แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์ นิยาย บท 6

            ตอนที่ 6 คุณชายรูปงาม

          “ท่านอ๋องคิดว่าอย่างไร”

เจียงเว่ยหว่านค่อยๆถามขึ้น ดวงตาคู่สวยหรี่ลงจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้า ทั้งๆริมฝีปากบางของเขามีรอยยิ้มจางๆอยู่ แต่ว่าวินาทีต่อมากลับเปลี่ยนสีหน้าไป ดวงตาที่คมกริบราวกับตาเหยี่ยวจ้องมองนางเขม็ง 

สายตาของเขาคมกริบมาก จ้องจนเจียงเว่ยหว่านรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ

“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไร ไม่ว่าเงื่อนไขอะไรเจ้าก็เสนอได้อย่างนั้นหรือ”

เขาเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย พูดเสียงเย็นว่า “เรื่องของข้าก็ต้องผ่านเจ้าด้วยอย่างนั้นหรือ”

เจียงเว่ยหว่านเข้าใจขึ้นมาทันที รู้แล้วว่าทำไมท่านอ๋องคนนี้ถึงได้อารมณ์ฉุนเฉียวนัก เพราะไม่ชอบให้นางยุ่งเรื่องที่เขาจะรับอนุภรรยา เห็นทีเขากับหลี่เยียนเอ๋อร์คนนั้นจะรักกันจริงๆ 

ริมฝีปากบางของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มหัวเราะเยาะ ตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้ข้าต่างหากที่เป็นภรรยาของท่าน ตั้งแต่โบราณไม่ว่าจะเป็นฮ่องเต้หรือขุนนาง หรือไม่ว่าจะเป็นลูกหลานของราชวงศ์เรื่องการรับอนุภรรยาต้องผ่านการยินยอมจากภรรยาหลวงก่อน เพื่อความสงบสุขของหลังบ้าน การที่ท่านอ๋องจะรับอนุภรรยาย่อมต้องผ่านการอนุญาตจากข้า ไม่เช่นนั้นท่านรับเข้ามาหนึ่งคนข้าก็จะขับไล่ออกไปหนึ่งคน”

เซียวจิ้งเป่ยนั่งอยู่ด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ดวงตาคู่งามของเขาไม่ได้ละสายตาไปจากนาง ตอนนี้เจียงเว่ยหว่านมองไม่ออกว่าเขาคิดอย่างไร แต่ดวงตาที่มีแววเย็นยะเยือกนั้นทำให้นางรู้สึกตัวสั่นขึ้นมา 

แม้ว่าเขาจะโกรธ แม้ว่าในใจของเจียงเว่ยหว่านจะรู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่นางก็ต้องพูด 

“ท่านอ๋อง จะให้ข้าร่วมมือกับท่านในการเล่นละครตบตาคนภายนอก มันต้องใช้ชื่อเสียงของข้าทั้งชีวิต ท่านให้ข้าเสียสละอย่างหนักอึ้งเช่นนี้ เช่นนั้นท่านก็ต้องเสียสละบ้าง เช่นนี้จึงจะยุติธรรม”

มุมปากของเซียวจิ้งเป่ยหยักขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “เสียสละ? ยุติธรรม?”

เขาจ้องมองนางด้วยสายตาดุดัน “เจ้าช่างปากดีจริงๆ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆให้สุนัขมันกินหรือ”

น้ำเสียงเจือปนไปด้วยความเย็นชาที่แทรกซึมเข้ามาในใจ 

เจียงเว่ยหว่านรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วทั้งร่าง หนาวมาก ในใจเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา แม้ในใจจะรู้สึกกลัว แต่ใบหน้าก็ยังคงแสดงออกถึงความแน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจ

“เช่นนั้นฟังแล้วทำตามก็พอ”

นางสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา เอ่ยออกมาทีละคำว่า “ก็เหมือนที่ท่านอ๋องพูด พวกเราได้รับพระราชทานงานแต่งจากฮ่องเต้ เป็นประกาศิตอันสูงส่ง ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้า ท่านจะทูลกับฮ่องเต้ว่าอย่างไร ดังนั้นท่านอ๋องรับปากเงื่อนไขข้าดีกว่า นี่ล้วนเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งสิ้น”

เซียวจิ้งเป่ยจ้องมองหญิงสาวฝีปากกล้าที่อยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะดูอย่างไรนางก็ไม่เหมือนเจียงเว่ยหว่านที่ร่ำลือกัน ทำเสียงขึ้นจมูก 

“ทำไมข้าต้องตอบตกลงเจ้าด้วยเล่า”

ริมฝีปากบางของเจียงเว่ยหว่านโค้งขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มมั่นใจ

“ท่านอ๋อง ถ้าหากท่านไม่ยอมรับเงื่อนไขของข้า เช่นนั้นข้าก็จะนำเรื่องไปทูลต่อหน้าฮ่องเต้ คนนอกก็จะรู้ว่าช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าหากข้าเดาไม่ผิด ท่านหลีกเลี่ยงไม่อยากให้ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าท่านเป็นอย่างไรกระมัง”

“ชิ ชีวิตต่ำต้อยขอข้า หากเกิดเรื่องใหญ่โต ถูกด่าสักหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ท่านที่ถูกทะนุถนอมอย่างดี......หึ มีฐานะสูงส่ง แต่ต้องถูกเรียกตัวเข้าไปตำหนิในห้องทรงพระอักษรทุกวัน ก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะรังเกียจหรือไม่”

“เจียงเว่ยหว่าน” เซียวจิ้งเป่ยดุนางเสียงเย็น “เจ้ามันผู้หญิงบ้า”

เซียวจิ้งเป่ยรู้สึกโกรธมาก สายตาเย็นชาจ้องเขม็ง เห็นเพียงแค่นางที่ยืนอยู่ท่ามกลางแสงนวลอ่อน แม้ใบหน้าจะอัปลักษณ์ แต่กลับเผยให้เห็นถึงรัศมีที่แตกต่างออกไป เมื่อเผชิญหน้ากับความโกรธของเขา นางกลับดูสงบนิ่งมาก สายตาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ 

เขาคิดไปถึงว่าหากเจียงเว่ยหว่านหาเรื่องจนครอบครัวไม่สงบ ทุกคนต่างก็รู้เรื่อง เช่นนั้นจะนำมาซึ่งความยุ่งยากไม่น้อย 

อีกอย่างเงื่อนไขที่นางเสนอมา ก็สามารถทำให้หลังบ้านของจวนอ๋องสงบสุขได้บ้าง ทำไมเขาต้องมีโทสะกับผู้หญิงคนนี้ด้วย 

ในเมื่อโยนนางไปที่หลังบ้านก็เป็นเรื่องที่ทำให้สงบไร้ปัญหาที่สุด

ใบหน้าหล่อเหล่าของเซียวจิ้งเป่ยมีแววรังเกียจวาบผ่านโดยที่คนข้างๆไม่ทันจะสังเกตเห็น พูดเสียงเย็นว่า “เช่นนั้นก็ทำอย่างที่เจ้าว่า และข้าขอเตือนเจ้าสักหน่อย เจ้าทำหน้าที่พระชายาอ๋องฉินของเจ้าให้ดี อย่าหาเรื่องให้ข้า และทางที่ดีอย่าได้หาเรื่องเหยียนเอ๋อร์ ไม่เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไร้ความเมตตา”

เจียงเว่ยหว่านแทบจะกลอกตามองบน ที่แท้ในใจของท่านอ๋องคนนี้ก็คิดถึงแต่นางในดวงใจ ถึงว่าจึงได้เอาแต่ถกเถียงกับนาง นางก็ไม่อยากตอบโต้ด้วย แค่ยิ้มอ่อนๆ

“ข้าน้อยจะจดจำให้ขึ้นใจ ข้าน้อยจะอยู่แสดงละครเป็นเพื่อนท่านในจวน แต่ว่านางในดวงใจของท่าน ทางที่ดีท่านต้องควบคุมนางให้ได้ อย่าให้นางมายุ่งกับข้า ไม่เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าใจร้าย”

พูดจบ นางก็ไม่ให้โอกาสเซียวจิ้งเป่ยได้ตอบโต้ หมุนตัวเดินจากไป ทิ้งเขาให้นั่งอยู่คนเดียวในห้องโถงใหญ่ 

เซียวจิ้งเป่ยมองดูเงาร่างของนางที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว คิ้วขมวดแน่น ริมฝีปากกระตุกเล็กน้อย พึมพำกับตนเองว่า “นางในดวงใจหมายถึงหลี่เยียนเอ๋อร์หรือ”

แต่เขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องไร้สาระเหล่านี้ แต่ได้สั่งการกับจางหานที่อยู่ข้างนอกว่า “เข้ามา”

จางหานเอาแต่ตามหาหญิงงามที่ให้ความช่วยเหลือท่านอ๋องเมื่อคืน เขาไม่ได้นอนมาคืนหนึ่งแล้ว สีหน้าค่อนข้างซีดเซียว ท่าทีเหนื่อยล้า แต่เขาก็ยังคงทำตัวกระตือรือร้นเหมือนเดิม เดินไปตรงหน้าเซียวจิ้งเป่ยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำการคำนับ 

“นายท่าน ข้าน้อยได้พาคนตามหาคนทั่วเมืองหลวงแล้ว แต่ก็ยังหาแม่นางคนนั้นไม่เจอ”

เซียวจิ้งเป่ยหยิบเอาหยกที่ถูกแกะสลักเป็นลายเมฆอย่างประณีตชิ้นหนึ่งออกมาจากอก ใช้มือลูบลวดลายบนหยกอย่างช้าๆ ดวงตาหรี่เล็กลง พูดเสียงเรียบว่า “ไปตรวจสอบที่มาของหยกชิ้นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะหานางพบก็ได้”

“นายท่าน หยกที่มีลวดลายสวยงามเช่นนี้มีอยู่ทั่วเมืองหลวงไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แม้จะหาที่มาของหยกพบ แต่ก็หาแม่นางคนเมื่อคืนพบได้ยากมาก” จางหานเอ่ยสิ่งที่ตนเป็นกังวลออกมา 

ใบหน้าหล่อเหล่าของเซียวจิ้งเป่ยขรึมลงเล็กน้อย “แม้ต้องพลิกแผ่นดินเมืองหลวงในการตามหา ก็ต้องหานางให้เจอ ฝีมือทางการแพทย์ของนางถึงขั้นยอดเยี่ยมสูงสุดแล้ว ถ้าหากนางสามารถถ่ายทอดวิชาการแพทย์ให้กับท่านหมอในกองทัพได้ เช่นนั้นทหารของเราที่จะต่อสู้ในสนามรบก็ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงกังวลแล้ว”

ครั้งนี้เซียวจิ้งเป่ยได้ทำสงครามกับคนของจักรวรรดิอุดรที่ชายแดน จนได้รับบาดเจ็บสาหัส เอาชีวิตรอดกลับมาที่ค่ายทหารได้อย่างหวุดหวิด  รีบขี่ม้าเร็วกลับมารักษาตัวในเมืองหลวง แต่ก็อดทนไม่ไหว แม้ว่าหลี่เยียนเอ๋อร์จะช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่ก็ทำให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ไม่กี่วัน 

หมอเทวดาหญิงคนเมื่อคืนนี้ ไม่เพียงแต่ทำการห้ามเลือดให้เขา อีกทั้งยังมีวิชาเปลี่ยนถ่ายเลือดทำให้เขารอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤต วันนี้บาดแผลบนร่างกายของเขาดีขึ้นมาไม่น้อย 

หมอเทวดาเช่นนี้ เขาต้องตามหานางให้พบ ไม่เพียงแต่เพื่อที่จะขอบคุณ ยิ่งไปกว่านั้นคือเพื่อผู้คนในใต้หล้านี้ 

จางหานเข้าใจความหมายของเซียวจิ้งเป่ย ได้ทำการโค้งคำนับให้เขา 

“ข้าน้อยจะตามหาเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เดี๋ยวก่อน......” เซียวจิ้งเป่ยเรียกตัวจางหานเอาไว้เบาๆ เขาชะงักฝีเท้าเอาไว้ ได้ยินเสียงเย็นชาของท่านอ๋องพูดขึ้นมาว่า “กิจวัตรทุกอย่างของหลี่เยียนเอ๋อร์ต้องสังเกตการณ์อย่างลับๆ ดูซิว่านางใกล้ชิดกับใครบ้าง คนที่ใกล้ชิดกับนางเหล่านั้นก็ต้องเฝ้าสังเกตการณ์ตลอดคืน”

ใบหน้าหล่อเหลาของเซียวจิ้งเป่ยถูกครอบคลุมไปด้วยความเย็นชา น้ำเสียงหนักแน่นมาก 

“ข้าจะต้องลากคอคนที่สมคบคิดกับศัตรูและขายชาติออกมาให้ได้”

หลี่เยียนเอ๋อร์เป็นสายลับของจักรวรรดิอุดร จางหานรู้เรื่องนี้ดี จุดประสงค์ที่ท่านอ๋องเก็บนางเอาไว้ เพราะคิดที่จะใช้นางในการจับตัวขุนนางใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงและสมคบคิดกับศัตรู เรื่องนี้สำคัญมาก จะให้ผิดพลาดไม่ได้เลยแม้แต่น้อย 

“พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยรับบัญชา” จางหานรับคำสั่งด้วยท่าทีเคร่งขรึมและจากไป 

เซียวจิ้งเป่ยนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่เพียงลำพัง แสงอ่อนโยนล้อมรอบตัวเขา ทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขายิ่งไร้ที่ติมากยิ่งขึ้น เวลานี้เขาหรี่ดวงตาลง ลูบหยกชิ้นนั้นของเจียงเว่ยหว่าน จมดิ่งสู่ห้วงความคิด 

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์