แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 211

“ความจริงแล้ว เจ้าไม่เชื่อใจข้าสินะ ”ลั่วเสี่ยวปิงเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้าไม่เชื่อว่าข้าจะเลือกเจ้าแทนที่จะเลือกตระกูลฮัว ใช่หรือไม่ ฉะนั้นเจ้าจึงใช้โอกาสนี้ในการหยั่งเชิงข้าซินะ ”

นอกจากนี้แล้ว นางก็หาเหตุผลอื่นไม่เจอ

โอหยางฉี่หยู่เตือนนางให้ระวังตระกูลฮัว และไม่ได้พูดอะไรอีก ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่รู้ว่าฮัวเว่ยส่งคนมาจับตัวนางเขาก็ไม่ได้ทำอะไร

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน นางคงไม่รู้สึกแปลกอะไร เพราะว่าโอหยางฉี่หยู่กับตัวนางนั้นก็แค่คนที่ร่วมงานกันธรรมดาเท่านั้น สามารถพยายามทำหน้าที่แจ้งเตือนก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

แต่ว่าวันนี้ นางไม่ได้คิดเช่นนั้น

เพราะว่า ตระกูลฮัวสนใจตัวนาง นอกจากสิ่งที่อยู่ในมือของนางแล้ว ก็เป็นเพราะโอหยางฉี่หยู่

โอหยางฉี่หยู่ปล่อยให้ตัวนางถูกจับตัวไป ก็เพราะไม่เชื่อใจในตัวนาง คิดอยากจะลองทดสอบดูว่านางจะเลือกใครระหว่างตระกูลฮัวกับเขา

ที่จริง เรื่องนี้ทำให้นางไม่พอใจสักเท่าไหร่

เพราะว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกหยั่งเชิง และเป็นการหยั่งเชิงที่แฝงด้วยความอันตรายล้วนก็ไม่พอใจทั้งนั้น

นางไม่รู้ ถ้าหากตอนนี้นางไม่หลบหนีโดยการแอบอ้างอำนาจของผู้อื่น โอหยางฉี่หยู่จะช่วยนางหรือไม่

ที่จริงแล้ว นางก็ไม่ได้อยากรู้

บางทีความสัมพันธ์ในระหว่างผู้คน ที่จริงค่อนข้างบอบบางมาก แค่สัมผัสก็แตกสลาย

แน่นอนว่า ถ้าหากโอหยางฉี่หยู่เป็นคนเช่นนั้นจริงๆ บางทีนางอาจจะรักษาระยะห่างกับเขา แต่จะไม่สิ้นสุดการร่วมมือกับเขา

เพราะว่า พ่อค้าย่อมมีจุดยืนของพ่อค้า

โอหยางฉี่หยู่มองดวงตาของลั่วเสี่ยวปิงที่มองตนอย่างเย็นชาเรียบเฉย ในใจมีความรู้สึกกระวนกระวายวาบขึ้นมา

เขาเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก่อน ที่สุดก็ไม่สามารถเผยอารมณ์ที่แท้จริงที่อยู่ในใจออกมาได้

ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่า เขามีความคิดที่อยากจะหยั่งเชิงจริงๆ

แม้เขาจะรู้ดีว่าหลังจากที่ฉีเทียนเห้าจากไปแล้วก็คงไม่ทิ้งใครไว้ให้อยู่ข้างกายนางจึงได้ทำเช่นนี้ แต่เมื่อเขาทำเช่นนี้แล้ว ก็เป็นความจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้

ลั่วเสี่ยวปิงเห็นว่าโอหยางฉี่หยู่ไม่พูดจา ราวกับยอมรับความจริงโดยปริยาย ก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง

ในขณะนี้เอง โอหยางฉี่หยู่ก็เอ่ยขึ้นอย่างกะทันหันว่า“ท่านแม่ของข้า เกิดในครอบครัวที่มีความรู้ความสามารถในเจียงหนานที่ล่มสลาย……”

ที่เจียงหนาน หรือก็คือหนึ่งร้อยปีก่อนของราชวงศ์ต้าซิง ถ้าจะบอกว่าผู้ที่มีความรู้ที่มีชื่อเสียงที่สุด ก็คงไม่พ้นโอหยางจิ้งคนเดียวเท่านั้น

โอหยางจิ้งในตอนนั้น มีลูกศิษย์อยู่ทั่วใต้หล้า ฮ่องเต้ในยุคนั้นก็ให้ความเคารพนับถือเขา หลายครั้งที่คิดอยากจะให้โอหยางจิ้งเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนัก แต่ก็ถูกโอหยางจิ้งปฏิเสธทุกครั้ง

และฐานะของตระกูลโอหยางที่อยู่ในเจียงหนานก็สูงขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่ ทุกสิ่งย่อมมีสองด้าน เมื่อถึงจุดสูงสุด ก็ย่อมมีคนอิจฉา

ตระกูลโอหยางถูกใส่ร้ายว่าร่วมมือกับศัตรูและขายชาติ ในเวลาไม่นาน คนของตระกูลโอหยางที่ถูกตัดหัวก็ตัดหัว ที่ถูกเนรเทศก็เนรเทศออกไป คนบางส่วนที่เหลือ ก็ไม่สามารถก่อร่างสร้างตัวได้อีกแล้ว

มารดาของโอหยางฉี่หยู่ชื่อโอหยางซวง ชื่นชอบเรื่องการค้ามาตั้งแต่เด็ก หลังจากที่ตระกูลโอหยางล่มสลาย โอหยางซวงได้ใช้การทำการค้า ทำให้คนในตระกูลโอหยางมีชีวิตอยู่ในเจียงหนานอย่างมั่งคั่ง และเพราะสาเหตุนี้จึงทำให้พลาดโอกาสแต่งงาน จนกระทั่งอายุยี่สิบก็ยังไม่ออกเรือน

ในปีที่นางอายุยี่สิบปี โอหยางซวงได้พบกับพ่อค้าจากต่างถิ่นฮัวหยงเฟิง ทั้งสองตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็วมาก แต่งงานกันที่เจียงหนาน และไม่ช้าก็ให้กำเนิดโอหยางฉี่หยู่

ระหว่างตั้งครรภ์ เพื่อให้ฮัวหยงเฟิงอยู่ที่เจียงหนานต่อ โอหยางซวงได้มอบหมายการค้าของตนเองให้เขาจัดการดูแล และได้เปิดหอว่านเซียงให้กับฮัวหยงเฟิง และยังช่วยฮัวหยงเฟิงสานธุรกิจผ้าไหมในเจียงหนาน

เวลาสองปี การค้าของฮัวหยงเฟิงนับได้ว่าเป็นที่สอง และไม่มีใครกล้าเรียกตนเองว่าที่หนึ่ง ชีวิตของสองสามีภรรยานับว่ามีความสุขมาก

หลังจากนั้น เพื่อการค้าแล้ว ฮัวหยงเฟิงต้องเดินทางไปกลับระหว่างเมืองหลวงกับเจียงหนาน จนกระทั่งโอหยางฉี่หยู่อายุแปดขวบ ฮัวหยงเฟิงเป็นพ่อค้าราชวงศ์ ฮูหยินเอกของตระกูลฮัวก็มาหาถึงที่ โอหยางซวงจึงรู้ตัวว่าถูกหลอกมาตลอด

ความจริงแล้ว ตระกูลของฮัวหยงเฟิงเป็นเศรษฐีอยู่ในเมืองหลวง ได้แต่งงานกับลูกสาวของเมียน้อยของรองเสนาบดีกรมคลังในตอนนั้น

และเมื่อฮัวหยงเฟิงทำไปการค้าที่เจียงหนาน ก็รู้สึกชื่นชอบในความสามารถทางการค้าของโอหยางซวง จึงได้ปลอมแปลงสถานะ แต่งงานกับโอหยางซวง

หลังจากเรื่องราวถูกเปิดเผย โอหยางซวงถูกปองร้ายอย่างเงียบๆจากฮูหยินของตระกูลฮัว ส่วนโอหยางฉี่หยู่ก็กลายเป็นลูกเมียน้อย

การเป็นลูกเมียน้อย ทำให้โอหยางฉี่หยู่ถูกรับตัวไปอยู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลาหนึ่งปี

ปีนั้น โอหยางฉี่หยู่ถูกหัวเราะเยาะและรังแกสารพัด สุดท้ายเป็นเพราะทำร้ายน้องชายจึงถูกขับไล่ออกมา

ตอนที่อายุสิบสองปี โอหยางฉี่หยู่ได้รู้จักกับเพื่อนคนหนึ่ง และได้ร่วมมือกันทำการค้า

หลังจากที่คนของตระกูลฮัวรู้แล้วก็ทำการขัดขา โอหยางฉี่หยู่ถูกเพื่อนคนนั้นหักหลัง โอหยางฉี่หยู่ถูกไล่ออกจากเมืองหลวง ไม่เหลืออะไรทั้งสิ้น

เล่าเรื่องราวถึงตรงนี้ โอหยางฉี่หยู่ก็ไม่ได้เล่าต่อไปอีก

ลั่วเสี่ยวปิงคิดไม่ถึงเลยว่า ตัวเองจะได้ยินเรื่องราวถึงที่มาที่ไปของโอหยางฉี่หยู่อย่างที่ไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้

นี่มันเหมือนนิทานที่ชายสารเลวคนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวบริสุทธิ์ต้องกลายเป็น‘เมียน้อย’อีกทั้งถูกฮุบสมบัติและถูกทำร้ายจนตาย

มองดูใบหน้าที่เรียบเฉยของโอหยางฉี่หยู่ ลั่วเสี่ยวปิงไม่สามารถจินตนาการถึงบาดแผลที่อยู่ในใจของโอหยางฉี่หยู่ได้เลยว่ามีเท่าไหร่

นางไม่ได้โง่ รู้ว่าสิ่งที่โอหยางฉี่หยู่พูดมาทั้งหมดนี้ เป็นเพราะต้องการอธิบายว่าทำไมจึงต้องหยั่งเชิงนาง

เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะเป็นเหมือนหุ้นส่วนที่ทรยศเขาในตอนนั้น

อันที่จริง นางก็โทษใครไม่ได้

เดิมทีการที่ฮัวเว่ยเอาแต่พูดอยู่ตลอดเวลาว่า ‘เลือดชั่ว’บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของโอหยางฉี่หยู่กับตระกูลฮัว แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อนเช่นนี้

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ลั่วเสี่ยวปิงก็มองไปทางโอหยางฉี่หยู่ “ข้าไม่เคยร่วมมือกับคนต่ำทรามมาก่อน”

โอหยางฉี่หยู่ได้ยินคำพูดนี้ก็นิ่งอึ้ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา

เพียงแต่ยังไม่ทันที่โอหยางฉี่หยู่จะพูดอะไร ลั่วเสี่ยวปิงก็พูดต่อว่า “ข้าไม่สนใจเรื่องระหว่างท่านกับตระกูลฮัว นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน แต่คนของตระกูลฮูทำร้ายคนที่ข้าใส่ใจเช่นนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยไปแน่ ฉะนั้นข้าจึงอยากร่วมมือกับเจ้า”

โอหยางฉี่หยู่ “พวกเราร่วมมือกันอยู่แล้ว……”

ลั่วเสี่ยวปิงส่ายหน้า “ครั้งนี้ ข้าจะร่วมมือกับเจ้าทำงานที่ใหญ่กว่า”

โอหยางฉี่หยู่โยนความกังวลที่อยู่ในใจทิ้งไป ถามอย่างสนใจว่า “เจ้าลองว่ามา ”

“สำหรับประชาชนแล้วอาหารการกินถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าหากพวกเราร่วมมือกันพัฒนาเรื่องการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งสามารถเพิ่มผลผลิตและประเภทของอาหารให้หลากหลายมากขึ้น เจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างไร”ลั่วเสี่ยวปิงถาม

หัวใจของโอหยางฉี่หยู่สั่นคลอนเบาๆ แต่ก็ตอบตามความจริงว่า “ได้ทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เริ่มจากตรงนี้ก่อนแล้วกัน ”ลั่วเสี่ยวปิงเอ่ยอย่างมั่นใจ

โอหยางฉี่หยู่ “……เจ้าแน่ใจหรือ”

แม่ว่าเขาจะทำการค้าอย่างกว้างขวางและหลากหลาย แต่ไม่เคยคิดจะอาศัยการเพาะปลูกเลี้ยงสัตว์มาสร้างรายได้

แม้ว่าจะมีคนสี่ชนชั้นทั้งผู้ดีชาวนาช่างฝีมือและพ่อค้า แต่ก็มีอีกคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า ‘ใต้หล้าไร้ซึ่งที่รกร้างว่างเปล่า ชาวนาก็ยังคงต้องอดตาย’เห็นได้ชัดว่าการเกษตรไม่ทำกำไรอะไรเลย

“ข้ามั่นใจมาก”ใบหน้าของลั่วเสี่ยวปิงเต็มไปด้วยความหนักแน่น

ที่จริง ปัจจัยสี่ นางล้วนเตรียมการศึกษามาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ว่าจะตัดสินใจเริ่มจากการทำสิ่งที่ทำง่ายที่สุดคืออาหาร ที่เหลือค่อยๆเป็นค่อยๆไป

และแม้ว่าในยุคนี้จะมีอาศัยอาชีพเกษตรเป็นหลัก แต่ว่าไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ มีเพียงหมู่บ้านการเกษตรของเจ้าของที่ดินที่ทำสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน แต่ผลผลิตก็น้อยมาก

เพราะฉะนั้นในเมื่อนางจะทำ ก็ต้องทำให้มันใหญ่กว่า

ยกตัวอย่างเช่น ผลิตเองขายเอง และอย่างเช่น เพิ่มผลผลิตทางด้านอาหารให้สูงขี้น เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติประชาชนและตนเอง

“ตอนนี้มีหอว่านเซียงทั้งหมดกี่แห่งในแคว้นนี้ แล้วมีฝูหม่านจำนวนกี่แห่งในตอนนี้ ”เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็ถามต่อ

โอหยางฉี่หยู่ “หอว่านเซียงมีทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบห้าแห่ง หอฝูหม่านมีหกสิบห้าแห่ง”

ลั่วเสี่ยวปิงพยักหน้า “ปีหน้าก่อนเดือนห้า ข้าสามารถขยายหอฝูหม่านของเจ้าจนเต็มหนึ่งร้อยแห่ง”

ตอนที่ลั่วเสี่ยวปิงพูดคำนี้ ในแววตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ

ปีหน้าก่อนเดือนห้า เป็นระยะเวลาแค่ครึ่งปีกว่าเท่านั้น แต่เป้าหมายของลั่วเสี่ยวปิงคือการเพิ่มภัตตาคารอีกสามสิบห้าแห่ง คงไม่ง่ายเหมือนที่พูด

การทำภัตตาคารไม่ใช่การซื้อร้านค้ามาแล้วตกแต่งก็จะสำเร็จได้ ยังต้องมองเรื่องเงินทุนและคนที่มีความสามารถรวมไปถึงรสนิยมเป็นต้น ไม่เช่นนั้นถ้าเปิดแล้วก็คงจะมีจุดจบที่ขาดทุนอยู่ดี

และการที่จะขยายการค้าโดยการเปิดภัตตาคารเพิ่มอีกสามสิบห้าแห่งในเวลาครึ่งปี แค่การอบรมบ่มเพาะพ่อครัวแม่ครัวก็ต้องใช้เงินก้อนใหญ่แล้ว อีกทั้งยังต้องรับประกันความภักดีของพ่อครัวแม่ครัวอีก

แต่ น่าแปลก เมื่อโอหยางฉี่หยู่ได้ยินสิ่งที่ลั่วเสี่ยวปิงพูดแล้ว กลับไม่รู้สึกสงสัยเลยแม้แต่น้อย

จึงเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าเตรียมจะทำอย่างไร”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง