คนที่ซ่งฉงปิงเห็นคือเว่ยเจ๋อฉี
ตอนแรกยังกังวลเว่ยเจ๋อฉี ตอนนี้เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้อย่างดี แน่นอนว่าตะลึงและดีใจ
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซ่งฉงปิงถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
เว่ยเจ๋อฉีได้ยิน ส่ายหน้า “พี่ ข้าไม่เป็นไร เป็นพี่เขยที่ช่วยข้าไว้”
ปกติ เว่ยเจ๋อฉีส่วนมากเรียกฉีเทียนเห้าว่าอ๋องเซ่อเจิ้ง เรียกพี่เขยน้อยมาก
ครั้งนี้เปลี่ยนคำ เห็นได้ว่ายอมรับฉีเทียนเห้าอย่างจริงจังแล้ว
แต่ความจริงแล้ว เพราะว่าเสื้อผ้าบนตัวของเว่ยเจ๋อฉี คือซ่งฉงปิงเอาจากหอปิงอวี้ ส่งให้เว่ยเจ๋อฉีด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นบนเสื้อถึงได้มีกลิ่นเฉพาะตัวของซ่งฉงปิง
แน่นอนว่ากลิ่นนี้สำหรับคนแล้วไม่ได้กลิ่นแรงมาก แต่เสี่ยวโหยวกลับได้กลิ่น
ตอนแรกฉีเทียนเห้าจะให้เสี่ยวโหยวไปหาซ่งฉงปิง แต่กลับช่วยเว่ยเจ๋อฉีที่เกือบถูกทำร้ายไว้อย่างบังเอิญ
แค่คิดถึงสิ่งที่ตัวเองเกือบโดนกระทำ เว่ยเจ๋อฉีตอนนี้ยังรู้สึกใจหาย และนึกกลัวขึ้นมา
แต่ว่านึกถึงสภาพของมู่ต้าฮ่าว เขาก็แอบรู้สึกสะใจ
เว่ยเจ๋อฉีไม่เป็นไร เรื่องของอ๋องคังก็จัดการเสร็จเป็นการชั่วคราว ซ่งฉงปิงก็รู้สึกโล่งใจ
ตอนนี้นางก็นึกขึ้นมาได้แล้ว พระชายาให้นางไปรับน้องชายและอานอานตอนนางออกมา เวลานี้ไปกำลังพอดี เวลาก็ทันพอดี
ฉีเทียนเห้าเองไม่สามารถไปพร้อมกับซ่งฉงปิงได้ จึงพาเว่ยเจ๋อฉีไปโรงเรียนของเด็กทั้งสองคนพร้อมกัน
ขณะนี้ อานอานและซ่งเฮงทั้งสองคนรออยู่หน้าประตูโรงเรียนตั้งนานแล้ว
พวกเขาไม่รู้ว่าพี่สาว(ท่านแม่) จะมารับพวกเขา แต่ว่าปกติแล้วจวนอ๋องจะส่งรถม้ามา แต่ว่าเพื่อนร่วมโรงเรียนไปกันเกือบหมดแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เห็นรถม้าของจวนอ๋องอวี้มา นี่ทำให้ทั้งสองรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
ตอนที่ทั้งสองกำลังตัดสินใจว่าจะกลับไปกันเองหรือไม่ รถม้าคันหนึ่งก็ค่อยๆมาถึง
แต่ว่าทั้งสองเพียงแค่มองไปทางรถม้าทีหนึ่ง แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ
เพราะว่า รถม้านั่นไม่ใช่ของจวนอ๋องอวี้
“อานอาน เฮงเอ๋อร์”
ในเวลานี้เอง ทั้งสองก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยพร้อมกัน
คือท่านแม่ (พี่สาว)
ทั้งสองคนมองไปที่รถม้าแปลกหน้าคันนั้น เห็นซ่งฉงปิงนั่งอยู่บนรถม้านั่นจริง ตอนนี้กำลังแหวกม่านรถม้ามองพวกเขาอยู่
“ท่านแม่——”
“พี่——”
อานอานและซ่งเองทั้งสองคนขยับเข้าใกล้ซ่งฉงปิงด้วยสีหน้าแปลกใจและดีใจ
“พี่ พี่มาได้อย่างไร?” ซ่งเฮงถาม
ซ่งฉงปิง “ข้าออกมาทำธุระ ก็มารับพวกเจ้าพอดี”
อานอานมองรถม้าคันนั้นทีหนึ่ง สายตาสงสัย “ท่านแม่ รถม้าคันนี้ทำไมไม่ใช่ของจวนอ๋องอวี้?”
อีกครั้ง ที่ซ่งฉงปิงทอดถอนใจกับสมองอันฉลาดของลูกชาย
“เพราะว่า รถม้านี้เป็นของบ้านน้า”
ในเวลานี้เอง เว่ยเจ๋อฉีก็ยื่นหัวออกมาจากรถม้า อธิบายอย่างยิ้มแย้ม
รถม้าของจวนอ๋องอวี้มีสัญลักษณ์ ของตระกูลเว่ยไม่มี
เพราะว่ารถม้าของซงฉงปิงเสียหายแล้ว จะรับลูกทั้งสองคน ก็ใช้รถที่หอปิงเยว่เตรียมไว้
เพื่อป้องกันอานอานสงสัย เว่ยเจ๋อฉีจึงพูดโกหก
อานอานได้ยิน ถึงได้คลี่คลายความสงสัย
ตอนที่ซ่งฉงปิงกลับไปถึงจวนอ๋อง เว่ยหวินซีก็ทำอาหารทั้งโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว
โชคดีที่ ตอนที่จวนอ๋องเซ่อเจิ้งวุ่นวาย แต่จวนอ๋องอวี้กลับไม่ได้รับข่าว มิเช่นนั้นตอนนี้เว่ยหวินซีต้องเป็นห่วงแน่นอน
ก่อนพวกซ่งฉงปิงกลับมา ฉีเทียนเห้าก็กลับมาถึงสวนซูยู่รออยู่แล้ว
เว่ยหวินซีรู้ว่าฉีเทียนเห้ามาแล้ว ก็ให้คนนำอาหารไปส่งที่สวนซูยู่ ก็เพื่อป้องกันคนเยอะสายตาก็มาก ฐานะของฉีเทียนเห้าในหอซูยู่จะได้ไม่ถูกเปิดโปงเร็วขนาดนี้
อย่างไรเสีย หลังจากที่ฉีเทียนเห้าผ่านด่านของซ่งหยุนดาและเว่ยหวินซีแล้ว การป้องกันในหอซูยู่ก็แข้มงวดกว่าเมื่อก่อน
ตอนที่เว่ยหวินซีเห็นเว่ยเจ๋อฉี ค่อนข้างตะลึง “ฉีเอ๋อร์มาได้อย่างไร?”
เว่ยเจ๋อฉีนั่งลงอย่างไม่เกรงใจ ท่าทางหยอกล้อ “ไม่ได้กินฝีมือของท่านป้านานแล้ว นี่ข้าก็เพราะตามกลิ่นมายังไงล่ะ? มิเช่นนั้นท่านป้าก็ไม่เห็นจะทำให้ข้ากินสักครั้ง”
เว่ยหวินซีได้ยินกลับรู้สึกตลก พูดว่า “ก็ปากเจ้าที่พูดเก่ง วันนี้อาหารพวกนี้ เจ้าต้องกินให้หมดจานถึงจะได้”
ในเมืองหลวง ยิ่งเป็นบ้านผู้ดีสูงศักดิ์ ก็ยิ่งทำเรื่องกินจนหมดจานไม่ได้ นี่ทำให้เหมือนดั่งไม่เคยได้กินอาหาร
แต่ในตระกูลเว่ยไม่มีเรื่องพวกนี้
ตระกูลเว่ยสอนตั้งแต่เด็กว่าห้ามหรูหราห้ามสิ้นเปลือง กินเท่าที่ต้องการ เป็นไปไม่ได้ที่วางอาหารเต็มโต๊ะ แต่กินแค่จานละนิดหน่อยเท่านั้น
ประเพณีนี้ แน่นอนว่าเว่ยหวินซีนำมาถึงจวนอ๋องอวี้
ซ่งหยุนดาก็ไม่ใช่คนชอบหรูหราสิ้นเปลือง ปกติสองคนผัวเมียหรือว่าแม่ลูกทั้งหลายก็ล้วนกินข้าวด้วยกัน กับข้าวล้วนมีปริมาณจำกัด
มิหนำซ้ำ สำหรับคำทำกับข้าวแล้ว คนที่กินข้าวจนหมดจานนั่นถึงจะรู้สึกภูมิใจ
เพราะฉะนั้น คำพูดของเว่ยหวินซีนี้ก็ไม่มีปัญหา
ส่วนเว่ยเจ๋อฉีก็รับคำอย่างธรรมชาติ “ไม่มีปัญหา รับรองว่าข้าจะกินให้หมดทุกจานแน่นอน”
ได้ยินแล้ว ซ่งหยุนดาก็เบิกตากว้าง “นั่นเจ้าพูดอะไรกัน เจ้ากินคนเดียวจนหมด แล้วพวกเราจะกินอะไร?”
ซ่งหยุนดาพูดออกไป ทุกคนก็หัวเราะ บรรยากาศปรองดองและผ่อนคลาย
ส่วนซ่งฉงปิงและเว่ยเจ๋อฉีทั้งสองคน ก็ไม่มีสภาพของการที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันตรายมาเลยแม้แต่น้อย
เว่ยหวินซีทำกับข้าวอร่อยจริง หรือพูดได้ว่า นั่นไม่เพียงแค่อร่อย แต่เป็นรสชาติของบ้าน เพราะฉะนั้นสุดท้ายอาหารทุกจานก็กินจนหมดเกลี้ยง
เมื่องคนรับใช้เก็บจานเปล่าไปแล้ว คนทั้งครอบครัวก็เริ่มดื่มน้ำชาสนทนากัน ยังคงรักใคร่ปรองดอง
เมื่อเทียบกับความรักใคร่ปรองดองในฝั่งนี้ ทางด้านสวนหวู่ หูหยานเฉียนก็ได้รับข่าวแล้ว
“พวกเจ้าบอกว่า พวกเขาไปกินข้าวที่สวนซูยู่อีกแล้ว แล้วยังไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าใกล้?”
หูหยานเฉียนขมวดคิ้ว
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว
นางรู้สึกตลอดว่าสวนซูยู่มีอะไร
ไม่ใช่ว่าไม่เคยสืบ แต่ว่าฝั่งโน้นกลับรักษาการณ์ได้แน่นหนามาก นางสืบอะไรไม่ได้เลย
ยิ่งทำให้รู้สึกไม่อยากเชื่อก็คือ ซ่งฉงปิงกลับมาได้เร็วขนาดนี้
หรือว่า อ๋องคังไม่ได้อยากจัดการนาง?
คิดไปคิดมา หูหยานเฉียนก็เรียกคนมา “เรียกคนมา รีบไปสืบหน่อยว่าทางด้านอ๋องคังเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ขณะนี้ ในวังฮองเฮา
ฮองเฮานั่งไม่อยู่กับที่
อย่างรวดเร็ว ก็มีคนสนิทเข้ามา ฮองเฮาสีหน้าตื่นเต้น “เป็นอย่างไร หาอ๋องคังเจอหรือไม่?”
คนสนิทส่ายหน้า “ไม่ขอรับ”
“ไอ้ไร้ประโยชน์——” ฮองเฮาตะโกนเสียงดัง จากนั้นก็พูดอย่างโมโห “ยังไม่รีบไปหาต่อ”
คนสนิทจากไป ฮองเฮาล้มนั่งอยู่บนพื้น
เพราะว่าให้คนออกไปหมดแล้ว ฉะนั้นไม่มีคนมาพยุงนางขึ้นมา
ผ่านไปสักครู่ ฮองเฮาถึงหยิบป้ายพระราชทานอันหนึ่งออกมาจากลิ้นชัก
ลายมังกรบนป้ายพระราชทาน ตอนนี้ถูกไฟไหม้จนดำแล้ว
ฮองเฮาก็ไม่สนว่าป้ายนั้นสกปรก ขัดถูอยู่บนมือ
ตอนที่ป้ายนี้ส่งเข้ามาในวัง นางเห็นก็จำได้ทันทีว่าเป็นของอ๋องคัง
แต่ว่า นางไม่เชื่อว่าศพนั่นคืออ๋องคัง
เพราะฉะนั้น ต้องไม่ใช่อ๋องคังแน่นอน
อ๋องคังแค่หายตัวไปเท่านั้น
ฮองเฮาคิดไป ขอบตาก็ค่อยๆแดงขึ้น แต่กลับดื้อรั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมา
.......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แม่หญิงปรุงยามือปราบกับลูกลิงทั้งสอง
สนุกแต่ทำไมคุยกับคนอายุเยอะกว่า เรียกเจ้า ๆ ข้า กับเจ้า ทำไม่ใช่ ท่าน เหมือนอันอัน อานอาน คุยกับพ่อ กับผู้ใหญ่ เรียกเจ้าอยู่เลย...
เนื่องนี้สนุกดี..ถึงแม้จะมีบางตอนที่เขียนเนือยไปหน่อย แต่ก็ตบกลับมาได้ 👍👍👍 คือ โอเคดีเลย...
ตอนที่ 19 - 20 หาย...
เรื่องนี้เคยลงจนจบแล้วหายไปไหนหมด เคยลงในreaderaz...