แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง นิยาย บท 42

เมื่อจางต้าหลางที่เดิมทีเหนื่อยมาทั้งวันแล้วเห็นเมี่ยวชุ่ยหลานรุกเข้าหา ก็คิดว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เอาอกเอาใจกันมาเป็นเวลานาน จึงได้กอดนางเอาไว้

หลังจากที่เอาอกเอาใจกันมาระยะหนึ่ง ต้าหลางก็กอดเมี่ยวชุ่ยหลานเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยสีหน้าที่พึงพอใจ และความไม่สบายใจที่อยู่ในหัวใจของเขานั้นก็ได้หายไปแล้ว

เมี่ยวชุ่ยหลานนอนอยู่ในอ้อมแขนของต้าหลางนางใช้มือวนรอบหน้าอกของต้าหลางไปด้วย พร้อมกับพูดไปด้วยว่า “ต้าหลาง ท่านว่าเสี่ยวปิงดีต่อเอ้อหลางขนาดนั้น มีงานดีๆก็ให้เอ้อหลางทำแต่กลับไม่ให้ท่านทำ เสี่ยวปิงชอบเอ้อหลางเข้าแล้วใช่หรือไม่ และอยากจะให้เอ้อหลางเป็น...”

“เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหลนะ” จางต้าหลางขมวดคิ้วและพูดขัดจังหวะคำพูดของเมี่ยวชุ่ยหลาน

ตัวเขาเองถือว่าเสี่ยวปิงเป็นน้องสาวตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก และเขาไม่เคยคิดไปในแง่นี้เลย

แต่เมี่ยวชุ่ยหลานกลับรู้สึกไม่พอใจแล้ว เมื่อสักครู่นี้นางทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่เช่นนี้ ไม่ใช่เพื่อต้องหุบปากเงียบนะ

ถึงแม้ว่าแม่สามีจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับลั่วเสี่ยวปิงก็ตาม แต่นางจะเชื่อได้หรือ?

นางปฏิบัติต่อคนนอกคนหนึ่งดีกว่าลูกสะใภ้อย่างนางเสียอีก ถ้าบอกว่าไม่มีเรื่อลับลมคมในอะไร ฆ่าให้ตายนางก็ไม่มีวันเชื่อหรอก

และมีอีกอย่างก็คือ ลั่วเสี่ยวปิงผู้นั้นทำให้ตัวเองถูกตบ นางจะไม่มีวันปล่อยให้ลั่วเสี่ยวปิงสมดั่งใจปรารถนาอย่างเด็ดขาด

ในดวงตาของเมี่ยวชุ่ยหลานเต็มไปด้วยความแค้นเคือง นางไม่ได้คิดเลยว่าที่ตัวเองถูกตบเป็นเพราะนางดูถูกว่าจางเสี่ยวเหม่ยเป็นลูกสาว

เดิมทีก็เป็นเช่นนี้ ลูกสาวทุกคนล้วนเป็นตัวขัดดอก แม่สามีบอกว่ามีค่าเท่ากันหมด แต่ถ้ามีค่าจริงๆ ทำไมนางถึงมักจะปฏิบัติต่อนางไม่ดีเสมอเลยล่ะ?

“ต้าหลาง ท่านอย่าได้มาตำหนิว่าข้าพูดจาเหลวไหลหน่อยเลย ท่านหัดสติปัญญาเฉียบแหลมบ้างเถอะ ท่านแม่ดีกับเสี่ยวปิงมากขนาดนั้น เกรงว่านางก็คงตั้งใจที่จะให้นางมาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูลจางเสียแล้ว”

ในขณะที่เมี่ยวชุ่ยหลานกำลังพูดหยั่งเชิงอยู่นั้น นางไม่ได้ยินการตอบรับของต้าหลางเลย จึงคิดว่าต้าหลางเห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวเองพูด นางก็เลยพูดต่อไปว่า “ต้าหลาง เสี่ยวปิงผู้นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนที่ประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทางเลยนะ และจิตใจยังลึกล้ำ แถมยังมีลูกติดมาด้วยอีกสองคน ถ้านางเข้ามาอยู่ในตระกูลจางของเราจริงๆ......”

