แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์ นิยาย บท 8

            ตอนที่ 8 ขอโทษขอโพย

          เมื่อเห็นว่าผู้ดูแลร้านปฏิเสธนาง เจียงเว่ยหว่านกำลังจะเอ่ยปากยืนยันความสามารถของตนเอง แต่ถูกผู้ดูแลร้านหัวเราะเยาะขึ้นมา 

“ตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้ายังรู้จักยาไม่หมดเลย ข้าใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้อย่างลำบาก จึงมาเป็นหมอได้ เจ้าดูเจ้าซิผิวพรรณเนียนละเอียด เหมือนหมอที่ไหนกัน อย่ามาพูดจาเหลวไหลแถวนี้เลย”

คำพูดที่ติดอยู่ในปากของเจียงเว่ยหว่านถูกกลืนกลับเข้าไป คนคนนี้ ช่างดูถูกกันเสียจริง 

ช่างเถอะ ช่างเถอะ 

ที่นี่ไม่รับนาง ย่อมมีที่อื่นที่ต้องการนาง 

ทันใดนั้นหน้าประตูก็มีเสียงร้องเบาๆดังขึ้น “ฮูหยิน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านหมอรีบมาดูอาการฮูหยินเร็วเข้า”

หมอของโรงหมอวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว 

เจียงเว่ยหว่านก็ตามออกไป เห็นเพียงกลุ่มคนที่ล้อมรอบตัวหญิงสูงศักดิ์ที่สวมชุดหรูหราคนหนึ่งเอาไว้ หญิงสูงศักดิ์ตอนนี้ดวงตาหรี่ปรือ เอนร่างพิงอยู่ในอ้อมอกของสาวใช้เหมือนกำลังจะตาย 

หญิงรับใช้วัยชราร้องไห้สะอื้น “ท่านหมอรีบดูอาหารให้ฮูหยินเร็วเข้า”

ท่านหมอหลี่ที่อยู่ในโรงหมอได้มาถึงตรงหน้าฮูหยินแล้ว ทำการจับชีพจรให้นาง คิ้วสีดอกเลาของเขาขมวดแน่น ลูบหนวดเคราพลางพูดว่า “ฮูหยินท่านนี้ชีพจรอ่อนมาก หายใจไม่สม่ำเสมอ เกรงว่า......”

หญิงรับใช้วัยชราควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่ ร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจออกมา “ฮูหยินท่านฟื้นซิเจ้าค่ะ ท่านอย่าทำให้บ่าวตกใจ”

เจียงเว่ยหว่านมองการแต่งตัวของพวกนาง ถ้าไม่ใช่เศรษฐีก็เป็นพวกผู้ดี นางไม่อยากหาเรื่อง แต่เมื่อเห็นท่านหมอหลี่เอาแต่ส่ายหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยแววจนปัญญา 

ด้วยสัญชาตญาณความเป็นหมอ เจียงเว่ยหว่านจึงเผลอพูดออกมาว่า 

“ฮูหยินท่านนี้ยังมีทางรักษาได้”

ท่านหมอหลี่กับชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่างก็หันไปมองเจียงเว่ยหว่าน สายตาแต่ละคู่มองนางอย่างพิจารณา

“คุณชายท่านนี้ ท่านหมอหลี่เป็นถึงหมอที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของพวกเรา เขาบอกว่าไร้ทางช่วยแล้ว ท่านจะบอกว่าท่านช่วยได้อย่างนั้นหรือ”

“ใช่ เจ้าเด็กคนนี้ทำตัวอวดดีมาก คงไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันร้ายแรงแค่ไหน เดิมทีฮูหยินท่านนี้อาการไม่ไหวอยู่แล้ว ถ้าหากถูกเขาทรมาน ไม่สามารถพบเจอญาติพี่น้องเป็นครั้งสุดท้าย หากเกิดการสืบสาวราวเรื่องขึ้นมา เขาต้องถูกฟ้องร้องคดีแน่”

“ช่างเถอะ ก็แค่คนชอบอวดดี พวกเราอย่าไปถือสาเขาเลย”

ท่านหมอหลี่มองเจียงเว่ยหว่านอย่างดูแคลนแวบหนึ่ง และหัวเราะเยาะเย้ยว่า “คุณชาย เจ้าว่าเจ้าสามารถรักษาฮูหยินได้ ถ้าหากเจ้าสามารถรักษาให้หายดีได้ ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์”

เจียงเว่ยหว่านเหลือบมองเขาด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง “โรคที่ท่านรักษาไม่หายแต่ข้ารักษาได้ ไม่ใช่ท่านหรอกหรือที่ต้องคำนับข้าเป็นอาจารย์ ทำไมกลายเป็นว่าท่านจะรับข้าเป็นศิษย์ โรคที่ข้ารักษาได้แต่ท่านรักษาไม่ได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าฝีมือการแพทย์ของข้ายอดเยี่ยมกว่าท่าน” 

ท่านหมอหลี่โกรธจนใบหน้าแดงก่ำ สะบัดแขนเสื้ออย่างแรง “เจ้าเด็กยโสโอหัง เจ้าก็รอให้เขาไปฟ้องเจ้าในศาลเถอะ”

เจียงเว่ยหว่านไม่อยากจะสนใจท่านหมอหลี่ เดินไปหาฮูหยินคนนั้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ใช้พลังจิตนำยาออกมาให้ฮูหยินกิน 

ดูจากสีหน้าม่วงคล้ำ ปากและดวงตาบิดเบี้ยว เปลือกตาหย่อนคล้อยรวมไปถึงมีอาการผิดปกติของสติสัมปชัญญะของฮูหยินแล้ว 

เจียงเว่ยหว่านมั่นใจว่าฮูหยินท่านนี้น่าจะเกิดอาการสมองขาดเลือดชั่วขณะจากความดันโลหิตสูง ทำให้เป็นลมหมดสติไป 

ขอเพียงรีบให้กินยาลดความดัน ทำให้ความดันโลหิตคงที่ ฮูหยินก็จะค่อยๆดีขึ้น 

และในยุคที่มาตรฐานการรักษาต่ำเช่นนี้ มีการศึกษาเกี่ยวกับโรคคนรวยอย่างโรคความดันโลหิตน้อยมาก ลองคิดดูแค่เด็กเป็นไข้ตัวร้อนก็อาจจะรักษาไม่หาย จนทำให้ตายได้ 

แพทย์แผนจีนในยุคหลังๆนั้นเก่งมาก เพราะผ่านการฝึกฝน การทดลอง การพัฒนามานับพันปี จึงได้มีถึงยืนในวันนี้ 

ท่านหมอหลี่รักษาไม่หายก็มีเหตุผล เพราะไม่ใช่หมอขึ้นชื่ออย่างเปี่ยนเชวี่ย ไม่ใช่หมอเทวดาอย่างฮว่าถัว โรคบางจำพวกที่รักษายากท่านหมอทั่วไปจะไม่ได้แตะต้อง จึงทำให้ไม่มีประสบการณ์ 

เจียงเว่ยหว่านเทยาลดความดันออกมาสองสามเม็ดให้ฮูหยินกิน 

หญิงรับใช้วัยชราที่อยู่ข้างกายฮูหยินจ้องมองเจียงเว่ยหว่านด้วยความรู้สึกสับสน

“คุณชาย ท่านสามารถรักษาได้จริงหรือ”

“ฮูหยินของเจ้ามักจะนอนไม่หลับและมีเหงื่อมากใช่หรือไม่ ปวดหัว แน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน ไร้เรี่ยวแรงใช่หรือไม่”

หญิงรับใช้วัยชรามองเจียงเว่ยหว่านด้วยสายตาที่เป็นประกาย ถามด้วยสีหน้ามีความยินดีว่า “ถูกต้อง คุณชายรู้ได้อย่างไรเจ้าคะ”

“การแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการสังเกตการณ์ฟังการถามและจับชีพจร แค่ดูสีหน้าของฮูหยิน ข้าก็เดาได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”

“เช่นนั้นคุณชายสามารถรักษาฮูหยินของพวกเราได้จริงหรือเจ้าคะ” หญิงรับใช้วัยชราถามนางขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อ 

เจียงเว่ยหว่านเผยรอยยิ้มจางๆ พูดด้วยสีหน้ามั่นใจว่า “เจ้าวางใจได้ ถ้าหากข้ารักษาไม่หาย ข้าก็หนีไปไหนไม่ได้ ข้าไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตนเองมาล้อเล่น เจ้าคิดว่าไง”

จากนั้นหญิงรับใช้วัยชราจึงยอมป้อนยาให้เจ้านายของตน

เมื่อกินยาลดความดันลงไปสองสามเม็ด สีหน้าของฮูหยินก็ดีขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ฟื้น 

เจียงเว่ยหว่านไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวาย แต่ได้ทำการจับชีพจรให้กับฮูหยิน ดูซิว่านางยังมีโรคอื่นๆอีกหรือไม่ 

กลุ่มคนที่มามุงดูและมีท่านหมอหลี่เป็นแกนนำเห็นว่าเจียงเว่ยหว่านมีการป้อนยาก่อน จากนั้นค่อยจับชีพจร ต่างก็ส่งเสียงขึ้นมาด้วยความสงสัย 

“เจ้าหนุ่ม เจ้ารักษาเป็นหรือไม่ บนโลกนี้ไหนเลยจะมีการรักษาเหมือนที่เจ้าทำ คนอื่นเขาต่างก็ถามอาการและจับชีพจรก่อนจะให้ยา แต่เข้ากลับให้ยาก่อนจะถามอาการและจับชีพจร เจ้ามันช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว”

“ใช่แล้ว ข้าก็ไม่เคยเห็นการรักษาเช่นนี้มาก่อน ถ้าหากฮูหยินคนนี้เป็นอะไรไป พวกเราล้วนเป็นพยาน ถึงเวลาเจ้าต้องรับผิดชอบในผลที่จะตามมาด้วย”

“ถูกต้องถูกต้อง”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนดังขึ้นมา ฮูหยินที่เป็นลมอยู่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ มองดูผู้คนที่อยู่ตรงหน้า 

“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว” หญิงรับใช้วัยชราร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น 

ท่านหมอหลี่ก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ จ้องมองฮูหยินตรงหน้าด้วยท่าทีอ้าปากตาค้าง 

“ฟื้นแล้วจริงๆด้วย” และชาวบ้านที่มุงดูอยู่ต่งก็เปล่งเสียงประหลาดใจออกมา 

เจียงเว่ยหว่านมองดูฮูหยินที่มีใบหน้าใจดีมีเมตตาที่อยู่ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบาว่า “ฮูหยินท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง”

ฮูหยินมองไปรอบๆอย่างสับสน สุดท้ายสายตาก็หยุดลงบนร่างของหญิงรับใช้วัยชรา 

“พระ......” หญิงรับใช้วัยชรารู้ตัวว่าหลุดปาก ก็รีบแก้ตัวว่า “ฮูหยิน จู่ๆท่านก็เป็นลมไป คุณชายท่านนี้ช่วยท่านเอาไว้เจ้าค่ะ”

นางขมวดคิ้ว เอ่ยขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “อยู่ดีๆ ทำไมข้าถึงเป็นลมไปได้”

เจียงเว่ยหว่านและหญิงรับใช้วัยชราช่วยกันประคองนางขึ้นมา “ฮูหยิน ท่านต้องพักผ่อนให้มาก ต้องเดินออกกำลัง รักษาสุขภาพกายใจให้ดี ครั้งหน้าก็จะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้อีกแล้ว”

ฮูหยินมองเจียงเว่ยหว่านที่อยู่ตรงหน้า ผิวพรรณเนียนละเอียด มือคู่นั้นที่ดูเรียวสวยอ่อนนุ่ม นางตบไปที่มือของเจียงเว่ยหว่านเบาๆ พูดยิ้มๆว่า “เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าต้องขอบคุณเจ้ามากๆ ไม่ทราบว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลไหน.....”

