แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 212

เพียงชั่วอึดใจเดียวเท่านั้น ลั่วเสี่ยวปิงก็ได้กำหนดแผนการที่ละเอียดมากขึ้นมาแผนการหนึ่ง มองดูโอหยางฉี่หยู่ที่อดไม่ได้จนต้องจ้องมองอย่างนิ่งอึ้งไม่พูดจา

เพียงแต่ในแผนการนี้ โอหยางฉี่หยู่ก็เกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง“จะทำเรื่องเหล่านี้ให้ภายในครึ่งปี ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อย เงินทุนเหล่านี้จะหามาจากที่ใด ”

หลายปีมานี้ทรัพย์สินของเขานับได้ว่ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่นอกจากเงินที่เหลือไว้หมุนเวียนบางส่วนแล้ว ที่เหลือเขาให้คนคนนั้นไปหมด

ตอนแรกหากไม่ใช่เพราะเขา ตนเองก็คงไร้หนทางที่จะเดินมาจนถึงตอนนี้

ภัตตาคารสามสิบห้าแห่ง บวกกับพัฒนาการเกษตรป่าไม้การประมงและการเลี้ยงสัตว์ เงินที่ต้องใช้จ่ายนั้นสูงเกินกว่าขอบเขตความสามารถของเขาที่จะทำได้

เผชิญกับปัญหาข้อนี้ ลั่วเสี่ยวปิงกลับมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม “ฉะนั้นก่อนจะทำสิ่งเหล่านี้ พวกเราสามารถเปิดร้านแลกเงินกันก่อน……”

“ตอนนี้ร้านแลกเงินที่ใหญ่ที่สุดคือร้านแลกเงินซื่อไห่ เป็นที่พูดถึงกันปากต่อปากมานานหลายปีแล้ว ตั๋วเงินส่วนใหญ่ในตลาดแทบจะมาจากร้านแลกเงินซื่อไห่ทั้งสิ้น ถ้าหากพวกเราเปิดร้านแลกเงินในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่มีใครยินดีจะฝากเงินด้วย”ร้านแลกเงิน เขาก็เคยคิด แต่ว่ามีความเสี่ยงสูงเกินไป

หนึ่ง ประชาชนที่ฝากเงินกับร้านแลกเงิน ต้องดูความน่าเชื่อถือที่พูดกันปากต่อปาก

สอง การจะทำกิจการร้านแลกเงินให้รุ่งเรือง ลำดับแรกคือต้องเปิดร้านในทั่วทุกที่ของแคว้น เช่นนี้แล้วคนที่เอาตั๋วเงินจากร้านแลกเงินจะสามารถแลกเปลี่ยนได้ในทุกที่ที่ไปถึง เมื่อเป็นเช่นนี้ การลงทุนในระยะแรกจะมหาศาลมาก

เงินทุนที่อยู่ในมือของเขาเพียงเล็กน้อยสามารถหมุนเวียนอย่างอิสระ ถ้าหากเสี่ยงไปเปิดร้านแลกเงิน เป็นไปได้ว่าจะไม่ได้คืนแม้แต่ต้นทุนด้วยซ้ำ

การแบกรับความเสี่ยงเช่นนี้ ไม่สู้เอาเงินไปเปิดภัตตาคารเพิ่มจะดีกว่า

ในใจของโอหยางฉี่หยู่คิดเช่นนี้ แต่ลั่วเสี่ยวปิงกลับไม่มีทีท่าจะล้มเลิกความคิดเลยสักนิด“ในเมื่อมีร้านแลกเงินซื่อไห่ เช่นนั้นพวกเราก็เปิดร้านแลกเงินเทียนเซี่ย ”

เห็นว่าสีหน้าของโอหยางฉี่หยู่ไม่เห็นด้วยและไม่สนใจ ลั่วเสี่ยวปิงจึงอธิบายว่า “ร้านแลกเงินที่ข้าพูดถึงไม่เหมือนกับร้านแลกเงินอื่นๆ……”

และแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงจึงอธิบายถึงหลักการของการธนาคารในยุคสมัยปัจจุบันให้โอหยางฉี่หยู่ฟัง

ร้านแลกเงินในยุคนี้คือการเอาเงินไปฝากเอาไว้ และต้องจ่ายค่าดูแลให้กับร้านแลกเงิน ส่วนครอบครัวที่มีเงินไม่มากแทบจะไม่อยากจะเอาเงินไปฝากไว้กับร้านแลกเงิน

แต่ว่า ที่ลั่วเสี่ยวปิงอยากจะเปิดนั้นเป็นเหมือนธนาคารในยุคปัจจุบัน แบ่งเป็นเงินฝากประจำ เงินฝากหมุนเวียน และบริการทางการเงิน

เงินฝากประจำมีดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากหมุนเวียน ความเสี่ยงต่ำ ส่วนบริการทางการเงิน ข้อสำคัญที่สุดคือลั่วเสี่ยวปิงอยากจะใช้การลงทุนจากคนอื่น โดยมีส่วนแบ่งปันผลให้ เหมือนการมีหุ้นส่วนในการซื้อหุ้น

เมื่อทำเช่นนี้จะดึงดูดให้คนเข้ามาฝากเงินกับร้านแลกเงิน พวกเขาจะมีเงินทุนหมุนเวียน และสามารถต่อยอดพัฒนาการค้าด้านอื่นๆได้อย่างราบรื่น และกำไรที่ได้ค่อยแบ่งสันปันส่วนกัน เมื่อทำเช่นนี้ก็เท่ากับสินทรัพย์งอกเงยขึ้นมา

ลั่วเสี่ยวปิงอธิบายโดยใช้เวลาครึ่งชั่วยามเต็มๆ อธิบายเรื่องทั้งหมดที่นางรู้เกี่ยวกับการธนาคารให้เขาฟัง ในที่สุดโอหยางฉี่หยู่ก็พยักหน้า

ต้องบอกว่า ในเวลานี้ หัวใจของโอหยางฉี่หยู่นั้นตื่นตะลึงมาก และแววตาที่เขามองลั่วเสี่ยวปิงนั้นเต็มไปด้วยความสับสน

ต้องบอกว่า ในขณะที่ไม่รู้ตัว เขาได้มองนางด้วยสายที่ที่เปลี่ยนไปจริงๆ กระทั่ง ……

แต่ ทันใดนั้น เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้านี้เลย

ผู้หญิงคนนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา

ไม่เช่นนั้นในใจของผู้หญิงทั่วไปจะมีแผนการที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร

“ทำไมจึงอยากจะให้ข้าร่วมมือด้วย”เก็บอารมณ์ที่อยู่ในใจทั้งหมด โอหยางฉี่หยู่จ้องมองลั่วเสี่ยวปิงนิ่งๆ

คนที่มีความคิดมากมายเช่นนาง เขามีเหตุผลที่จะเชื่อได้ แม้จะไม่มีเขา ลั่วเสี่ยวปิงก็สามารถไปถึงเป้าหมายได้วด้วยตนเอง

แต่ว่า นางกลับมาขอความร่วมมือจากเขา ทำไม

“เอ่อ ข้าก็แค่อยากจะร่ำรวยแบบเงียบๆ ไม่อยากโดดเด่นเป็นที่สนใจของใคร”ใบหน้าของลั่วเสี่ยวปิงเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ยี่หระ

โอหยางฉี่หยู่ “……” เขาคิดว่า ผู้หญิงอย่างลั่วเสี่ยวปิง วันหน้าคงจะได้ขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด ถึงเวลานั้นคงจะมีอุปสรรคไม่น้อยทีเดียว

“อีกอย่างก็คือ ข้าไม่พอใจตระกูลฮัว คิดว่าถ้าหากเจ้าเป็นพ่อค้าราชวงศ์ คงจะเจริญตากว่าไม่น้อย”ลั่วเสี่ยวปิงพูดประโยคนี้อย่างเรียบเฉยมาก แต่สายตากลับมองไปทางโอหยางฉี่อยู่อย่างมีเลศนัย

โอหยางฉี่หยู่นิ่งอึ้งเล็กน้อย จนถึงตอนนี้เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าที่ลั่วเสี่ยวปิงต้องการทำทั้งหมดนั้นเพราะอะไร

ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกอิจฉาคนสกุลจางที่นางดูแลด้วยความจริงใจ

“ในเมื่อเจ้าอยากจะให้ข้าเป็นพ่อค้าราชวงศ์ ข้าก็จะลองดู”โอหยางฉี่หยู่ยิ้ม พูดอย่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติมาก

ที่จริง การบีบตระกูลฮัวให้ล้มละลาย เป็นเป้าหมายของเขา แต่ไม่เคยคิดที่อยากจะเป็นพ่อค้าราชวงศ์เลย

แต่ว่า ในเมื่อนางคิด เช่นนั้น เขาเป็นพ่อค้าราชวงศ์แล้วจะเป็นไรไปเล่า

หลังจากที่ทั้งสองคนได้บรรลุข้อตกลงกันแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงก็เริ่มเขียนแผนการบางส่วน แต่ละขั้นตอนต้องทำอย่างไรบ้าง ลั่วเสี่ยวปิงล้วนเขียนอย่างละเอียด

และเป็นครั้งแรกที่โอหยางฉี่หยู่ได้เห็นการเขียนแผนงานเช่นนี้ รู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมาทันที

แต่หลังจากที่อ่านดูแล้ว โอหยางฉี่หยู่ก็เสนอความคิดเห็นส่วนตัวบางส่วน

ลั่วเสี่ยวปิงพบว่า โอหยางฉี่หยู่นั้นเป็นคนในพื้นถิ่น ความคิดเห็นที่เสนอมาก็สามารถนำมาใช้ได้จริง ด้วยเหตุนี้ทั้งสองคนจึงปรึกษาหารือในการหยิบเอาข้อดีมาแก้ไขข้อเสีย

อานอานกับเล่อเล่อที่อยู่นอกห้องคิดว่าไม่สามารถรบกวนท่านแม่ของพวกเขาได้ แต่หนานซิงที่เห็นว่านายหญิงในอนาคตของตนเองกับโอหยางฉี่หยู่คุยกันอย่างออกรสในห้องเพียงสองต่อสอง ก็อยากจะหาอะไรทำสักหน่อย อยากจะทำอะไรโง่ๆขึ้นมาซะแล้ว

“ขอเตือนว่าเจ้าอย่าวุ่นวาย”

ในขณะที่หนานซิงกำลังจะเคลื่อนไหว ก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างๆทันที

หนานซิงหันไปมอง ก็เห็นว่าอานอานกำลังมองมาที่ตนอย่างมีเลศนัย

หนานซิง “……”ความรู้สึกเหมือนเจ้านายสิงร่างมันคืออะไรกันแน่

ลั่วเสี่ยวปิงกับโอหยางฉี่หยู่คุยกันจนกระทั่งฟ้ามืดสนิทจึงหยุดลง หลังจากกินอาหารที่ส่งมาจากหอฝูหม่านแล้ว เพราะว่าพรุ่งนี้ยังต้องไปที่หมู่บ้านเฉินเจีย ฉะนั้นโอหยางฉี่หยู่จึงไม่ได้จากไปไหน แต่เข้าไปพักในเรือนด้านข้าง

เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ลั่วเสี่ยวปิงกับโอหยางฉี่หยู่ก็เดินทางไปที่หมู่บ้านเฉินเจีย

ตอนที่เดินเข้าไปยังเรือนกระจก แม้ว่าโอหยางฉี่หยู่จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังถูกความเขียวขจีด้านในทำให้ตื่นตะลึงอยู่ดี กระทั่งไม่รู้ว่าเป็นภาพหลอนหรือไม่ โอหยางฉี่หยู่รู้สึกกระทั่งว่าผักเขียวในโรงเรือนนั้นได้ส่งกลิ่นหอมหวานชนิดหนึ่งออกมา

ถูกกลิ่นอายเช่นนี้รายล้อม โอหยางฉี่หยู่คิดว่างานการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ของเขาต้องรุ่งเรืองมากแน่ๆ

สะกดกลั้นความตื่นเต้นในใจเอาไว้ โอหยางฉี่หยู่มองไปที่ลั่วเสี่ยวปิง “เจ้าคิดว่าข้าควรใช้ประโยชน์จากผักเหล่านี้อย่างไรดี ”

ลั่วเสี่ยวปิงครุ่นคิด แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้อเสนอพิเศษสามวัน ใครที่มีการใช้จ่ายมากที่สุดสิบอันดับแรก จะสุ่มแจกผักกาดหนึ่งจาน”

พูดแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงก็ท่องรายการอาหารออกมา

โอหยางฉี่หยู่แอบท่องจำชื่ออาหารเอาไว้ และกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ทำตามที่เจ้าบอกแล้วกัน”

ลั่วเสี่ยวปิงไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะนางรู้ว่า ผักเหล่านี้ของนางต้องได้รับความนิยมเป็นอย่างมากแน่นอน หลังจากสามวันแล้ว ผักเหล่านี้ก็นับได้ว่าสามารถเข้าสู่ตลาดได้สำเร็จ และลั่วเสี่ยวปิงก็คิดว่าจะเปิดกิจการร้านเมืองแห่งอาหารของตนเองในสามวันหลังจากนี้

ต่อมา ลั่วเสี่ยวปิงได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเก็บผักกับเฉินต้าจ้วง

หลายวันมานี้ ลั่วเสี่ยวปิงรู้สึกว่าเฉินต้าจ้วงเป็นคนที่ไว้ใจได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าทางด้านหมู่บ้านเฉินเจียจะมีเรื่องอะไรก็ให้เฉินต้าจ้วงคอยช่วยเหลือตลอด สิ่งนี้ทำให้เฉินต้าจ้วงซาบซึ้งมาก

ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านเฉินเจีย สำหรับลั่วเสี่ยวปิงแล้วพวกเขารู้สึกชื่นชมยิ่งนัก

แม้ผักยังไม่ทันได้ขายออกไป แต่ว่าพวกเขาต่างก็มองเห็นความหวังแล้ว

เมื่อออกมาจากหมู่บ้านเฉินเจีย ลั่วเสี่ยวปิงกับโอหยางฉี่หยู่ก็ต่างแยกย้ายกันไป

เพียงแต่ลั่วเสี่ยวปิงที่เพิ่งจะมาถึงทางเข้าหมู่บ้านต้าซิงเท่านั้น ก็มองเห็นหญิงคนหนึ่งที่เสื้อผ้ามอมแมมจูงเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีสภาพสกปรกพอๆกันพลางร้องได้พลางเดินไปยังนอกหมู่บ้าน

เดิมทีลั่วเสี่ยวปิงก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ว่าตอนที่หญิงคนนั้นมองเห็นลั่วเสี่ยวปิง ก็ชะงักไปทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง