แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 213

“เจ้าคือ……เสี่ยวปิง”หญิงคนนั้นเห็นลั่วเสี่ยวปิง ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงไม่อยากเชื่อ

ลั่วเสี่ยวปิงได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของตนเอง ก็หยุดลง มองอีกฝ่าย

เพียงแต่อีกฝ่ายผมเผ้ารุงรังอีกทั้งยังสกปรกมอมแมม ใบหน้าเปื้อนเปรอะ ดูแล้วเหมือนผ่านการตบตีกับใครมาหรือไม่ก็ถูกเขารังแกอยู่ฝ่ายเดียว ส่วนดวงตาที่แดงก่ำคู่นั้นเหมือนกำลังจะบอกกล่าวถึงความน้อยเนื้อต่ำใจที่มีอยู่ในขณะนี้

ส่วนเด็กหญิงที่อยู่ข้างๆคนนั้น ดูแล้วก็น่าจะมีอายุประมาณห้าหกขวบ เสื้อผ้าที่สวมอยู่ผ่านการปะชุนมาแล้ว สีของเสื้อเดิมทีถูกซักจนซีด แต่ว่าตอนนี้กลับเต็มไปด้วยฝุ่น

เทียบกับหญิงคนนั้นแล้ว แม้ว่าบนใบหน้าของเด็กหญิงจะมีคราบน้ำตา แต่ก็สะอาดกว่ามาก ผมที่ถักเปียก็ดูเรียบร้อยดี

เพียงแต่แววตาที่ดูหวาดกลัวราวกับลูกกวางน้อยคู่นั้น กลับเผยให้เห็นความหวาดกลัวที่มีอยู่ในใจของนางในตอนนี้ และร่างกายที่ซูบผอมกับผิวหนังที่ซีดเหลืองสามารถมองออกถึงความทุกข์ในชีวิตของแม่ลูกทั้งสองคนได้

สองคนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นแม่ลูกกัน เพียงแต่ลั่วเสี่ยวปิงมองสองคนนี้แล้ว ชั่วขณะนั้นไม่สามารถแยกแยะได้เลยว่าสองคนนี้เป็นใครกันแน่

ถูกสายตาของลั่วเสี่ยวปิงจ้องมองอย่างวิเคราะห์ แล้วมองเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยที่สวมอยู่บนร่างของลั่วเสี่ยวปิง สายตาของหญิงคนนั้นเต็มไปด้วยความละอายและรู้สึกต้อยต่ำ กัดริมฝีปากตนเอง ไม่พูดอะไรอีก และจะจูงมือเด็กหญิงเดินจากไป

ชั่วขณะนั้น ในสมองของลั่วเสี่ยวปิงก็มีเงาร่างสายหนึ่งผุดขึ้นมา

“เจ้าคือ ……จางเสี่ยวหลิง?”

เดิมทีลั่วเสี่ยวปิงยังไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่เห็นว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายชะงักไป ลั่วเสี่ยวปิงจึงมั่นใจ

จางเสี่ยวหลิง เพื่อนสนิทของลั่วเสี่ยวปิง พูดให้ถูกต้องคือ เป็นเพื่อนสนิทของเจ้าของร่างเดิมนี้

หลังจากที่สองสามีภรรยาจางต้าฝูจากโลกนี้ไปแล้ว แม้ว่าเจ้าของร่างเดิมที่อยู่ในตระกูลลั่วจะไม่ได้รับผลเสียตามไปด้วย แต่ก็มักจะต้องอดข้าวอยู่เป็นประจำ และจางเสี่ยวหลิงในตอนนั้นกลับแบ่งอาหารของตนเองให้นางกินอยู่เสมอ เป็นคนที่เจ้าของร่างเดิมมักจะคิดถึงเสมอในหลายปีที่ทุกข์ทรมานนี้

เพียงแต่จางเสี่ยวหลิงได้แต่งงานออกเรือนไปอยู่ที่เมืองข้างๆก่อนที่เจ้าของร่างเดิมจะเกิดเรื่องขึ้น และหลายปีมานี้ก็ไม่เคยกลับไปเลย ฉะนั้นแม้เจ้าของร่างเดิมจะตายไปแล้วก็ไม่ได้เห็นหน้านาง

จางเสี่ยวหลิงเห็นว่าลั่วเสี่ยวปิงจำตัวเองได้ ก็รู้สึกตกใจมาก “เจ้า คือเสี่ยวปิงจริงหรือ เจ้า……ไม่ใช่หรือ”

แม้ว่าจางเสี่ยวหลิงจะได้กลับไปหลายปี แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลั่วเสี่ยวปิงนั้นนางได้ยินกับหู

