มู่เหยาละสายตา มองรอยตราประทับที่สลักบนกล่องไม้แล้วแววตาวูบไหวเล็กน้อย
ลุงหวังติดตามมารดาของมู่เหยามาตั้งแต่ยังเด็ก เขาคุ้นเคยกับลวดลายสลักนั้นเป็นอย่างดี “คุณหนู ธูปหอมร้านนี้ในเมืองหลวงหาได้ยากยิ่งนัก มีเงินก็ใช่ว่าจะหาซื้อได้”
“ข้าทราบ”
มู่เหยาชักมือกลับ “ลุงหวัง ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนท่านแม่เคยปรุงธูปหอมกลิ่นกล้วยไม้เอาไว้ กลิ่นนั้นไม่เลวเลย เจ้าช่วยนำไปมอบให้จวนฉู่อ๋อง ถือเสียว่าเป็นของขวัญตอบแทน”
กล้วยไม้เย็นสะอาด คล้ายกับบุคลิกของเยี่ยนสวินอยู่บ้าง
เยี่ยนสวินเพิ่งกลับถึงจวนหลังจากออกไปทำธุระข้างนอก ก็เห็นฉางชิงยืนยิ้มหน้าทะเล้นน่าหมั่นไส้ จึงเลิกคิ้วขึ้นพลางโยนแส้ไปให้
“ยิ้มได้น่าเกลียดยิ่งกว่าตอนร้องไห้เสียอีก”
รอยยิ้มของฉางชิงแข็งค้าง ก่อนจะเบ้ปาก แล้วรีบหยิบกล่องไม้ที่วางอยู่ด้านข้างเข้ามาหา
“ท่านอ๋อง คุณหนูมู่ส่งของตอบแทนมาขอรับ ท่านจะดูตอนนี้เลย หรือจะรอสักครู่ขอรับ?”
พอสิ้นเสียง ก็สัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาที่บุรุษตวัดมองมา
“เจ้าว่างนักรึ?”
ฉางชิงรีบโบกมือ “ข้าน้อยมิได้ว่าง ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้ ไปเดี๋ยวนี้เลยขอรับ!”
ก่อนจะไป เขาก็ไม่ลืมวางกล่องไม้ลงตรงหน้าบุรุษ จากนั้นจึงปิดประตูแล้วจากไป
เยี่ยนสวินเอนกายพิงตั่ง มือบรรจงขัดมีดสั้นคู่กาย ทว่าสายตากลับเผลอทอดมองไปยังกล่องไม้บนโต๊ะ
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาจึงใช้มีดสั้นเขี่ยเปิดฝากล่องออก
กลิ่นหอมอ่อนโยนโชยออกมาจากกล่องไม้ ภาพเงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในห้วงความคิดทันที
แววตาของเยี่ยนสวินหม่นแสง เขาหยิบธูปมาจรดที่ปลายจมูกแล้วสูดดมเบา ๆ มุมปากพลันยกขึ้นช้า ๆ “หอมดีเหมือนกัน”
เขาจุดธูปดอกนั้นในเตากำยาน กลิ่นหอมที่ค่อย ๆ อบอวลไปทั่วห้อง ช่วยให้ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาหลายวันของเยี่ยนสวิน คล้ายจะบรรเทาลงไปบ้าง
เขาเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่รู้ตัว!
พอตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา เยี่ยนสวินเบิกตาโพลง กวาดสายตาระแวดระวังไปรอบกาย จึงกลับคืนสู่ท่าทีเกียจคร้านเช่นปกติ
เพียงจ้องมองธูปหอมในเตาอย่างครุ่นคิด
นางมองออกหรือว่าระยะนี้เขานอนไม่หลับ?
หรือว่า เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
“ฉางชิง ตอนนี้เป็นยามใดแล้ว”
ประตูถูกเปิดออกทันที ฉางชิงโค้งตัวรายงานอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง อีกสองชั่วยามจะถึงเวลาล่องเรือ ท่านจะพักผ่อนอีกสักครู่หรือไม่ขอรับ?”
“ไม่ต้อง”
เยี่ยนสวินลุกขึ้นแล้วชี้ไปที่กล่องไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะ “เก็บไว้ให้ดี ต่อไปนี้ให้เปลี่ยนไปใช้ธูปนี้แทน”
เมื่อได้ยินดังนั้น
แววตาของฉางชิงตื่นตะลึง พูดโดยไม่รู้ตัวว่า “ท่านอ๋อง ธูปสงบใจที่หมอเทวดาเลี่ยวปรุงให้ท่านใช้ไม่ได้ผลแล้วหรือขอรับ?”
เยี่ยนสวินเหลือบมองกล่องไม้อีกใบที่วางอยู่อีกด้าน ก่อนจะส่งสายตาให้ฉางชิง
เขาเลี่ยงที่จะพูด รีบก้าวไปข้างหน้า แล้วนำกล่องธูปนั้นออกไปจัดการ
หลังจากฉางชิงออกไป เยี่ยนสวินก็เปลี่ยนไปสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงอ่อนปักลายครามสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นจึงค่อย ๆ มุ่งหน้าไปยังสถานที่ล่องเรืออย่างไม่รีบร้อน
แม้จะเป็นงานล่องเรือ แต่บัดนี้เป็นช่วงชุนเฟิน อากาศจึงยังไม่นับว่าอบอุ่นเท่าใดนัก
มู่เหยาคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดก็ให้หนิงจู๋เปลี่ยนสวมชุดกระโปรงผ้าไหมสีม่วงอ่อนเหลือบทองที่หนากว่าเล็กน้อย ด้านนอกคลุมทับด้วยเสื้อคลุมขนกระต่ายเนื้อนุ่มปักลายกระต่ายน้อย ทำให้ลดทอนความห้าวหาญไปหลายส่วน ทำให้แลดูน่ารักน่าเอ็นดู
“คุณหนู บ่าวได้ยินคนข้างนอกพูดกันว่า งานเลี้ยงล่องเรือในวันนี้ คุณชายทั้งสองแห่งจวนลู่ก็จะมาด้วย คุณหนูต้องระวังหลีกเลี่ยงพวกเขาไว้บ้างนะเจ้าคะ”
หนิงจู๋เอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวลขณะนั่งอยู่บนรถม้า ทว่ามู่เหยากลับไม่ได้วิตกอันใดนัก
“หนิงจู๋ เจ้าคิดว่าคุณชายทั้งสองแห่งตระกูลลู่ ผู้ใดโดดเด่นกว่ากันหรือ?”
หนิงจู๋คิดอย่างละเอียด “บ่าวคิดว่าคุณชายรองลู่ดูโดดเด่นกว่าเจ้าค่ะ น่าเสียดายที่เป็นเพียงบุตรชายคนโตที่เกิดจากอนุ หากเป็นบุตรเอก ต้องสร้างชื่อเสียงความสำเร็จได้อย่างแน่นอนค่ะ!”
แววตาของมู่เหยามีแววมืดมน แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
เรื่องที่แม้แต่หนิงจู๋ซึ่งเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ ยังมองออก ผิงหยางโหวจะไม่เข้าใจเชียวหรือ?
เกรงว่าคงเป็นเพราะเห็นแก่ตระกูลเดิมของจังซื่อ
“เขาต้องการสูตรไปทำอะไรกัน?”
มู่เหยาขมวดคิ้วพึมพำ ไม่ทันที่นางจะนึกย้อนไปถึงภาพที่มารดาปรุงธูปหอมในอดีต เสียงของหนิงจู๋ก็ดังขึ้นมา
เมื่อมาถึงสถานที่ล่องเรือ มู่เหยาค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้า
ทันทีที่ยืนมั่นคง ก็รู้สึกได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมา
ในนั้นมีไม่น้อยที่เป็นสายตาเยาะหยันและเสียดสี
มู่เหยาไม่ได้ใส่ใจ นำหนิงจู๋ฝ่าฝูงชนไปเบื้องหน้าองค์หญิงใหญ่ และถวายของขวัญ
“คุณหนูมู่ช้าก่อน วันนี้มาคุยกับข้าสักหน่อยเถิด” เสียงขององค์หญิงใหญ่ อวิ๋นโย่ว ดังขึ้น ทำให้เสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้นเงียบลงในทันที
มู่เหยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้นางไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับองค์หญิงใหญ่มากนัก
ถึงกระนั้น นางยังคงรีบเดินไปทรุดกายนั่งลงข้างองค์หญิงใหญ่อย่างสำรวม
“เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้าอยู่ที่จวนก็ได้ทราบเรื่องหมดแล้ว ตระกูลลู่นั่นหรือจะคู่ควรกับคนยอดเยี่ยมเช่นเจ้า ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนมีอัธยาศัยดีต่อไปเรียกว่าป้าอวิ่น เป็นอย่างไร?”
องค์หญิงใหญ่ปีนี้อายุได้ยี่สิบแปดปี ด้วยเมื่อครั้งก่อนถูกอนุชั้นต่ำทำร้ายร่างกาย จึงมีโอรสธิดาเพียงอย่างละองค์ ซึ่งบัดนี้ได้ส่งไปรับการอบรมในวังหลวงแล้ว นับว่าได้พักผ่อนอย่างสำราญ
“องค์หญิง หม่อมฉันมิกล้าเพคะ” มู่เหยารีบตอบอย่างนอบน้อม ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของคนตรงหน้าจริง ๆ
เมื่อองค์หญิงใหญ่เห็นว่านางเป็นคนรู้ความและวางตัวเหมาะสมเช่นนี้ ในแววตาก็ยิ่งยินดี ก่อนจะเหลือบมองไปยังร่างในชุดสีม่วงอ่อนที่อยู่ไม่ไกล แล้วจึงยื่นมือมาตบไหล่มู่เหยาเบา ๆ
“เอาเถิด วันนี้ไม่มีพิธีรีตองมากนัก หากเจ้าไม่ปรารถนาจะเรียกป้าอวิ๋น ก็เรียกองค์หญิงใหญ่เถิด”
“ขอบพระทัยองค์หญิง”
มู่เหยารู้สึกโล่งใจ และเดินตามหลังองค์หญิงใหญ่ขึ้นเรือ
ไม่คาดคิดว่าทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องโดยสาร ก็เห็นสายตาคมกริบจับจ้องมาที่นาง
มู่เหยาจึงหันไปมองตาม ก็สบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นของลู่จื้อเข้าพอดี ทว่าในวินาทีถัดมา ลู่จื้อกลับเบือนหน้าหนี ราวกับจงใจหลีกเลี่ยง
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองดูลู่จื้อในวันนี้ที่ดูสงบนิ่งผิดปกติ
มู่เหยาพลันรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาในใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...