แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 214

ที่แท้ หลังจากที่จางเสี่ยวหลิงแต่งงานออกเรือนไปยังตระกูลว่าน ก็พบว่านิสัยของสามีไม่ดีเหมือนที่คิด ลงมือทำร้ายด่าทอนางบ่อยมาก

นางเคยกลับไปเล่าให้คนที่บ้านมารดาฟัง แต่แม่ของจางเสี่ยวหลิงบอกกับนางว่า เมื่อแต่งงานออกเรือนก็ต้องเชื่อฟังสามี หญิงสาวต้องทำใจยอมรับ ก็แค่ถูกตบตีเท่านั้น ไม่ได้มีอะไร หลังจากนั้นก็ถูกไล่ให้กลับไป

และเป็นการที่จางเสี่ยวหลิงกลับบ้านมารดาเพียงลำพัง ตอนที่จางเสี่ยวหลิงกลับมายังบ้านสามีจึงถูกทุบตีอย่างน่าอนาถ

และหลังจากนั้น จางเสี่ยวหลิงก็ตั้งครรภ์ ด้วยเหตุนี้ชีวิตจึงดีขึ้นมาบ้างเล็กน้อย และเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดตั้งแต่นางมาอยู่ตระกูลว่าน

เพียงแต่ การที่ให้กำเนิดลูกสาว และเพราะว่าการให้กำเนิดลูกทำให้ร่างกายอ่อนแอมาก จึงทำให้หลายปีมานี้จางเสี่ยวหลิงไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก

และการใช้ข้ออ้างในเรื่องนี้ ทำให้ชีวิตของจางเสี่ยวหลิงยิ่งยากลำบากมากขึ้น เพราะไม่มีบ้านมารดาให้พึ่งพา จางเสี่ยวหลิงจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน อดทนมาจนถึงตอนนี้

แต่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้ชายที่จางเสี่ยวหลิงแต่งงานด้วยได้ทำให้แม่หม้ายคนหนึ่งท้องโตขึ้นมา แม่หม้ายแสดงออกชัดเจนว่าต้องแต่งงานกับนาง ไม่เช่นนั้นจะทำแท้งลูกในท้อง ด้วยเหตุนี้จางเสี่ยวหลิงจึงถูกหย่า รวมไปถึงถูกไล่ออกจากบ้านพร้อมกับว่านเสี่ยวยา

จางเสี่ยวหลิงที่ถูกหย่าแล้วได้แต่เดินทางกลับบ้านมารดา เพียงแต่เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าสู่ประตูบ้านมารดาเท่านั้น พี่สะใภ้ของนางก็ทั้งไล่ทั้งตีนางให้ออกจากบ้านมารดาไป

และพี่สะใภ้ของจางเสี่ยวหลิงก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คือหวังจินเสียเมียของจางต้าโถว ก่อนหน้านี้ลั่วเสี่ยวปิงไม่เคยนึกถึงความสัมพันธ์ของพวกเขามาก่อน

“เสี่ยวปิง ข้าจะบอกกับเจ้าตรงๆ เมื่อครู่ข้าคิดจะพาเสี่ยวยากลับไปที่ตระกูลว่าน ขอร้องให้ตระกูลว่านเห็นแก่สายเลือดรับเลี้ยงเสี่ยวยาเอาไว้ แต่…… ตอนนี้ข้ารู้สึกทำใจไม่ได้จริงๆ……”

ขณะที่จางเสี่ยวหลิงพูด ดวงตาก็มองไปยังของว่างเหล่านั้น

ลั่วเสี่ยวปิงมองสภาพของจางเสี่ยวหลิง มีอะไรที่เข้าใจไม่ได้อีก

แม่คนหนึ่ง นอกจากคนอย่างเมี่ยวชุ่ยหลานที่ไม่สามารถเรียกว่าแม่ได้แล้ว ก็มีแต่เวลาที่สิ้นหวังที่สุดเท่านั้นจึงจะแยกห่างจากลูกของตนเอง

ส่วนจางเสี่ยวหลิง นางก็รู้ดีแก่ใจว่าตระกูลว่านเป็นที่ที่อันตรายมาก แต่กลับอยากจะส่งลูกกลับไป นี่แสดงว่าในใจนางได้มีความคิดที่อยากจะตายแล้ว

หรือบางที ขนมที่หอมหวาน จะปลุกความหวังในตัวนางขึ้นมา

ครุ่นคิดชั่วครู่ ลั่วเสี่ยวปิงก็ถามจางเสี่ยวหลิง “แล้วตอนนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อไป”

“ข้า……”จางเสี่ยวหลิงรู้สึกสับสนขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่จากนั้นก็ยิ้มด้วยความขมขื่น “ข้าไม่รู้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเลี้ยงเสี่ยวยาให้เติบโต สุดท้ายแล้วก็คงไม่ลำบากมากกว่าแต่ก่อน”

ได้ยินคำพูดนี้ ในดวงตาของลั่วเสี่ยวปิงมีแววตกใจอย่างที่ยากจะปกปิดเอาไว้ได้

แม้ว่าสถานการณ์ของจางเสี่ยวหลิงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่นางก็ไม่ได้เสียใจกับความผิดพลาดของตนเอง

ทั้งๆที่เห็นว่าตนเองมีชีวิตที่ดีแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใช้เรื่องบุญคุณที่เคยมีแต่เก่าก่อนมาให้นางช่วยเหลือ

จางเสี่ยวหลิงที่เป็นเช่นนี้ ทำให้ลั่วเสี่ยวปิงอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ

“เจ้าอาศัยอยู่กับข้าที่นี่ก่อนแล้วกัน……”

ลั่วเสี่ยวปิงเพิ่งจะเอ่ยปากพูด จางเสี่ยวหลิงก็อยากจะปฏิเสธทันที แต่ลั่วเสี่ยวปิงไม่ให้โอกาสนั้นแก่นาง “อีกไม่กี่วันกิจการร้านเมืองแห่งอาหารก็จะเริ่มทำการแล้ว ยังขาดลูกมืออยู่พอดี ถึงตอนนั้นเจ้าสามารถเข้าไปช่วยงานได้”

เมืองอาหารของนางมีบริการหลักคือหม้อไฟและปิ้งย่างที่ให้ลูกค้าตักเอง ส่วนผสมเครื่องปรุงต่างๆ นางจะเป็นคนเตรียมการในช่วงแรก จากนั้นก็หาคนมาปรุงสิ่งของที่นางได้เตรียมไว้ให้สุกก็พอ หน้าที่นี้นางเตรียมจะให้จางต้าหลางเป็นคนทำ

ส่วนเรื่องหั่นผักล้างผักรวมไปถึงเสี่ยวเอ้อในร้าน นางคิดว่าจะไปหาในเมืองวันนี้ เหล่านี้ล้วนไม่ต้องใช้จางเสี่ยวหลิง

แต่ว่า นอกจากอาคารหลักหลังนั้นแล้วนางยังเตรียมจะทำร้านเนื้อย่างแบบบริการตัวเอง นางยังต้องใช้เรือนด้านข้างมาปรับเปลี่ยนเป็นร้านค้าเล็กๆเพื่อเรียกแขก ทำชานม ทำปิ้งย่างเสียบไม้ ทำหมาล่า ทำของทอด……สรุปคือนางคิดจะเอาองค์ประกอบอาหารเลิศรสตามข้างถนนในยุคปัจจุบันไปไว้ข้างในนั้นให้หมด

จางเสี่ยวหลิงคนเดียว ให้นางทำพวกของทอดหรือไม่ก็ย่างลูกชิ้นอะไรก็ได้ สอนจับปลาดีกว่าให้ปลา และนี่ก็นับว่าเป็นการสอนทักษะในการเอาชีวิตรอดให้กับจางเสี่ยวหลิง สามารถเลี้ยงดูว่านเสี่ยวยาได้อย่างแน่นอน

ลั่วเสี่ยวปิงได้เล่าแผนการของนางให้จางเสี่ยวหลิงฟัง จางเสี่ยวหลิงตื้นตันจนอยากจะคุกเข่าให้กับลั่วเสี่ยวปิง แต่ถูกลั่วเสี่ยวปิงขัดเอาไว้