เพียงแต่ นางเองก็แทบจะเอาตัวไม่รอด แม้อยากจะกลับไปเยี่ยมลั่วเสี่ยวปิงก็ทำไม่ได้

แต่ เห็นสภาพของเสี่ยวปิงในตอนนี้ ไม่เหมือนกับสิ่งที่นางได้ยินเมื่อไม่กี่ปีก่อนเลยแม้แต่น้อย กระทั่ง ดูแล้วอ่อนเยาว์และสวยขึ้น สวยกว่าเสี่ยวปิงในความทรงจำของนางอยู่หลายส่วน

ลั่วเสี่ยวปิงไม่ได้พูดถึงตัวเอง ได้แต่มองจางเสี่ยวหลิง “เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า”

ดูแล้วไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่

เห็นแก่ความหวังดีที่จางเสี่ยวหลิงเคยมีให้เจ้าของร่างเดิมมาก่อน ถ้าหากสามารถช่วยได้ นางก็ยินดีจะช่วยสักครั้ง นับว่าเป็นการช่วยเจ้าของร่างเดิมตอบแทนบุญคุณนาง

จางเสี่ยวหลิงได้ยินลั่วเสี่ยวปิงถามเช่นนี้ อารมณ์ที่เดิมทีไม่ง่ายเลยกว่าจะสะกดเอาไว้ได้ก็พังทลายลงมาทันที น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

เด็กหญิงที่อยู่ข้างๆเห็นว่าแม่ของตนเองร้องไห้ ก็ร้องไห้ตามออกมา

เพราะว่าที่นี่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับบ้านมุงหญ้าคา เสียงร้องไห้จึงดึงดูดความสนใจของหวางซื่อที่อยู่ในบ้านหญ้าคา

หวางซื่อเปิดประตูมาก็เห็นว่าจางเสี่ยวหลิงกับลั่วเสี่ยวปิงยืนอยู่หน้าประตู ก็รู้สึกตกใจไปชั่วครู่

เห็นว่าจางเสี่ยวหลิงสะพายห่อผ้าเอาไว้ สีหน้าของหวางซื่อเต็มไปด้วยความสงสารเห็นใจ “เสี่ยวหลิง เจ้ามีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญจริงๆ”

สีหน้าของหวางซื่อเต็มไปด้วยความทอดถอนใจ และมีท่าทีอับจนหนทาง เห็นได้ชัดว่าเหมือนจะรู้เรื่องราวอยู่บ้าง

ลั่วเสี่ยวปิงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ หวางซื่อเองก็แต่งงานออกเรือนมาจากเมืองข้างๆ

เห็นจางเสี่ยวหลิงเอาแต่ร้องไห้ไม่พูดจา ลั่วเสี่ยวปิงก็ถามหวางซื่อว่า “ท่านน้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น”

หวางซื่อมองจางเสี่ยวหลิง เห็นจางเสี่ยวหลิงไม่พูดอะไร จึงถอนหายใจ เอ่ยว่า “เรื่องอื่นข้าไม่รู้ รู้แค่ว่าสามีกับแม่สามีของเสี่ยวหลิงไม่ใช่คนดีอะไร ก่อนหน้านี้ตอนที่กลับไปก็เคยเห็นว่าใบหน้านางมีบาดแผล……”

ลั่วเสี่ยวปิงได้ยิน ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

เป็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัวหรือ

บางทีอาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม ใจของลั่วเสี่ยวปิงก็รู้สึกโมโห และรู้สึกสงสารอยู่บ้าง

สุดท้ายลั่วเสี่ยวปิงก็ไม่ได้ถามหวางซื่ออีก แต่ได้พาสองแม่ลูกกลับไปที่บ้านของตน

ตอนที่สองแม่ลูกจางเสี่ยวหลิงมาถึงบ้านของลั่วเสี่ยวปิง ยืนอยู่ในบ้านที่พวกนางมองว่าทั้งใหญ่โตและดูดีเห็นได้ชัดว่าทำตัวไม่ค่อยถูกนัก

อานอานกับเล่อเล่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็เข้ามา เรียกแม่คำหนึ่ง เพราะว่ามีแขกที่ไม่รู้จักอยู่ด้วย ทั้งสองจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆอย่างเรียบร้อย

ลั่วเสี่ยวปิงเห็นดังนั้น ก็พูดกับเล่อเล่อว่า “เล่อเล่อไปเอาเสื้อมาให้พี่สาวตัวหนึ่งได้หรือไม่”

ลูกสาวของจางเสี่ยวหลิงชื่อว่านเสี่ยวยา โตกว่าเล่อเล่อหนึ่งปี แต่รูปร่างเล็กอยู่บ้าง สวมเสื้อผ้าของเล่อเล่อน่าจะพอดี

เล่อเล่อมองไปทางว่านเสี่ยวยาด้วยสายตาอยากรู้ ไม่ได้ปฏิเสธ และวิ่งกลับไปยังห้องของตนเองทันที

ลั่วเสี่ยวปิงจึงพูดกับจางเสี่ยวหลิงว่า “พวกเจ้าไปอาบน้ำก่อน สวมเสื้อผ้าให้หนาเสียหน่อย”

ตอนนี้เป็นต้นฤดูหนาวแล้ว แต่เสื้อผ้าที่อยู่บนร่างของสองแม่ลูกจางเสี่ยวหลิงกลับบางมาก ทั้งสองหนาวจนร่างกายสั่นเทา

เดิมทีจางเสี่ยวหลิงอยากจะปฏิเสธ แต่พอมองเสี่ยวยาแล้ว สุดท้ายก็ได้แค่พยักหน้า

ลั่วเสี่ยวปิงก็กลับไปที่ห้องของตนเองเอาเสื้อผ้าเก่าของตนเองออกมาหนึ่งชุดยื่นให้กับจางเสี่ยวหลิง ไม่ใช่เพราะนางเสียดาย แต่เกรงว่าถ้าเอาเสื้อผ้าที่ดีเกินไปออกมา จางเสี่ยวหลิงจะรู้สึกเป็นภาระในใจ

เป็นดังคาด เมื่อเห็นว่าลั่วเสี่ยวปิงยื่นเสื้อผ้าที่ดูเก่าอยูบ้างในตนเอง จางเสี่ยวหลิงก็รู้สึกคลายใจ

ไม่ช้าจางเสี่ยวหลิงกับว่านเสี่ยวยาต่างก็อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ลั่วเสี่ยวปิงก็เอาของว่างออกมาจากห้อง ให้อานอานกับเล่อเล่อพาว่านเสี่ยวยาไปกินด้วยกัน ในห้องโถงเหลือแค่ลั่วเสี่ยวปิงกับจางเสี่ยวหลิง

“ข้า……”

หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายแล้ว จางเสี่ยวหลิงก็ดูค่อนข้างตรอมใจมาก ผิวพรรณเป็นสีเหลืองเข้ม รูปร่างผอมซูบจนหน้าตาไม่เหมือนเดิม ดูแล้วแก่กว่าลั่วเสี่ยวปิงเกือบสิบปี

แต่ว่าจางเสี่ยวหลิงที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าที่อบอุ่นขนาดนี้ ไม่ได้รับความอุ่นใจจากคนรอบข้างมาหลายปี พออ้าปากจะพูดดวงตาก็แดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย กินของว่างกับดื่มชาให้อิ่มท้องก่อน ”ลั่วเสี่ยวปิงห้ามจางเสี่ยวหลิงเอาไว้

ไม่รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นี้เจอกับเรื่องอะไรมาบ้าง แต่ดูแล้วคงไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานานแล้ว

พอได้ยินลั่วเสี่ยวปิงพูดเช่นนี้ จางเสี่ยวหลิงก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองของว่างที่ไม่รู้ว่าไม่ได้ลิ้มรสมานานกี่ปีแล้ว ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วก็หยิบขึ้นมาหนึ่งชิ้นอย่างระวัง ค่อยๆส่งเข้าไปในปาก

ในขณะที่กลิ่นหอมหวานได้แผ่กระจายจากปลายลิ้น ใบหน้าของจางเสี่ยวหลิงก็มีน้ำตาไหลพรากอีกครั้ง

เหมือนต้องการจะปกปิดความน่าสมเพชของตนเอง จางเสี่ยวหลิงรีบยัดของว่างชิ้นนั้นเข้าไปในปากทันที แต่เพราะกินเร็วเกินไปปากก็รู้สึกแห้งจนเกิดติดคอขึ้นมา จึงได้แต่เอาน้ำชาที่ลั่วเสี่ยวปิงได้รินเอาไว้ข้างๆขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ ในที่สุดก็กลืนของว่างทั้งหมดลงไปได้

เพียงแต่หลังจากที่วางแก้วชาลงแล้ว จางเสี่ยวหลิงก็ไม่ได้ยืนมือไปหยิบของว่างอีก ได้แต่ก้มหน้านิ่งเงียบ

เมื่อลั่วเสี่ยวปิงพบว่าสองไหล่ของจางเสี่ยวหลิงกำลังสั่นเทา จางเสี่ยวหลิงก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างกะทันหันและร้องไห้เสียงดังออกมา “เสี่ยวปิง ข้าลำบากเหลือเกิน……”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง