมือนลั่วเสี่ยวปิงจะไม่เห็นสีหน้าและสายตาที่น่าเกลียดบิดเบี้ยวของฮัวเว่ยที่อยู่ด้านข้าง หลังจากดื่มชาไปอึกหนึ่ง ก็มีความคิดเห็นในใจว่าชานี้ยังดีไม่เท่ากับของที่อยู่ในสเพซของตัวเอง แล้วจึงวางถ้วยชาลง มองไปที่ฮัวเว่ย “นายท่านเรียกข้ามาด้วยเรื่องอันใด?”

พูดจบ ไม่รอให้ฮัวเว่ยเปิดปาก ก็กล่าวว่า “ที่บ้านยังมีเรื่องต้องทำ หากว่าไม่มีธุระ ก็ต้องขอตัวก่อนแล้ว”

“เจ้าไม่กลัวข้าหรือ?” ฮัวเว่ยถามด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย พร้อมกับความรู้สึกโกรธจนกัดฟันกรอดๆ

ลั่วเสี่ยวปิงจงใจทำสีหน้าท่าทางชะงักไป จากนั้นเอียงหน้ามองฮัวเว่ย มองสังเกตทั้งตัวอย่างละเอียด ขณะที่มองจนฮัวเว่ยรู้สึกอธิบายไม่ถูกขึ้นมาอย่างฉับพลัน ลั่วเสี่ยวปิงจึงได้เปิดปากขึ้นด้วยความรู้สึกผิดอย่างสูง “ดูไปดูมา ก็ยังจำนายท่านไม่ได้ ขออภัยจริงๆ”

ความหมายนี้ก็คือ ข้าไม่รู้จักเจ้า ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเจ้า

“ข้าคือคนของตระกูลฮัว......” ฮัวเว่ยพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ จากนั้นนัยน์ตาที่มองดูลั่วเสี่ยวปิงก็แฝงไปด้วยความโหดร้ายเล็กน้อย ราวกับจะพูดว่า: สาวน้อยไม่รู้ประสีประสา รู้ความเก่งกาจของข้าแล้วสินะ?

ลั่วเสี่ยวปิง: “.......นายท่านฮัวมีธุระอะไรกับข้า?”

อันที่จริงเป็นไปได้ นางไม่อยากเผชิญหน้ากับคนที่ซูบผอมผู้นี้ หากสีหน้าพวกนั้นออกมาจากคนที่หน้าตาดี นั่นจะดีต่อดวงตาแค่ไหน

แต่คนตรงหน้านี้......คงจะไม่ใช่ศพซอมบี้หรอกนะ?

ฮัวเว่ยไม่รู้ว่าลั่วเสี่ยวปิงกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ถ้าเขารู้ จะต้องโกรธจนกระอักเลือดแน่

เพียงแต่ปฏิกิริยาของลั่วเสี่ยวปิงก็ทำให้เขาไม่พอใจอย่างมาก

รู้ว่าเขาเป็นคนของตระกูลฮัวไม่ควรที่จะตกใจมาก ตื่นเต้นมาก และเคารพยำเกรงมากอย่างนั้นหรือ?

ท่าทางการแสดงออกเช่นนี้ของลั่วเสี่ยวปิงช่างเฉยชาไปหน่อยแล้วล่ะมั้ง?

บังเอิญ เขาก็ไม่สามารถหาจุดที่เป็นปัญหาในท่าทางการแสดงออกของลั่วเสี่ยวปิงออกมาได้ คิดแล้วคิดอีก ฮัวเว่ยจึงคิดจะอดทนไว้เป็นการชั่วคราว เปิดปากแล้วถาม “ได้ยินมาว่าเจ้าสามารถปลูกผักในฤดูกาลนี้ได้?” เหมือนเป็นการหยั่งเชิง แต่ก็ราวกับแฝงไปด้วยการสงเคราะห์เล็กน้อย

ลั่วเสี่ยวปิงได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าโดยไม่ปิดบัง

เรื่องแบบนี้แค่คนผู้นี้ไปสืบถามดูสุ่มๆก็รู้แล้ว ยิ่งกว่านั้นหากไม่รู้ ก็คงจะไม่มาหาตัวเองในตอนนี้ถึงจะถูก

“ทำได้ดีจริงๆ” ฮัวเว่ยตบโต๊ะชา สีหน้าตื่นเต้น “ผักเหล่านั้นของเจ้า ข้าเหมาทั้งหมด พรุ่งนี้เป็นต้นไปเจ้าก็ส่งผักมาที่หอว่านเซียงของข้าเถอะ”

น้ำเสียงเหมือนเป็นการทำทานโดยสมบูรณ์ เหมือนกับว่าเขาเหมาผักทั้งหมดของลั่วเสี่ยวปิงก็คือบุญคุณอันยิ่งใหญ่เช่นนั้น

ลั่วเสี่ยวปิงกลับไม่ได้เปล่งวาจา เอ่ยถามออกจากปากเบาๆ “ไม่ทราบว่านายท่านฮัวจะให้ราคาอย่างไร?”

“เรื่องราคาเจ้าวางใจเถอะ ข้านายท่านสามฮัวทำการค้าด้วยความเป็นธรรมมาตลอด เมื่อต้องการจะเหมาผักเหล่านั้นของเจ้า ก็จะไม่ทำให้เจ้าเสียเปรียบแน่นอน”

พูดแล้วก็เปล่งเสียงร้องเรียก “ให้คนเข้ามา เอาตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงขึ้นมา”

จากมุมมองของฮัวเว่ย สาวชาวบ้านตัวเล็กๆผู้หนึ่งสามารถปลูกผักได้เงินร้อยตำลึงในชั่วเวลาสั้นๆ นั่นก็ถือเป็นลาภลอยตกลงมาจากฟ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาไม่เคยคิดว่าลั่วเสี่ยวปิงจะปฏิเสธ

แต่ลั่วเสี่ยวปิง......เวลานี้นางมีความอดทนต่อความวู่วามที่จะระเบิดคำหยาบจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นคนเคยได้รับการอบรมด้านจริยธรรมมาเก้าปี จะพูดคำหยาบได้อย่างไรล่ะ?

แต่ มันช่างอดทนได้ยากจริงๆ

แค่คนปลูกผักก็เกือบจะร้อยคนแล้ว ร้อยตำลึงก็พอแบ่งได้เพียงคนละหนึ่งตำลึง คนผู้นี้ยังกล้าพูดว่าจะไม่ทำให้เสียเปรียบอย่างไม่ละอายใจอีก?

อดทนแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงก็ยังยืนขึ้นอย่างสุขุม “ตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงไม่จำเป็นแล้ว ขอตัวก่อน”

พูดจบ ลั่วเสี่ยวปิงก็เดินไปทางประตู

แต่เพิ่งจะเดินผ่านโต๊ะไป ฮัวเว่ยก็เอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา น้ำเสียงแฝงไปด้วยการข่มขู่เล็กน้อย “ร้อยตำลึงเจ้าได้น้อยไปรึ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง