แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 41

อานอานกินไปด้วยและพยักหน้าไปด้วยอยู่ข้างๆ เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่น้องสาวพูดนั้นถูกต้อง

อาหารที่แม่ทำ อร่อยมากจริงๆ

เมื่อเห็นเด็กๆสองคนกินอย่างเอร็ดอร่อย ลั่วเสี่ยวปิงก็พอใจมาก

พอหยิบไข่ม้วนหนึ่งชิ้นขึ้นมากัดหนึ่งคำ ลั่วเสี่ยวปิงก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลย แผ่นแป้งยังคงรสชาติเหมือนเดิม เมื่อกินหมดแล้วรสชาติอันหอมหวานและเนื้อสัมผัสที่เหนียวหนึบมากก็ยังคงอร่อยติดปากอยู่ ซึ่งข้อบกพร่องเล็กน้อยที่อยู่ในความสมบูรณ์แบบก็คือส่วนผสมที่อยู่ตรงกลางของไข่ม้วนนั้นธรรมดาเกินไป

ถ้ามีเนื้อและแตงกวาหั่นฝอยก็จะดีกว่าลั่วเสี่ยวปิงกำลังคิดเช่นนี้อยู่ในใจ

สามคนแม่ลูกกินคนละสองชิ้นจนอิ่มแล้ว

หลังจากที่รับประทานอาหารเย็นเสร็จ ต้าหลางก็คัดเมล็ดสนออกมาสองตะกร้าใหญ่ๆ และลั่วเสี่ยวปิงบอกให้เขาเทไปในลานบ้าน เพราะในบ้านไม่มีเครื่องชั่งน้ำหนัก ดังนั้นจึงทำได้เพียงชั่งน้ำหนักอีกครั้งในวันหน้าเท่านั้น

ต้าหลางวางของลงแล้วก็กลับไป และลั่วเสี่ยวปิงก็เริ่มปวดหัวถึงเรื่องที่ว่าในตอนกลางคืนจะนอนที่ไหนดี

โชคดีที่เมื่อก่อนตอนที่อาศัยอยู่ที่บ้านคุณปู่นางได้ไปร่วมงานเลี้ยงงานแต่งงานที่บ้านญาติซึ่งอยู่หมู่บ้านอื่น และเคยเห็นบ้านหลังใหญ่ใช้ฟางข้าวปูที่นอนลงบนพื้นเพราะมีแขกมากเกินไปและมีเตียงน้อย

ลั่วเสี่ยวปิงไม่มีไร่นา ดังนั้นนางย่อมไม่มีฟางข้าวอยู่ในบ้าน แต่โชคดีที่มีหญ้าเหมาเฉ่าอยู่มากเช่นกัน

ถึงแม้ว่าหญ้าเหมาเฉ่าจะไม่อ่อนนุ่มเท่าฟางข้าว แต่ก็ยังดีกว่านอนบนพื้นอยู่มาก

ดังนั้น ทั้งสามแม่ลูกจึงร่วมแรงร่วมใจกันปูหญ้าเหมาเฉ่าบนพื้นโล่งๆที่อยู่ในห้อง หลังจากนั้นก็นำเสื้อที่ขาดรุ่งริ่งและเศษผ้าที่เจ้าของเดิมทิ้งไม่ลงมาปูไว้ข้างบนเพื่อทำเป็นผ้าปูเตียง

สถานที่สำหรับหลับนอนได้รับการแก้ปัญหาแล้ว แต่กลับไม่มีผ้าห่ม ดังนั้นลั่วเสี่ยวปิงจึงนำเสื้อกันหนาวที่มีอยู่เพียงตัวเดียวในบ้านออกมาทำเป็นผ้าห่มให้เด็กทั้งสองคน

ในขณะที่กำลังมองไปที่เสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งที่อยู่เต็มพื้น ลั่วเสี่ยวปิงหมดคำพูดจริงๆ

ดูเหมือนว่า เสื้อผ้า ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ จำเป็นต้องซื้อหมดเลย

หลังจากที่เด็กทั้งสองคนผล็อยหลับไป ลั่วเสี่ยวปิงจึงมีเวลาไปดูอาการของฉีเทียนเห้า เมื่อเห็นว่าชีพจรของฉีเทียนเห้ามีแนวโน้มว่าคงที่แล้ว ลั่วเสี่ยวปิงจึงไปนอนอยู่ข้างๆพวกเด็กๆ

และในเวลานี้ ณ บ้านตระกูลจาง

อาจจะเป็นเพราะว่าเมื่อกลางวันนางได้กระแทกประตูด้วยความร้อนตัว กลัวว่าแม่สามีจะไล่ตัวเองกลับตระกูลเมี่ยวจริงๆ เมี่ยวชุ่ยหลานไม่กล้าอยู่ในห้องนานๆ เมื่อถึงเวลารับประทานอาหารนางก็ออกมาทำอาหารไวๆ

ถึงแม้ว่าแม่สามีอย่างจางเฉินซื่อจะถลึงตาจ้องมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา แต่นางก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ

เมื่อเมี่ยวชุ่ยหลานคิดว่าเรื่องนี้จบลงแต่เพียงเท่านี้นางก็เลยสามารถทำอาหารได้อย่างสบายใจ แต่ทว่าทันใดนั้นจางเฉินซื่อกลับปรากฏตัวขึ้นมาในห้องครัวด้วยใบหน้าหม่นหมอง ในขณะที่เมี่ยวชุ่ยหลานกำลังมองดูท่าทางนี้ของแม่สามี นางก็ตกใจมากจนเกือบโยนไม้พายอยู่ในมือทิ้งไปเสียแล้ว

“ท่านแม่......”

“วันนี้เจ้าได้ตีเด็กสองคนนั้นหรือเปล่า?” ทันทีที่จางเฉินซื่อเดินเข้ามาก็มาซักไซ้เอาความกับนางเลย

ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวเหม่ยที่พลั้งปากพูดออกไป นางก็คงยังไม่รู้เรื่องนี้

ในเวลานั้นเองจางเฉินซื่อก็มองไปที่เมี่ยวชุ่ยหลานด้วยสายตาที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และมีความผิดหวังที่ยากจะปิดบังอยู่ในใจ

เดิมทีนางคิดว่านางเป็นแค่คนที่ใจแคบเท่านั้น แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นคนที่ไม่รู้สถานการณ์เลยขนาดนี้

เมื่อเทียบกับความโกรธที่อยู่ภายในใจของจางเฉินซื่อแล้ว ความรู้สึกที่อยู่ในใจของเมี่ยวชุ่ยหลานกลับเป็นความโล่งใจที่มีอยู่อย่างเงียบๆ

ขอแค่ไม่ได้เป็นเพราะเรื่องที่นางกระแทกประตูก็พอแล้ว

ในขณะที่กำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น เมี่ยวชุ่ยหลานก็ได้นึกถึงลั่วเสี่ยวปิงขึ้นมา

เมื่อนางคิดว่าแม่สามีอยู่บนภูเขาแทบจะทั้งวัน และเรื่องนี้จะต้องเป็นลั่วเสี่ยวปิงมาฟ้องกับแม่สามีของนางอย่างแน่นอน ในใจก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจลั่วเสี่ยวปิงขึ้นมามากกว่าเดิม

สำหรับเรื่องที่นางตีอานอานนี้ เมี่ยวชุ่ยหลานไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีความผิดเลยสักนิด แต่กลับแค้นใจและตำหนิลั่วเสี่ยวปิงว่าเป็นคนที่จุ้นจ้าน เรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ก็ต้องไปฟ้องด้วย

“ท่านแม่ ท่านอย่าไปฟังลั่วเสี่ยวปิงนะ แน่นอนว่าต้องเป็นนางอิจฉาที่เห็นครอบครัวของเราดี ก็เลยปั้นเรื่องขึ้นมามั่วๆ......”

“จนถึงตอนนี้เจ้ายังจะเทน้ำสกปรกใส่ตัวเสี่ยวปิงอยู่อีก ข้าผิดหวังในตัวเจ้ามากเหลือเกิน” ในขณะที่จางเฉินซื่อมองไปที่เมี่ยวชุ่ยหลาน ความผิดหวังของนางก็ขึ้นไปถึงขีดสุดแล้ว

เมี่ยวชุ่ยหลานมีสีหน้าขาวซีด แต่นางกลับกัดฟันไปมา เตรียมที่จะพูดโต้แย้งต่อไป

เมื่อมองความประสงค์ของเมี่ยวชุ่ยหลานออก จางเฉินซื่อก็พูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “เจ้าอย่าคิดจะหาข้ออ้างอีก ข้ารู้หมดแล้วว่าเจ้าทำอะไรลงไป และเจ้าก็อย่าได้คิดว่าเสี่ยวปิงเป็นคนพูดด้วย เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวอะไรกับนางเลย”

เมี่ยวชุ่ยหลานอ้าปากแล้วอ้าปากอีก สุดท้ายนางก็พูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจว่า “ท่านแม่ ข้าเป็นคนตีแล้วอย่างไร? พวกเขารังแกเสี่ยวเหม่ย หรือว่าการที่ข้าซึ่งเป็นแม่จะทวงคืนความยุติธรรมให้กับลูกสาวยังถือว่ามีความผิดอย่างนั้นหรือ? หรือจะบอกว่าแม่ก็แค่รังเกียจที่เสี่ยวเหม่ยเป็นลูกสาว...”

“เพี๊ยะ”

ไม่รอให้เมี่ยวชุ่ยหลานพูดจบ จางเฉินซื่อก็ตบไปที่ใบหน้าของเมี่ยวชุ่ยหลานหนึ่งฉาด

“เมี่ยวชุ่ยหลาน ข้าเคยบอกเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่าในตระกูลจางของเรา ทั้งลูกชายและลูกสาวล้วนมีค่าเท่ากันหมด ถ้าเจ้ากล้าเหยียบย่ำเสี่ยวเหม่ยตามอำเภอใจอีก คอยดูเถิดข้าจะฉีกผิวหนังของเจ้า”

แรงในการตบของจางเฉินซื่อนั้นไม่ใหญ่เกินไปหรือไม่เล็กเกินไป มันสามารถทำให้ใบหน้าของเมี่ยวชุ่ยหลานเจ็บได้ แต่มันไม่ถึงขั้นสามารถทิ้งรอยนิ้วมือเอาไว้บนใบหน้าได้

เมี่ยวชุ่ยหลานเอามือข้างหนึ่งปิดหน้าไว้ ในขณะกำลังก้มศีรษะลู่ต่ำลงและมองดูพื้น ทำให้คนมองไม่เห็นสีหน้าของนางในขณะนี้ได้อย่างชัดเจน

ในขณะที่กำลังมองดูท่าทางนี้ของเมี่ยวชุ่ยหลานอยู่นั้น จางเฉินซื่อพูดต่อว่า “ข้ารู้ดีว่าในใจของเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ เจ้าก็แค่รู้สึกอึดอัดอยู่ในใจที่ข้าช่วยเสี่ยวปิงเท่านั้นใช่หรือไม่?”

“ข้าขอบอกเจ้าเอาไว้เลยนะ แม้ว่าข้าจะช่วยเสี่ยวปิง นั่นมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ข้าไม่เคยใช้เงินของเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว นางเติบโตมาด้วยนมของข้า ในหัวใจของข้านางก็คือลูกสาวของข้า ถ้าเจ้าทนเห็นไม่ได้ก็สามารถย้ายออกไปอยู่ตามลำพังกับต้าหลางได้ เจ้าจะกลับไปตระกูลเมี่ยวของเจ้าก็ได้ ตระกูลจางจะไม่รั้งเจ้าเอาไว้ให้ก่อเรื่องก่อราวแบบนี้อีกหรอก”

พอนึกถึงเรื่องที่อานอานถูกตี ภายในใจของจางเฉินซื่อนี้ก็รู้สึกละอายจะแย่อยู่แล้ว

ในปีนั้น ถ้าไม่มีเสี่ยวปิงเด็กคนนี้ นางจะสามารถข้ามผ่านความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกสาวไปได้อย่างไร?

ถึงแม้ว่านางจะให้กำเนิดซิ่งฮวาในภายหลัง แต่ในใจนางก็ยังไม่อาจทอดทิ้งลูกสาวคนแรกที่ตัวเองให้นมไปได้

“ท่านแม่ ชุ่ยหลานทำอะไรทำให้ท่านโมโหอีกแล้ว?”

พอต้าหลางเพิ่งจะเดินเข้ามาในเวลานี้ เขาก็เหลือบมองเมี่ยวชุ่ยหลาน หลังจากนั้นก็ถามแม่ของตัวเอง

เขาเพิ่งกลับมาจากบ้านของเสี่ยวปิงและยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินแม่พูดเรื่องการแยกบ้านแล้ว

เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและมองไปที่เมี่ยวชุ่ยหลาน แล้วถามว่า “ชุ่ยหลาน เจ้ายั่วให้ท่านแม่โกรธอีกแล้วใช่หรือไม่?”

นับตั้งแต่ที่นางให้กำเนิดเสี่ยวเหม่ย ชุ่ยหลานก็กลายเป็นคนที่ไม่เข้าท่าขึ้นเรื่อยๆ คิดไม่ถึงเลยว่านางจะทำให้แม่โกรธจนพูดเรื่องการแยกบ้านออกมาเสียแล้ว

ต้าหลางรู้สึกเพียงว่าในใจของเขาหนักอึ้ง

“เปล่านะ ข้าไม่ได้...”

หลังจากที่เมี่ยวชุ่ยหลานได้ฟังคำพูดของต้าหลางแล้ว นางก็ได้สติกลับคืนมาจากความตื่นตระหนกตกใจ

พอพูดประโยคนี้จบ เมี่ยวชุ่ยหลานก็คุกเข่าลงหันไปทางจางเฉินซื่อจนเสียงดัง 'ปั๊ก'

“ท่านแม่ ข้าผิดไปแล้ว และข้าก็ไม่กล้าทำอีกแล้ว ท่านแม่ได้โปรดอย่าแยกเราออกไป และได้โปรดอย่าขับไล่ข้าออกไปเลยนะ”

นางกลัวแล้วจริงๆ

ตั้งแต่โบราณกาลนานมา บ้านลูกชายคนโตจะมีหน้าที่ดูแลผู้สูงอายุ ดังนั้นเมื่อแยกบ้านจึงค่อนข้างที่จะได้เปรียบ

ตอนนี้ท่านแม่บอกว่าจะแยกบ้านใหญ่ออกมา ไม่ใช่ว่าจะเป็นการยกประโยชน์ทั้งหมดให้กับบ้านสองอย่างนั้นหรือ?

ยิ่งกว่านั้น นางให้กำเนิดลูกสาวแค่เพียงคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นการแยกบ้านหรือถูกขับไล่ให้กลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลเมี่ยว ก็ล้วนแต่ไม่เป็นผลดีกับนางอย่างมาก

เมี่ยวชุ่ยหลานจึงอ้อนวอนขอร้องอย่างนอบน้อมและจริงใจ และร้องไห้อย่างน่าสังเวช

ต้าหลางอดสงสารไม่ได้เล็กน้อยเช่นกัน เขาก็เลยคุกเข่าลงพร้อมกัน “ท่านแม่ ข้าไม่รู้ว่าตกลงชุ่ยหลานทำอะไรลงไปแล้วกันแน่ แต่ท่านแม่ได้โปรดถอนคำตัดสินใจที่จะแยกบ้านเถิด”

ในเวลานั้นเองจางซิ่งฮวากับเอ้อหลางก็ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวและคำพูดเช่นกัน พวกเขาจึงเข้ามาดู ในขณะที่กำลังมองดูฉากนี้อยู่นั้นพวกเขาก็ล้วนแต่มีสีหน้าตื่นตกใจ

พอได้เห็นลูกชายและลูกสาวเดินเข้ามา จางเฉินซื่อก็ไม่อยากจะพูดอะไรออกไปอีกเช่นกัน

ประมาณว่านางก็แค่อยากจะพูดเสียดสีเหน็บแนมลูกสะใภ้คนโตเท่านั้น และนางไม่ได้อยากจะทำให้ครอบครัวแตกแยกจริงๆ นางก็เลยโบกมือไปมา เพื่อบอกให้พวกเขาต่างคนต่างไปทำงานของตัวเอง

หลังจากรับประทานอาหารเย็นไม่นานฟ้าก็มืด แล้วคนในตระกูลจางก็ไปนอนหลับพักผ่อนกันหมดแล้ว

จางเสี่ยวเหม่ยนอนด้วยกันกับจางเฉินซื่อย่าของนางตามปกติเหมือนอย่างเคย

เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว หลังจากที่จางต้าหลางขึ้นไปนอนอยู่บนเตียงแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรและไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องก่อนหน้านี้เลย

แต่ทว่าในเวลานี้ เมี่ยวชุ่ยหลานกลับคิดที่จะเป็นฝ่ายรุกเข้าไปสร้างสัมพันธ์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง