คนที่ยืนอยู่หน้าประตู เป็นชาวไร่และอาจารย์ที่ซ่งฉงปิงให้คนไปหามา
ต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพในการทำงานของคนจวนอ๋องถือว่าเร็วมาก
อาจารย์และชาวไร่ได้เห็นซ่งฉงปิง ก็รีบคุกเข่าอย่างระมัดระวัง
สำหรับพวกเขาสองคน ผู้มีอำนาจโดยเฉพาะผู้มีอำนาจในราชวงศ์เป็นคนที่อยู่ห่างจากพวกเขามาก ตอนนี้จะทำงานให้ผู้มีอำนาจแล้ว พวกเขาก็กังวลมาก
หลังจากซ่งฉงปิงให้สองคนลุกขึ้นมาแล้ว ถึงรู้สถานการณ์ของสองคนจากลูกน้องมา
ล้วนมีสถานะทางครอบครัวที่บริสุทธิ์
ที่บ้านของชาวไร่ปลูกยามาตลอด แต่ชาวไร่คนนี้กลับเป็นลูกจ้างระยะยาวในเมืองหลวง
เนื่องจากพ่อค้าค้ายาที่ปลูกยาในชานเมืองเมื่อก่อนนั้น ย้ายไปที่ทิศใต้ตั้งแต่สิบปีที่แล้ว และชาวไร่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะตามไปทิศใต้ด้วยกัน และไม่มีนาด้วย ก็มีแต่ต้องเป็นลูกจ้างระยะยาว
ส่วนอาจารย์คนนั้น ปีนี้สี่สิบปีพอดี ความสามารถก็ใช้ได้ เดิมทีปีนั้นจะสอบติดราชการ แต่เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุขาหักกลายเป็นคนพิการ เลยถูกลบชื่อไป ชีวิตค่อนข้างจะยากจน ปกติทำมาหากินโดยการเขียนจดหมายแทนผู้อื่นและลอกหนังสือ
หลายปีนี้ถือว่าไม่มีชื่อเสียงอะไรแถมยังสอบต่อไม่ได้ด้วย แต่ในระหว่างที่บอกหนังสือก็ได้อ่านหนังสือมาเยอะ ความสามารถถือว่ามีการยกระดับ
ซ่งฉงปิงได้เซ็นสัญญากับสองคนนี้ด้วย เป็นสัญญาห้าปีเช่นกัน มีวันหยุดและโบนัสต่างๆ ส่วนอีกห้าปีจะต่อสัญญาหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเอง
จากนั้น ซ่งฉงปิงก็แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งในจวนของหมู่บ้านออกมา แล้วทุบกำแพงทำประตูใหม่ นำมาเป็นสำนักเรียน
นี้ล้วนปฏิบัติง่ายๆ ชาวบ้านของหมู่บ้านชิงเหอมีหลายคนทำงานไม้เป็น ถึงแม้ไม่ค่อยถนัด แต่สำหรับพวกเขา ทำเก้าอี้และโต๊ะล้วนไม่ยากเลย
ดังนั้นไม่ถึงสองวันก็ทำสำนักเรียนเสร็จ พวกเด็กๆก็เข้าไปเรียนโดยตรง
ส่วนการปลูกยานั้น ชาวไร่บอกซ่งฉงปิงว่า สภาพอากาศของเมืองหลวงไม่เหมาะกับปลูกยา เพราะยาที่ทนความหนาวไม่ค่อยได้นั้นมีผลผลิตที่แย่มากในเมืองหลวง
หากอยู่ในทิศใต้ ยาเหล่านั้นจะเก็บผลผลิตได้ปีละสามถึงห้าครั้ง ส่วนถ้าอยู่ในเมืองหลวง น่าจะมีแค่หนึ่งถึงสองครั้ง นี่ก็เป็นสาเหตุที่พ่อค้าค้ายาจะย้ายไปที่ทิศใต้ เพราะว่าทิศใต้ปลูกยาได้ผลดีกว่า
แน่นอนว่า มีที่ทนหนาวไม่ได้ ก็ต้องมีที่ทนหนาวได้ ไม่ว่าที่ไหนล้วนมีตลาดยาที่แตกต่างกัน แค่ว่าปีนั้นชาวไร่คนนั้นเห็นว่าตลาดทิศใต้มีแนวโน้มที่ดีเท่านั้น เพราะยังไงเมืองหลวงก็เป็นศูนย์กลางอำนาจ บางทีอาจมีความไม่ยุติธรรมบางอย่าง
สำหรับคำพูดของชาวไร่ ซ่งฉงปิงก็แค่ยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร
เมล็ดของนาง แตกต่างกับเมล็ดทั่วไป วัฏจักรการเจริญเติบโตของยาสั้นกว่าเยอะ ความสามารถในการทนหนาวก็ดีตาม ดังนั้นนางเลยไม่กลัวว่ายาจะตาย
ชาวไร่เห็นว่าซ่งฉงปิงตัดสินใจแล้ว รู้สึกโน้มน้าวใจไม่ได้ แถมเขายังจะดูอีกว่าตัวเองจะสามารถรักษายาไว้ได้หรือเปล่า
ปีนั้นอยู่ๆพ่อค้าค้ายาก็ย้ายไป ทำให้เขาไม่มีอะไรทำ มีแต่ต้องไปเป็นลูกจ้างระยะยาว ชีวิตลำบาก
ตอนนี้สามารถอยู่ตามจวิ้นจู่ได้ เห็นกับตาว่าจะมีชีวิตดีๆแล้ว ห้ามให้เรื่องอดีตเกิดขึ้นอีกครั้ง
พอมีความคิดแบบนี้ ชาวไร่ก็ก้มหน้าพาเหล่าชาวบ้านทำการปลูกยา
ไม่ว่าจะเป็นการขุดดิน หว่านเมล็ด หรือยาชนิดต่างกันควรปลูกในที่เย็นหรือที่มีแสงแดดจัดจ้า ชาวไร่ล้วนสอนให้เหล่าชาวบ้าน
ชาวไร่มีความกระตือรือร้น เหล่าชาวบ้านอยากจะตอบแทนบุญคุณของซ่งฉงปิงก็มีความกระตือรือร้นเช่นกัน เพียงไม่กี่วันสั้นๆก็ปลูกยาทั้งหมดเสร็จ
แต่วันที่สามซ่งฉงปิงก็ออกจากหมู่บ้านกลับถึงเมืองหลวง มอบหมู่บ้านชิงเหอให้จางกุ้ยและชาวไร่สองคนดูแล ให้จางกุ้ยเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านชิงเหอ ดูแลชาวบ้านเหล่านั้น
แต่ซ่งฉงปิงคิดไม่ถึงว่า เรื่องแรกที่ตัวเองได้เผชิญหลังจากที่กลับเมืองหลวง ก็คือถูกขอแต่ง
แถมยังมากมายอีกด้วย
แม่สื่อที่เข้าแถวรออยู่หน้าจวนอ๋องนั้นถึงแม้จะแต่งกายต่างกัน แต่ล้วนมีจุดเหมือนกันก็คือแดงจัดๆ ซ่งฉงปิงรู้สึกสงสัยมาก
ในจวนเหมือนไม่มีใครอยู่ในช่วงอายุแต่งงานนะ
คิดไปคิดมา ซ่งฉงปิงก็นึกถึงซ่งจินจือ เลยไม่ได้คิดอะไรมาก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
สนุกแต่ทำไมคุยกับคนอายุเยอะกว่า เรียกเจ้า ๆ ข้า กับเจ้า ทำไม่ใช่ ท่าน เหมือนอันอัน อานอาน คุยกับพ่อ กับผู้ใหญ่ เรียกเจ้าอยู่เลย...
เนื่องนี้สนุกดี..ถึงแม้จะมีบางตอนที่เขียนเนือยไปหน่อย แต่ก็ตบกลับมาได้ 👍👍👍 คือ โอเคดีเลย...
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...