“หุบปากเดี๋ยวนี้นะ”

เมื่อไม่สามารถฟังต่อไปได้อีก ต้าหลางก็สุดที่จะทนได้ เขาจึงผลักเมี่ยวชุ่ยหลานออกไป

ความเอาอกเอาใจและความอ่อนโยนละมุนละไมเมื่อสักครู่นี้ได้มลายหายไปหมดแล้ว และในเวลานี้เส้นเลือดสีเขียวที่อยู่บนหน้าผากของต้าหลางก็ปรากฏออกมาอย่างเด่นชัด

เมื่อเมี่ยวชุ่ยหลานถูกจางต้าหลางผู้ซึ่งนิสัยดีมาแต่ไหนแต่ไรผลัก สีหน้าของนางจึงดูไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง “จางต้าหลาง ท่าน.....”

เมี่ยวชุ่ยหลานอยากจะโมโหเดือดดาลขึ้นมา แต่จางต้าหลางกลับพูดขึ้นมาก่อนว่า “เมี่ยวชุ่ยหลาน ถ้าเจ้ากล้าพูดอีกแม้แต่คำเดียว พรุ่งนี้เจ้าก็เก็บกระเป๋ากลับบ้านตระกูลเมี่ยวไปได้เลย"

จางต้าหลางเป็นคนนิสัยดี แต่กลับไม่ใช่เป็นคนที่ไม่มีอารมณ์ร้อนเลย

ตรงกันข้าม ยิ่งเป็นคนที่นิสัยดีมากเท่าไหร่ เมื่ออารมณ์เสียขึ้นมาก็ยิ่งทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อเมี่ยวชุ่ยหลานรู้สึกถึงความโกรธของจางต้าหลางได้อย่างแน่ชัดแล้ว นางจึงกลัวมากจนนางนิ่งเงียบไป เพราะกลัวว่าหากตัวเองเอ่ยปากพูดออกไปอีก พรุ่งนี้ก็จะถูกขับไล่ให้กลับไปที่บ้านพ่อแม่จริงๆ

แต่ทว่าเมื่ออยู่ในที่มืด ภายในดวงตาของเมี่ยวชุ่ยหลานกลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

……

ลั่วเสี่ยวปิงไม่รู้เรื่องในตระกูลจางเลย

ลั่วเสี่ยวปิงก็เลยไม่ได้นอนหลับไปอย่างสงบเลยในคืนนี้เช่นกัน

ก่อนเที่ยงคืนก็ยังดีๆอยู่ แต่หลังเที่ยงคืนจู่ๆฉีเทียนเห้าที่อยู่บนเตียงก็เริ่มพูดละเมอขึ้นมา

ลั่วเสี่ยวปิงจึงลุกขึ้นมาตรวจดู และพบว่าฉีเทียนเห้ามีไข้เสียแล้ว

เดิมทีลั่วเสี่ยวปิงมีความเชื่อมั่นต่อน้ำแร่วิญญาณเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างไรนางก็ต้องตรวจดูปากแผลของฉีเทียนเห้าก่อนเข้านอน ปากแผลนั้นก็มีเค้าที่ส่อให้เห็นว่าดีขึ้นแล้ว

แต่ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ปากแผลได้หายดีแล้ว แต่พิษกลับไม่บรรเทาลงเลยสักนิด

ด้วยผลกระทบของพิษหลายชนิด จึงทำให้ชายคนนี้มีไข้ขึ้นมา

แต่ทว่ามีจุดหนึ่งที่ควรค่าแก่การเชื่อมั่น น้ำแร่วิญญาณมีผลในการฟื้นตัวที่ดีมาต่ออาการบาดเจ็บภายนอก ถ้าหากเดาไม่ผิด ก็น่าจะมีผลในการเสริมประสิทธิภาพของยาและปรับปรุงร่างกาย

ถ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้ ชายที่นอนอยู่บนเตียงผู้นี้น่าจะต้องตายเพราะพิษกำเริบไปนานแล้ว แต่ถึงแม้ว่าพิษจะกำเริบในตอนนี้ กลับไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งแสดงให้ว่าน้ำแร่วิญญาณก็สามารถระงับสารพิษที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้เช่นกัน