คำพูดยังไม่ทันจบประโยค เจียงเว่ยหว่านได้ดึงมือออกจากมือของไทเฮา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “การช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของคนเป็นหมอ ฮูหยินท่านไม่ต้องจดจำใส่ใจ และไม่จำเป็นต้องขอบคุณ”

ท่านหมอหลี่ลูบเคราแพะของตนพลางเดินไปข้างหน้า “ฮูหยิน ให้ข้าช่วยท่านจับชีพจรได้หรือไม่”

หญิงรับใช้วัยชราที่อยู่ข้างๆรีบเข้ามาห้ามเขาเอาไว้ 

“เมื่อครู่ท่านหมอหลี่บอกว่าฮูหยินของพวกเราไร้ทางรักษาแล้วไม่ใช่หรือ แต่ตอนนี้ฮูหยินอาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาซักถาม”

ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็รู้สึกไม่พอใจมาก ขมวดคิ้วพลางพูดว่า “เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องตรวจแล้ว”

ท่านหมอหลี่ถูกปฏิเสธต่อหน้าผู้คน โกรธจนแทบจะกระอักเลือดออกมา แต่ใบหน้ากลับได้แต่ยิ้มและพูดว่า “ฮูหยิน ใต้หล้านี้ย่อมมีโรคหายากที่ข้ารักษาไม่ได้ บังเอิญว่าคุณชายคนเมื่อครู่รักษาเป็นเท่านั้นเอง”

“จริงหรือ” ฮูหยินยิ้มเย็น ไม่ยินดีจะไว้หน้าเขาเลยสักนิด 

สีหน้าของท่านหมอหลี่ราวกับถูกย้อมด้วยสี ทั้งเขียวแดงขาวม่วงล้วนเผยออกมาบนใบหน้า หุบยิ้มและตอบกลับว่า “ข้าไม่เคยพูดจาเกินจริงมาก่อน”

ฮูหยินไม่จำเป็นต้องฟังรายละเอียดจากคนรอบข้าง ก็พอจะรู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังพูดเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าไม่เชื่อ ท่านต้องเป็นตัวแทนขอโทษคุณชายท่านนั้น”

ขอโทษ

เขาเป็นถึงหมอที่มีชื่อเสียง จะให้ขอโทษเจ้าเด็กเมื่อวานซืน ไม่เท่ากับทำลายชื่อเสียงตนเองหรอกหรือ

เห็นได้ชัดว่าท่านหมอหลี่ไม่ยินดี แต่แล้วชาวบ้านต่างก็เห็นด้วยกับฮูหยิน 

“ใช่แล้ว ท่านหมอหลี่ท่านต้องขอโทษ”

“เมื่อครู่ท่านดุกับคุณชายท่านนี้มาก ต้องมีคำอธิบายให้เขา”

“คุณชาย เจ้ามานี่ ให้เขาขอโทษเจ้า”

ทุกคนไปตามหาเจียงเว่ยหว่าน แต่นางกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ คิดในใจว่า “ทำไมแม่นางคนนั้นจึงจากไปแล้ว”

หาตัวเจียงเว่ยหว่านไม่พบ ไม่นานทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไป 

หญิงรับใช้วัยชราประคองฮูหยินเอาไว้ ถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วท่านจะยังไปเยี่ยมพระราชนัดดาอีกหรือไม่”

ฮูหยินส่ายหน้า “วันนี้กลับวังกันก่อนเถอะ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: แพทย์หญิงเคียงบัลลังก์