แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์ นิยาย บท 13

            ตอนที่ 13 ความคิดของหลี่เยียนเอ๋อร์

          ทหารคุ้มกันที่มีท่าทีดุร้ายหลายคนพลันล้อมรอบเจียงเว่ยหว่านเอาไว้ พวกเขาทุกคนต่างก็มีใบหน้าที่แข็งค้างไป

เจียงเว่ยหว่านเหลือบมองเซียวจิ้งเป่ยที่มีสีหน้ายากจะคาดเดา ก็เห็นเพียงเขาและหลี่เยียนเอ๋อร์ผู้นั้นที่ยืนใกล้กันเป็นอย่างมาก 

พวกเขาทั้งสองที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดช่างเหมาะสมกันยิ่ง ราวกับกิ่งทองใบหยก

แม้ว่าในใจนางจะไม่ได้รู้สึกอิจฉา แต่นางก็ยังรู้สึกอึดอัดมาก ไม่ว่ายังไง เขาก็เป็นบุรุษของตน แต่ตอนนี้เขายืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนเพื่อปกป้องผู้สตรีอีกคน บุรุษผู้นี้ช่างทำเกินไปจริงๆ เห็นชัดว่าได้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ทว่าบัดนี้กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

นางสะบัดแขนเสื้อและเอ่ยขึ้นอย่างหยิ่งผยอง “ไปให้พ้น ข้าไปเองได้ สถานที่เช่นนี้ต่อให้เชิญมา ข้าก็จะไม่มา ประเดี๋ยวจะโชคร้ายเอาได้!”

หลายคนที่ล้อมรอบเจียงเว่ยหว่านอยู่ อดที่จะตกตะลึงไม่ได้เมื่อเผชิญกับท่าทางที่ทรงอำนาจของนาง จึงได้ลังเลกันอยู่พักใหญ่ ก่อนจะหลีกทางให้นาง

ก่อนที่เจียงเว่ยหว่านจะจากไป ก็ได้มองดูใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจิ้งเป่ย ภายในดวงตาคู่นั้นที่เปล่งประกายก็ได้เผยความผิดหวังออกมาอย่างสุดซึ้ง

เมื่อเซียวจิ้งเป่ยได้สัมผัสกับแววตาที่เคียดแค้นของเจียงเว่ยหว่าน เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงไปชั่วครู่ แต่แล้วเขาก็ละสายตาออกและไม่มองไปทางเจียงเว่ยหว่านอีก

เมื่อเจียงเว่ยหว่านเห็นเซียวจิ้งเป่ยที่หลบเลี่ยงสายตา ก็อดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันในใจ เขากลัวว่าตนจะสร้างปัญหาให้แก่เขา! แต่วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ยังพอมีเวลาจัดการกับสตรีอย่างหลี่เยียนเอ๋อร์

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจียงเว่ยหว่านก็ไม่ได้คิดมากอีก พลันสะบัดแขนเสื้อและจากไปอย่างสบายอกสบายใจ

เซียวจิ้งเป่ยเฝ้ามองเงาร่างของเจียงเว่ยหว่านที่จากไปอย่างเหม่อลอย

หลี่เยียนเอ๋อร์มองเซียวจิ้งเป่ยจากทางด้านข้างอย่างระมัดระวัง

ภายใต้แสงแดดอันเจิดจ้า ยิ่งขับให้ใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งงดงาม องคาพายัพทั้งห้าช่างพิถีพิถันราวกับสวรรค์สรรค์สร้าง ไร้จุดด่างพร้อย งดงามเสียจนทำเอาผู้คนละสายตาไม่ได้

หลี่เยียนเอ๋อร์ลอบสาบานในใจว่า ไม่ว่ายังไงนางก็จะต้องขับไล่หญิงชั่วออกจากจวนให้จงได้ และตำแหน่งพระชายาก็ต้องตกเป็นของนาง

นางค่อยๆดึงเซียวจิ้งเป่ยให้ก้าวไปข้างหน้า

ร่างกายของเซียวจิ้งเป่ยแน่นิ่งไม่ไหวติง และหลบเลี่ยงหลี่เยียนเอ๋อร์อย่างใจเย็น

ขณะที่จิตใจของหลี่เยียนเอ๋อร์เปี่ยมไปด้วยความสุขเพราะความสนิทสนมที่เกิดขึ้นจากเซียวจิ้งเป่ย แต่จู่ๆกลับถูกเซียวจิ้งเป่ยหลบเลี่ยง จนทำเอานางไม่สบอารมณ์และรู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ ทว่าบนใบหน้าของนางกลับยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานชดช้อย

“ท่านอ๋อง พระชายาผู้นี้ของท่านช่างโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ท่านดูใบหน้าของหม่อมฉันสิเพคะ นี่...”

นางหยิบผ้าเช็ดหน้าปักลายออกมาเช็ดน้ำตา ด้วยท่าทีที่แลดูน่าสงสารยิ่งนัก

ใบหน้าคมคายของเซียวจิ้งเป่ยชำเลืองมองนางที่กำลังน้ำตาไหลอาบใบหน้า และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้าอย่าได้สนใจสตรีร้ายกาจผู้นั้น แต่เรื่องในวันนี้เจ้าเองก็จัดการได้ไม่เหมาะสมจริงๆ อยู่ดีๆไปตบตีบ่าวรับใช้ทำไมกัน ในฐานะเจ้านาย การลงมือตบตีผู้อื่นก็เป็นการไม่สมฐานะ”

เดิมทีหลี่เยียนเอ๋อร์ต้องการยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา อย่างไรก็ได้ก่อไฟเผาร่างตัวเองไปแล้ว แต่เพียงเขาเอ่ยว่าเป็นนาย ในใจนางรู้สึกหวานล้ำขึ้นมาอีกระลอก พลางเอ่ยตอบอย่างนุ่มนวล “หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ เป็นหม่อมฉันที่วู่วามเองเพคะ”

ริมฝีปากบางของเซียวจิ้งเป่ยยกขึ้นเล็กน้อย เผยรอยยิ้มที่งดงาม และเอ่ยขึ้นเบาๆ  “ไม่เป็นไร”

หลี่เยียนเอ๋อร์รู้สึกราวกับว่านางได้ดื่มน้ำผึ้ง พลางเอ่ยเสียงหวาน “ท่านอ๋อง หม่อมฉันจะชงชาบำรุงร่างกายให้ท่านนะเพคะ...”

“ไม่จำเป็น ข้ายังมีธุระที่ต้องจัดการ ข้าคงต้องกลับเรือนก่อน” เซียวจิ้งเป่ยพลางก้าวเดินจากไปด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก

หัวใจของหลี่เยียนเอ๋อร์พลันจมดิ่งลงในทันที จากจักรวรรดิอุดรมายังเมืองหลวง เขาได้ปฏิบัติต่อนางด้วยความสุภาพมาตลอดทาง เฉกเช่นกำลังดูแลน้องสาว ความสัมพันธ์เช่นนี้ทำให้นางร้อนใจอย่างมาก เดิมคิดว่าเมื่อมายังจวนอ๋องแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคงจะใกล้ชิดขึ้นมาอีกหน่อย แต่ที่ไหนได้กลับยังคงทำเหมือนทำพอเป็นพิธีเท่านั้น

ในใจนางเองไม่อาจยอมรับได้ จึงมีแต่โทสะอยู่เต็มอก แต่มันก็ทำให้นางมีความคิดที่แน่วแน่มากขึ้นว่า จะต้องให้เจียงเว่ยหว่านตายให้ได้!

.....

เจียงเว่ยหว่านกลับไปที่เรือนติงอย่างสงบนิ่ง ชิงเหมยและสาวใช้อีกหลายคนก็ได้เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว และเมื่อพวกเขาเห็นนางกลับมา พวกนางก็รีบออกไปต้อนรับ

“คุณหนู เหตุใดท่านต้องไปผิดใจกับแม่นางหลี่เยียนเอ๋อร์เพียงเพราะสาวใช้ด้วยเล่า”

เจียงเว่ยหว่านเข้าไปยังโถงบุปผา และนั่งลงบนเตียงอย่างสง่างาม ดวงตาอันงดงามมองไปรอบๆสาวใช้ที่มีแต่รอยฟกช้ำดำเขียว พลันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่กลัวหลี่เยียนเอ๋อร์ ส่วนพวกเจ้าเองก็อย่าได้ส่งเสริมให้ผู้อื่นมีอำนาจ แต่กลับดูถูกความสามารถของตน คุณหนูของพวกเจ้าเป็นถึงพระชายาแห่งจวนอ๋องฉิน หากคราวหน้าพวกเขากล้ามาหาเรื่องพวกเจ้า พวกเจ้าก็จงลงมือตอบโต้กลับไป”

ชิงเหมยมองดูคุณหนูตรงหน้านาง จนตกใจไปเล็กน้อย คุณหนูที่อยู่ตรงหน้านางดูเหมือนจะแตกต่างออกไป ก่อนหน้านี้คุณหนูยอมทนต่อการกลั่นแกล้งโดยไม่กล้าแม้แต่จะหลั่งน้ำตา นางทำเพียงแอบร้องไห้อยู่ใต้ผ้าห่มคนเดียวอย่างเงียบๆ เมื่อใดกันที่คุณหนูมีท่าทีเย่อหยิ่งเพียงนี้

นางเงยเงยหน้ามองคนที่นอนบนเตียงอย่างระมัดระวัง รูปลักษณ์ของคุณหนูไม่เปลี่ยนแปลง รอยดำบนใบหน้าก็ยังคงอยู่เช่นนั้น แต่ดวงตาคู่นั้นที่สดใสของนางกลับแลดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเมื่อก่อน และก็ไม่ได้น่าอดสูถึงเพียงนั้นแล้ว อีกทั้งทั่วร่างของนางยังคล้ายว่าเต็มไปด้วยสง่างามอีกด้วย

ขณะที่ชิงเหมยเกิดความสับสน นางก็ได้ยินสาวใช้คนอื่นเอ่ยเบาๆว่า “คุณหนู บ่าวได้ยินมาว่าหลี่เยียนเอ๋อร์ผู้นี้ได้ช่วยชีวิตท่านอ๋องเอาไว้ ท่านอ๋องให้ความสำคัญกับนางมาก และยังได้ยินว่าท่านอ๋องมีความรู้สึกบางอย่างต่อนางอีกด้วย เป็นไปได้ว่า...”

“เป็นไปได้ว่าอะไร?” เจียงเว่ยหว่านเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อนึกถึงเซียวจิ้งเป่ยที่ไม่รักษาคำพูดและเอาแต่ปกป้องหญิงหน้าซื่อใจคดผู้นั้น ก็ทำเอานางไม่สบอารมณ์ขึ้นมาในทันที จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า แต่ในยามนี้หลี่เยียนเอ๋อร์ผู้นี้มิอาจมาแทนที่คุณหนูของพวกเจ้าได้ พวกเจ้าวางใจเถิด ตราบใดที่ข้ายังอยู่ในจวนอ๋อง ก็จะไม่มีที่ให้นางอย่างแน่นอน”

ชิงเหมยพยักหน้าอย่างแรง “คุณหนู แต่พวกบ่าวก็ยังกลัวว่าท่านจะเสียเปรียบ”

ดวงตาของเจียงเว่ยหว่านตกลงบนใบหน้าที่เขียวช้ำของชิงเหมย ในใจก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก หากชิงเหมยไม่ได้ติดร่างแหไปกับตน นางเองก็คงไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้

“เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง” เจียงเว่ยหว่านลุกขึ้นจากเตียง ก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของชิงเหมย เมื่อปลายนิ้วเพิ่งสัมผัสมือของนาง ก็ทำเอารู้สึกร้อนผ่าวราวกับถูกไฟลวกอย่างไรอย่างนั้น

เจียงเว่ยหว่านส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ “เหตุใดร้อนถึงเพียงนี้ เจ้ามีไข้หรือ?”

ในยามนี้นางเพิ่งจะได้เห็นใบหน้าของชิงเหมยอย่างชัดเจน ริมฝีปากซีดขาวไร้สีเลือดคล้ายกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง

ดูเหมือนว่าแผลจะอักเสบแล้ว

เจียงเว่ยหว่านให้ชิงเหมยนอนลงบนเตียงทันที และตรวจร่างกายให้แก่นางอย่างละเอียด

ชิงเหมยไม่ยินยอม “บ่าวไปหาหมอเองได้เจ้าค่ะ จะให้คุณหนูมาดูอาการให้บ่าวได้เช่นไรเจ้าคะ!”

นางปฏิเสธทุกวิถีทาง แต่กลับคิดไม่ถึงร่างกายจะทนไม่ไหว จนขาอ่อนแรงขาและหมดสติไป

เจียงเว่ยหว่านเลิกแขนเสื้อและขากางเกงของชิงเหมยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน จึงได้พบบาดแผลที่ขาของนาง ไม่รู้ว่าได้รับบาดเจ็บจากอะไร จนเผยให้เห็นกระดูกสีขาวที่น่าสยดสยองและน่ากลัวเป็นพิเศษ

ขอบตาของเจียงเว่ยหว่านแดงขึ้นเล็กน้อย และคับแน่นในอกจนยากจะรับได้ หลี่เยียนเอ๋อร์ผู้นี้โหดร้ายยิ่งนักมาก แม้แต่สาวใช้ที่บริสุทธิ์ผู้หนึ่งยังไม่ยอมปล่อยไป

นางให้สาวใช้ทั้งหลายออกไป จากนั้นจึงเริ่มรักษาบาดแผลให้กับชิงเหมย

เมื่อรอบข้างไร้ผู้คน เจียงเว่ยหว่านจึงได้วางใจกล้าใช้อุปกรณ์การแพทย์ในปัจจุบันที่อยู่ในห้วงแห่งกาลเวลา โดยการฉีดยาชาให้ชิงเหมย ฆ่าเชื้อและทำการเย็บบาดแผล จากนั้นก็ให้น้ำเกลือเพื่อลดการอักเสบและลดไข้

ขั้นตอนต่อมาก็ได้เวลารับประทานอาหารแล้ว

แม่นมของจวนอ๋องก็ได้นำอาหารกลางวันมาส่งให้เจียงเว่ยหว่านและคนอื่นๆ

เจียงเว่ยหว่านรีบปลุกชิงเหมยให้ตื่น เพื่อให้นางลุกขึ้นไปกินข้าว เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส นางจึงจำต้องบำรุงอาหารให้มากขึ้น มิฉะนั้นร่างกายของชิงเหมยคงไม่อาจทนได้

ชิงเหมยตื่นขึ้นมาอย่างอ่อนแรง ไข้ได้ทุเลาลงแล้ว

เจียงเว่ยหว่านนายและบ่าวอีกหลายคนก็ไปที่โต๊ะแปดเซียนเพื่อทานอาหารร่วมกัน แต่เมื่อนางเห็นอาหารที่ส่งกลิ่นเหม็นอยู่บนโต๊ะ ความโกรธของนางก็ปะทุขึ้นมาอีกครั้งในทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์