พูดตามตรงเลยนะ ถ้าไม่มีน้ำแร่วิญญาณนางก็คงไม่สามารถช่วยชีวิตชายผู้นี้เอาไว้ได้สำเร็จ แต่ถึงอย่างไรถ้าจะแก้พิษให้เขานางยังขาดยาสมุนไพรบางอย่างอยู่ อาศัยแค่ยาที่นางเก็บมาจากบนเขาเหล่านั้นคงไม่เพียงพอ ถ้ารอให้ถึงตอนที่นางมีเงินไปซื้อวัตถุดิบยามาทำยาแก้พิษ เกรงว่ามันจะสายเกินไปเสียแล้ว

ลั่วเสี่ยวปิงเดินออกจากห้องไปอย่างมือเบาเท้าเบา หลังจากที่ให้ยาระบายพิษร้อนภายในชุดหนึ่งแก่ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงแล้ว นางก็หยดน้ำแร่วิญญาณลงไปสองสามหยด จากนั้นก็ป้อนอาหารให้ชายคนนั้นทีละนิดๆผ่านท่อไม้ไผ่

จนกระทั่งหลังจากที่ชายหนุ่มที่อยู่บนเตียงไข้ลดแล้ว ท้องฟ้าก็มีแสงสลัวๆปรากฏขึ้นมาแล้ว

พอนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังต้องรีบไปในเมืองตั้งแต่เช้า ลั่วเสี่ยวปิงจึงไม่ได้นอนต่อเลย

มองดูเด็กที่กำลังนอนหลับอยู่ทั้งสองคน ลั่วเสี่ยวปิงก็ออกไปจากห้องอย่างระมัดระวัง แล้วไปที่ห้องครัว

พอเด็กทั้งสองคนตื่นขึ้นมา ลั่วเสี่ยวปิงก็ได้ต้มซุปเห็ดที่มีกลิ่นหอมโชยขึ้นมาหนึ่งหม้อและขึ้นฉ่ายหั่นเป็นเส้น บวกกับแครอทหั่นฝอยอีกหนึ่งจานเล็กๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ในขณะที่กำลังมองดูสิ่งที่อยู่ในหม้ออยู่นั้น ดวงตาทั้งสองข้างของอานอานกับเล่อเล่อก็แวววาวขึ้นมา ทำท่าทางอยากจะกิน

ในขณะที่ลั่วเสี่ยวปิงมองดูท่าทางนี้ของเด็กทั้งสองคน ภายในดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “รีบไปล้างหน้าแปรงฟันเร็วเข้า”

เมื่อเด็กทั้งสองคนได้ยินดังนั้นก็รีบออกไปล้างมือ แล้วค่อยใช้กิ่งหลิวแปรงฟัน

หลังจากที่จัดการกับเองเรียบร้อยแล้ว อานอานกับเล่อเล่อก็เดินจับมือกันเข้าไปในครัวอีกครั้ง ในเวลานั้นเองลั่วเสี่ยวปิงก็ได้ตักบะหมี่ชามใหญ่สองชามให้เด็กทั้งสองคนแล้ว

สามคนแม่ลูกเพิ่งทานอาหารเช้าเสร็จอย่างเอร็ดอร่อย จางเอ้อหลางก็มาพร้อมกับเห็ดหนึ่งคันรถแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้ลั่วเสี่ยวปิงประหลาดใจก็คือ ในคนที่มา คิดไม่ถึงว่าจะมีจางเฉินซื่อกับจางซิ่งฮวา

“พี่เสี่ยวปิง”

จางเอ้อหลางกับจางซิ่งฮวาเรียกลั่วเสี่ยวปิงหนึ่งครั้ง

ลั่วเสี่ยวปิงตอบกลับทั้งสองคน แล้วจึงมองไปที่จางเฉินซื่อ แล้วถามว่า “ป้า นี่ท่านจะทำอะไรรึ?”

ตั้งแต่จางเฉินซื่อเข้ามา สายตาของนางก็จับจ้องไปที่อานอาน และเมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นไม่มีความผิดปกติอะไรแล้วนางจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เมื่อเห็นว่าลั่วเสี่ยวปิงถาม จางเฉินซื่อก็เลยตอบไปว่า “ข้าคิดว่าวันนี้เจ้าจะต้องเข้าไปในเมือง จึงกลัวว่าจะไม่มีใครช่วยเจ้าดูแลเด็กพวกนี้ ข้าก็เลยให้ซิ่งฮวามาช่วยดูให้น่ะ”

เมื่อเทียบกับความพาลพาโลของจางเฉินซื่อแล้วจางซิ่งฮวาดูเหมือนจะสุขุมลุ่มลึกกว่าเล็กน้อย

เมื่อได้ยินแม่ของตัวเองพูดอย่างนี้ จางซิ่งฮวาก็ก้าวไปข้างหน้า และเผยรอยยิ้มที่เหนียมอายออกมา แล้วพูดว่า “พี่เสี่ยวปิง พี่วางใจเถอะ ข้าจะดูแลอานอานกับเล่อเล่อให้ดี”

มองดูท่าทางเช่นนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็รู้ว่าจางเฉินซื่ออาจจะรู้เรื่องที่อานอานถูกตีแล้ว

เนื่องจากจางเฉินซื่อไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ แต่ให้จางซิ่งฮวามาช่วยดูแลเด็กๆให้ คิดว่านางคงอยากจะชดเชยแน่ๆ

พอคิดถึงตรงนี้ ลั่วเสี่ยวปิงก็แสร้งทำเป็นว่านางไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องนี้แล้ว แล้วตอบรับด้วยรอยยิ้ม “ข้ากำลังกลุ้มใจอยู่พอดีเลยว่าจะทำอย่างไรกับลูกทั้งสองคนดี น้องซิ่งฮวามาได้ทันเวลาจริงๆ”

ที่ลั่วเสี่ยวปิงพูดนั้นก็ไม่ผิดเลย แรกเริ่มเดิมทีนางก็กลุ้มใจมากจริงๆ

ถ้าจะทิ้งลูกเอาไว้ที่บ้าน นางก็รู้สึกกังวลใจ ถ้าจะพาเข้าไปในเมืองด้วย ในบ้านก็ยังมีคนเจ็บอยู่อีกหนึ่งคน

เดิมทีนางยังคิดว่าตัวเองจะรีบเข้าไปในเมืองแล้วรีบกลับมา แต่ตอนนี้มีจางซิ่งฮวามาช่วยดูแล นางก็เลยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก

เมื่อจางเฉินซื่อเห็นว่าลั่วเสี่ยวปิงเห็นด้วยแล้ว นางก็โล่งใจเช่นกัน

หลังจากนั้นลั่วเสี่ยวปิงก็ทำการชั่งน้ำหนักเห็ดที่ตระกูลจางนำมานั้น คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีน้ำหนักมากกว่าเก้าสิบชั่ง

เพราะกฎที่ว่าไม่อาจเปิดเผยทรัพย์สินเงินทองได้ ลั่วเสี่ยวปิงก็เลยบอกว่ารอให้กลับมาจากในเมืองก่อนค่อยคำนวณรายรับรายจ่าย

จางเฉินซื่อไว้วางใจลั่วเสี่ยวปิงนางก็เลยไม่ว่าอะไร เพียงแค่กำชับจางเอ้อหลางว่า “เข้าไปในเมืองแล้ว ให้ช่วยพี่เสี่ยวปิงของเจ้าทำงานให้ดีดีนะ ตระกูลของเราไม่ชอบทำเรื่องแอบขี้เกียจและเล่นลูกไม่เอาตัวรอด เจ้ารู้ใช่ไหม?”

“ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ ข้าจะทำให้ดีที่สุด”

เมื่อจางเฉินซื่อได้ยินดังนั้น นางจึงวางใจ จากนั้นก็เร่งรัดให้เอ้อหลางกับเสี่ยวปิงรีบออกเดินทางไป

สำหรับการปกป้องดูแลและการรู้เหตุรู้ผลของจางเฉินซื่อนี้ ลั่วเสี่ยวปิงทั้งรู้สึกซาบซึ้งใจและฉงนสนเท่ห์ แต่ก็ยังขึ้นไปเกวียนวัวของตระกูลจาง

จนกระทั่งตอนที่จางเอ้อหลางขับเกวียนวัวไปถึงในเมือง เวลาในช่วงเช้าก็เกือบจะหมดลงแล้ว

แต่ในเวลานั้นเอง เถ้าแก่ฉินกลับกำลังเดินกลับไปกลับมาอยู่ทางเข้าหอฝูหม่าน และบนใบหน้าของเขายังเต็มไปด้วยความร้อนใจ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง