แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์ นิยาย บท 16

 ตอนที่ 16 คุกเข่าแต่โดยดี

 เมื่อเซียวจิ้งเป่ยกลับมายังห้องตำรา จากนั้นไม่นานจางหานก็รีบกลับมารายงาน

เซียวจิ้งเป่ยยืนอยู่หน้าชั้นหนังสืออย่างไม่ทุกข์ร้อน พลิกเปิดดูตำราเก่าแก่โบราณ เปิดพลิกไปมาทีละหน้า แล้วถามอย่างใจเย็นว่า “ตรวจสอบชัดเจนแล้วหรือ?”

จางหานสองมือประสานคำนับ และค้อมกายมาตรงหน้าเขา พลันเอ่ยรายงาน “นายท่านข้าน้อยตรงสอบชัดแล้วพะยะค่ะ ว่าคนจากห้องครัวได้มีเจตนาจะสั่งสอนพระชายา จนชิงเหมยสาวใช้ข้างกายหมดสติไปเพราะความหิวโหย พระชายาเองก็อับจนหนทาง จึงจำใจต้องนำปิ่นปักผมไข่มุกของตนไปแลกเปลี่ยนเป็นอาหาร”

“นำปิ่นปักผมมุกของตนไปจำนำเพื่อสาวใช้ผู้หนึ่งหรือ?” เซียวจิ้งเป่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเผยสีหน้าเหลือเชื่อ “นางมีเมตตาถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”

จางหานเอ่ยตามความจริง “ข้าน้อยได้ตรวจสอบชัดเจนแล้วพะยะค่ะ เป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน”

เซียวจิ้งเป่ยปิดตำราเก่าแก่ด้วยท่วงท่าสง่างาม บนใบหน้าหล่อเหลาปรากฏสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พลางหรี่ตาคมอย่างครุ่นคิด เจียงเว่ยหว่านผู้นี้เป็นคนเช่นใดกัน เพื่อที่จะปกป้องสาวใช้ ก็ไม่ลังเลที่จะต้องทิ้งปิ่นปักผมไข่มุกของตน จนกระทั่งว่ามีปากเสียงใหญ่โตเพียงเพื่อสาวใช้ผู้หนึ่งได้

เขามีความคิดบางอย่างที่ไม่อาจไขกระจ่างได้ พลันหมุนกายไปมองจางหานด้วยดวงตาคู่งามอย่างไม่ยินดียินร้าย

“เจ้าว่าเหตุใดนางต้องทำเช่นนี้”

จางหานกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “ข้าน้อยบอกได้เพียงว่าพระชายาแม้มีนิสัยที่แข็งกร้าว แต่กลับมีจิตใจที่เมตตา สามารถขายเครื่องประดับเพื่อสาวใช้ผู้หนึ่งได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่านางมีความเห็นอกเห็นใจ และมีใจที่รักพวกพ้อง คนเช่นนี้ก็ถือว่าดีพอสมควร”

“อืม” เซียวจิ้งเป่ยพยักหน้าเบาๆ ราวกับว่าเห็นด้วยกับข้อคิดเห็นของเขา

ยามนี้เซียวจิ้งเป่ยถึงได้รู้แล้วว่าตนเข้าใจเจียงเว่ยหว่านผิดไป นางไหนเลยจะเป็นคนไร้กฏระเบียบ นางเพียงแต่ถูกรังแกเท่านั้น จึงจำใจต้องตอบโต้กลับ กระต่ายเมื่อเข้าตาจนก็กัดคนได้ นับประสาอันใดกับคนผู้หนึ่ง

เขาวางตำราเก่าแก่ไว้บนชั้นหนังสือ และหันไปเอ่ยกับจางหานเสียงเย็นชา “สั่งการลงไป คนของจวนอ๋องไม่อนุญาตให้เข้มงวดกับอาหารการกินและเสื้อผ้าของนาง หากยังมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ก็ให้ขับไล่บ่าวที่ไม่เชื่อฟังพวกนั้นออกไปจากจวนอ๋องเสีย”

“พะยะค่ะ”

....

เจียงเว่ยหว่านถือซาลาเปาและหมั่นโถวที่สกปรกกลับไปยังเรือนติง

เมื่อชิงเหมยเห็นคุณหนูของตนถือซาลาเปาและหมั่นโถวที่สกปรกกลับมาอย่างระมัดระวัง นางอดที่จะทุกข์ใจไม่ได้ และรีบเข้าไปรับนาง

“คุณหนู ท่านจะกลุ้มใจไปไย พวกบ่าวทนหิวไม่กี่มื้อได้สบายเจ้าค่ะ”

เจียงเว่ยหว่านนำชิงเหมยและสาวใช้อีกหลายคนกลับไปยังโถงบุปผาและล้วงซาลาเปาและหมั่นโถวออกมาจากอกเพื่อให้พวกนางแบ่งกัน

“พวกเจ้าก็ลอกชั้นที่สกปรกด้านนอกทิ้งและกินส่วนที่สะอาดข้างใน วันนี้ก็กินให้อิ่มกันไปก่อน วันรุ่งขึ้นข้าจะคิดหาวิธีอีก”

ชิงเหมยมองเจียงเว่ยหว่านด้วยน้ำตาคลอเบ้า “คุณหนู ปล่อยให้พวกบ่าวคิดหาทางเองเถิด พวกเราสามารถรับงานเย็บปักถักร้อยและนำไปแลกเป็นเงินได้ ตอนแรกยามที่อยู่จวนโหวพวกบ่าวก็ผ่านพ้นกันมาเช่นนี้”

ขอบตาของเจียงเว่ยหว่านร้อนผ่าวและรู้สึกอึดอัดอย่างมาก เจ้าของร่างเดิมผู้นี้ช่างน่าสงสารเกินไปแล้ว ดีเลวอย่างไรก็เป็นถึงคุณหนูจากภรรยาเอกของจวนโหว แต่กลับได้รับการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรม แถมตอนนี้แต่งเข้ามายังจวนอ๋องแล้ว สถานการณ์กลับยิ่งแย่ลงไปอีก

แต่อย่างไรก็ตามนางก็จะไม่ท้อถอย และเอ่ยอย่างฮึกเหิมว่า “ชิงเหมยสบายใจได้ สถานการณ์ในตอนนี้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น ในภายภาคหน้าพวกเราจะต้องลืมตาอ้าปากได้และมีช่วงเวลาที่ดีอย่างแน่นอน”

ชิงเหมยพยักหน้าอย่างหนักแน่น

ขณะที่นายและบ่าวอีกหลายคนกำลังสนทนากัน หมิงเอ๋อร์ก็ได้พาแม่นมหลิวเข้ามา

“พระชายา บ่าวมาเพื่อขออภัยท่าน”

เจียงเว่ยหว่านหันไปมอง ก็พบกับหมิงเอ๋อร์ที่เร่งรีบเข้ามาพร้อมกับสาวใช้ที่ถือถาดอยู่ในมือ

บนถาดมีผ้าแพรผ้าต่วนวางบนนั้น และเงินทองพร้อมกับเครื่องประดับอีกบางส่วน ส่วนบ่าวที่อยู่ข้างหลังอีกหลายคนก็มาพร้อมกับอาหารอันโอชะที่วางอยู่บนถาด

เจียงเว่ยหว่านอดขมวดคิ้วไม่ได้ และมองหมิงเอ๋อร์ที่ยิ้มแย้มอยู่ด้วยสีหน้าที่ยากจะอธิบาย

“พระชายา บ่าวนำสิ่งของมาขอภัยท่าน แม่นมหลิวผู้นี้กำเริบเสิบสานถึงขั้นกล้าส่งเศษอาหารมาให้ท่าน บ่าวได้อบรมสั่งสอนนางไปแล้ว และรับรองว่าจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกเพคะ”

หมิงเอ๋อร์ทำสีหน้าไร้เดียงสา “เมื่อครู่ท่านอ๋องมาสอบถามบ่าว บ่าวจึงได้รู้เรื่องนี้เพคะ แม่นมหลิวผู้นี้สมควรตายจริงๆ เพราะกระทำที่บังอาจเหิมเกริม”

“นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งของรายเดือนของพระชายา บ่าวจะให้คนนำมาส่งให้ท่าน หากขาดเหลือสิ่งใด ท่านก็โปรดบอกบ่าวมา บ่าวจะรีบนำมาให้ท่านในทันที”

เจียงเว่ยหว่านไม่ได้ฟังให้ชัดเจนว่านางเอ่ยสิ่งใดมาบ้าง แต่เมื่อนางได้ยินว่าท่านอ๋องไปสอบถาม นางก็อดไม่ได้ที่จะสับสนอย่างยิ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเซียวจิ้งเป่ยจะไม่รู้ว่าแม่นมหลิวทำเรื่องอะไรลงไป ดูเหมือนว่าเซียวจิ้งเป่ยผู้นี้ยังพอรู้ความอยู่บ้าง ทั้งยังไม่ได้น่ารังเกียจถึงเพียงนี้

ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด หมิงเอ๋อร์ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

“พระชายา เรื่องระหว่างสตรีอย่างพวกเรานั้น ควรให้ท่านอ๋องรับรู้ให้น้อยลงจะดีกว่า หากพูดให้น่าฟังหน่อยก็คือท่านใช้วิธีแทงข้างหลังผู้อื่น แต่หากพูดอย่างไม่น่าฟังก็คือท่านเป็นถึงพระชายากลับไร้ความสามารถ มิอาจควบคุมคนในจวนได้”

ขณะที่เจียงเว่ยหว่านมองใบหน้าที่หน้าไหว้หลังหลอกของหมิงเอ๋อร์ ในใจก็รู้สึกขุ่นเคืองอย่างมาก ยิ้มเย็นเอ่ย “บ่าวเช่นเจ้ากล้าพูดว่าพระชายาเช่นข้าไร้ความสามารถเชียวหรือ นี่เจ้ากินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร!”

นางเอ่ยขึ้นเสียงแข็ง

หมิงเอ๋อร์ตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นค่อยได้สติกลับมา และพยายามฝืนยิ้ม “เป็นบ่าวที่เสียมรรยาทเองเพคะ”

รอยยิ้มกระจายไปทั่วใบหน้าของนาง แต่สองมือกลับกำหมัดไว้แน่น เส้นเลือดบนหลังมือพลันเต้นตุบตุบ “พระชายา อย่าได้คิดว่าการที่ท่านอ๋องไว้หน้าท่าน จะทำให้ท่านคิดว่าตนนั้นยอดเยี่ยมเล่า ท่านจะได้นั่งในตำแหน่งพระชายาอย่างมั่นคงหรือไม่ก็ยังไม่แน่ อย่าได้เอาแต่ใช้ตำแหน่งพระชายามากดขี่ข่มเหงบ่าวรับใช้เลยเพคะ”

เมื่อเผชิญหน้ากับการยั่วยุของหมิงเอ๋อร์ เจียงเว่ยหว่านหรี่ตาหงส์ลงเล็กน้อย และเอ่ยเยาะเย้ย “ในที่สุดก็หยุดเสแสร้งและเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าออกมาแล้วสินะ เจ้าฟังข้านะ หากข้าอยู่ในจวนอ๋องหนึ่งต่อไป ข้าก็ถือว่ายังเป็นพระชายาอยู่ หากว่าเจ้าไม่เชื่อฟังข้า ก็รอให้เจ้ามีความสามารถที่จะเป็นพระชายาให้ก่อนได้ ค่อยมาคุยโวโอ้อวด มิฉะนั้นเจ้าก็จะเป็นบ่าวที่มีสถานะต่ำต้อยตลอดไป”

หมิงเอ๋อร์โกรธเหมือนมีไฟมาสุมในอก ใช้สายตาคู่นั้นจ้องมองเจียงเว่ยหว่านอย่างร้ายกาจ “ท่านอย่าได้รังแกผู้อื่นให้มากจนเกินไป”

เจียงเว่ยหว่านยิ้มอย่างเบิกบาน “ข้ารังแกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า? หรือเจ้าที่เพียงบ่าวคนหนึ่งยังคิดจะตบตีข้าหรือ?”

หมิงเอ๋อร์สั่นสะท้านไปทั้งทรวง ทำได้เพียงกัดริมฝีปากแดงสดเอาไว้ และเอ่ยอย่างเคียดแค้น “พระชายา เช่นนั้นก็รอดูกันไปเถิด!”

น้ำเสียงอวดดีอย่างมาก ราวกับไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตานางทั้งสิ้น

หมิงเอ๋อร์หันหลังกลับด้วยความโกรธ เตรียมที่จะพาพวกบ่าวรับใช้กลับไป

“ช้าก่อน...” เจียงเว่ยหว่านเรียกหมิงเอ๋อร์จากทางด้านหลัง

หมิงเอ๋อร์หันกลับมามองนางด้วยใบหน้าที่ยากอธิบาย แต่กลับเห็นเจียงเว่ยหว่านยกขาขึ้นและเตะเข้าที่หัวเข่าของนางโดยตรง นางร่ำร้องอย่างเจ็บปวด และคุกเข่าลงในทันที นางทั้งตกใจ ทั้งโกรธและทั้งเกลียด ในขณะที่กำลังจะลุกขึ้น แผงไหล่กลับถูกเจียงเว่ยหว่านกดเอาไว้อย่างโหดเหี้ยม จนนางไม่อาจลุกขึ้นได้เลย

“สาวใช้อย่างเจ้าช่างกล้าหาญเหลือเกิน เมื่อครู่พบข้าแต่กลับไม่ยอมคุกเข่า ตอนนี้ข้าจึงจะลงโทษเจ้าด้วยการให้คุกเข่าไปสามชั่วยาม ไม่เช่นนั้นข้าก็จะขอไปไถ่ถามท่านอ๋องเสียหน่อย ว่าบ่าวรับใช้อย่างเจ้านั้นหามาจากที่ใด จึงได้อาจหาญไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเช่นนี้”

หมิงเอ๋อร์โกรธมากจนใบหน้าเปลี่ยนสี นางกลัวท่านอ๋องมากที่สุดแล้ว ดังนั้นนางจึงได้แต่ต้องคุกเข่านิ่งๆ เป็นเพราะเรื่องที่เจียงเว่ยหว่านไม่ได้รับสิ่งของรายเดือน เมื่อครู่ท่านอ๋องก็ได้ส่งคนไปถามนางแล้ว

หากว่าก่อเรื่องต่อหน้าท่านอ๋อง อำนาจในการจัดการเรือนหลังนั้นคาดว่าคงจะคงจะถูกแย่งไปแน่

นางจึงทำได้เพียงอดทนและมองเจียงเว่ยหว่านด้วยความเดือดดาล “ท่าน ท่านใช้อำนาจข่มเหงข้า”

“แล้วอย่างไรเล่า?” เจียงเว่ยหว่านเชยคางที่งดงามของนางขึ้น และเหลือบมองนางอย่างเย็นชา “ทางที่ดีเจ้าควรจะคุกเข่าให้ดูจริงใจเสียหน่อย ไม่เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าไม่เกรงใจแล้วกัน”

ในขณะที่หมิงเอ๋อร์คุกเข่าอยู่ ทุกคนที่อยู่ข้างหลังนางก็คุกเข่าลงไป และต่างก็ก้มหัวลงด้วยความหวาดกลัวและกระวนกระวาย

เจียงเว่ยหว่านชำเลืองมองพวกนางแวบหนึ่ง และหันไปชำเลืองมองชิงเหมยแวบหนึ่ง และเอ่ยเสียงเรียบ “เก็บข้าวของให้เรียบร้อย และให้พวกนางคุกเข่าให้ดีต่อไปเถิด พวกเรากลับไปที่ห้องก่อน”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์