“เจ้าอย่าเพิ่งรีบคุกเข่าเลย ข้าจะต้องเก็บค่าเล่าเรียนและค่าร้านค้ากับเจ้าด้วย”

จางเสี่ยวหลิงได้ยินก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็เริ่มทำตัวไม่ถูก “แต่ แต่ข้าไม่มีเงิน……”

ตอนที่ถูกไล่ออกมา ตัวนางไม่มีเงินเลยแม้แต่แดงเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะเช่นนี้ นางก็คงไม่ถึงกับอยากจะฆ่าตัวตาย

“เจ้าสามารถติดค้างไว้ก่อน รอให้เจ้าหาเงินได้แล้วค่อยคืนข้าก็ได้”ต่างก็ว่ากันว่า ทำดีมากเกินไป ชีวิตไร้ราคา แม้ว่านางมีใจอยากจะช่วยเหลือคน แต่ก็ไม่ได้ช่วยเหลือโดยเปล่า

ดีที่จางเสี่ยวหลิงเป็นคนที่รู้คุณคน ได้ยินลั่วเสี่ยวปิงพูดเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะไม่โกรธ ยังรู้สึกเป็นบุญคุณมากขึ้นไปอีก ยังรับปากว่า “เจ้าวางใจได้ ถ้าข้าหาเงินได้จะคืนให้เจ้าเป็นคนแรก”

ชั่วขณะนี้ จางเสี่ยวหลิงรู้สึกว่าชีวิตของตนเองเต็มไปด้วยความหวัง

จากนั้น ลั่วเสี่ยวปิงก็ทำอาหารกลางวัน หลังจากที่ทุกคนกินข้าวเที่ยวกันแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงก็ให้หนานซิงขับรถม้าเข้าไปในเมือง เด็กๆทั้งสองไม่ยอมอยู่ห่างจากแม่ แน่นอนว่าต้องพาไปด้วย

และลั่วเสี่ยวปิงก็รู้สึกไม่ดีที่จะทิ้งสองแม่ลูกจางเสี่ยวหลิงไว้ที่บ้าน บวกกับอยากจะซื้อเสี้อผ้าให้กับสองแม่ลูกด้วย จึงได้พาพวกนางไปด้วยเสียเลย

เมื่อมาถึงในเมือง ลั่วเสี่ยวปิงก็ตรงไปยังร้านเมืองแห่งอาหารของตนเอง จากนั้นก็เขียนประกาศรับสมัครคนงาน ลั่วเสี่ยวปิงได้พาจางเสี่ยวหลิงเดินดูสถานที่ครู่หนึ่ง และได้ให้เงินหนึ่งตำลึงกับจางเสี่ยวหลิง ให้นางพาเสี่ยวยาไปซื้อของ

เพราะประกาศรับคนงานกำหนดจะเริ่มสัมภาษณ์หลังจากนี้อีกสองชั่วยาม ฉะนั้นฉวยโอกาสที่ยังมีเวลา ลั่วเสี่ยวปิงพาลูกทั้งสองคนไปที่ร้านค้าคนกลาง

เดิมทีการมีวิญญาณเป็นคนในยุคปัจจุบัน ลั่วเสี่ยวปิงยังไม่คุ้นเคยกับการค้ามนุษย์นัก

แต่การจะทำร้านเมืองแห่งอาหารของตนเอง ก็ต้องมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ส่วนพวกชานมต่างๆ นางย่อมไม่สามารถลงมือทำเองได้

แต่ถ้าหากมอบให้กับคนอื่น ไม่แน่ว่าอาจมีการเปิดเผยเคล็ดลับ ดึงดูดปัญหาที่ไม่จำเป็นมาได้

ฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ลั่วเสี่ยวปิงตัดสินใจว่าจะกุมจุดสำคัญไว้เอง ซื้อคนมาเรียนรู้วิชาจึงจะน่าเชื่อถือที่สุด

แน่นอนว่า ที่เพิ่งจะนึกมาซื้อคนในตอนนี้ ย่อมเป็นเพราะว่าร้านค้าเล็กๆเหล่านั้นนางยังไม่รีบร้อนจะเติมให้เต็ม กิจการที่จะเปิดในวันมะรืนนี้ก็แค่อาหารปิ้งย่างกับหม้อไฟที่บริการตัวเองเท่านั้น ฉะนั้นซื้อคนมาเรียนรู้ทักษะในตอนนี้ย่อมทันการณ์อย่างแน่นอน

อีกอย่าง นอกจากจะซื้อคนมาเรียนรู้ทักษะฝีมือแล้ว นางยังต้องการซื้อคนรับใช้อีกสองสามคน

เพราะว่าตอนนี้ตนเองยุ่งจนแทบจะไม่มีเวลามาดูแลลูกๆแล้ว ภายหน้าจะยิ่งกว่านี้อีก เรื่องในบ้านต้องมีคนคอยดูแลและจัดการจึงจะดี

หนานซิงมองประตูใหญ่ของร้านค้าคนกลาง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปทางลั่วเสี่ยวปิง “ฮูหยินจะซื้อคนดูแลบ้านหรือ”

ลั่วเสี่ยวปิงเงยหน้าขึ้นเหลือบมองหนานซิงแวบหนึ่ง “เจ้าก็ทำหน้าที่นั่นอยู่มิใช่หรือ”

หนานซิงจับที่จมูก รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

นายหญิงจะใช้เขาจนถึงขีดสุดจริงๆหรือ

“เห็นว่าเหมาะสมก็ซื้อ”ลั่วเสี่ยวปิงทิ้งคำพูดนี้เอาไว้ แล้วเดินเข้าไปในร้านค้าคนกลาง และไม่ได้เห็นว่าหนานซิงได้ยินคำพูดนี้แล้วผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกออกมาเฮือกหนึ่ง

หลังจากที่ลั่วเสี่ยวปิงเดินเข้าไปในร้านค้าคนกลาง ทันใดนั้นก็มีแม่ค้าตัวอ้วนอายุราว ๆสี่ห้าสิบปีเดินเข้ามาต้อนรับ

“ฮูหยินน้อยมาหาซื้อทาสหรือ ท่านมาถูกที่แล้ว อยากได้แบบไหนก็บอกมาได้เลย ที่นี่เรามีทุกอย่าง”ใบหน้าของแม่ค้าตัวอ้วนเต็มไปด้วยความมั่นใจ

“ต้องการคนที่มือไม้คล่องแคล่วทำงานเป็นสักสองสามคน”ลั่วเสี่ยวปิงเอ่ยเสียงเรียบ

“เอ๋ ที่นี่เรามีแต่คนที่มือไม้คล่องแคล่วทำงานเก่งกันทั้งนั้น ……”แม่ค้าตัวอ้วนหัวเราะ เห็นว่าสีหน้าของลั่วเสี่ยวปิงไม่ได้เปลี่ยนไป จึงปรับสีหน้า ถามขึ้นว่า “ฮูหยินน้อยต้องการผู้ชายหรือผู้หญิงต้องการคนอายุน้อยหรือคนอายุมากเจ้าคะ”

ลั่วเสี่ยวปิงคิดอยู่ชั่วครู่ จึงเอ่ยขึ้นว่า “เรียกขึ้นมาดูตัวทั้งหมดแล้วกัน”

หญิงค้าทาสตัวอ้วนได้ยิน ก็วิเคราะห์ลั่วเสี่ยวปิงจากการแต่งตัวอยู่ครู่หนึ่ง แม่จะรู้สึกว่าไม่ใช่ลูกค้าใหญ่อะไร แต่ถือคติที่ว่าลูกค้ามาถึงร้านแล้วจะปฏิเสธไม่ได้ ก็ไปเรียกคนมาให้

เพียงแต่หญิงค้าทาสตัวอ้วนไปนานมาก

รอจนกระทั่งแม่ค้าตัวอ้วนพาคนสิบกว่าคนขึ้นมา ทันใดนั้นลั่วเสี่ยวปิงก็เห็นเงาร่างที่คุ้นตาสองร่างจากกลุ่มคนเหล่านั้น……

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง