งานล่องเรือมีผู้มาร่วมงานไม่น้อยเลย โชคดีที่เรือซึ่งองค์หญิงใหญ่เช่านั้นใหญ่โตพอสมควร
มู่เหยาเมินเฉยต่อสายตาใคร่รู้ที่จับจ้องมองมา นางพาหนิงจู๋มานั่งประจำที่อย่างเงียบเชียบ พลางสังเกตการณ์รอบข้าง
หนิงจู๋ราวกับรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง จึงขยับเข้าไปกระซิบข้างหูนาง “คุณหนู คุณชายใหญ่ลู่เอาแต่จ้องมองมาทางนี้ คุณหนูจะเปลี่ยนที่นั่งหรือไม่เจ้าคะ?”
มู่เหยามองตามที่นางบอก กวาดสายตาไปยังฝั่งตรงข้ามคร่าว ๆ ก็เห็นลู่จื้อนั่งดื่มสุราอยู่ที่นั่งอย่างเงียบขรึม ผู้ใดไม่รู้เรื่องรู้ราวคงนึกว่านางเป็นฝ่ายทรยศต่อความรู้สึกของเขา
“ก็ดีเหมือนกัน”
มู่เหยาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังส่วนท้ายของเรือ
นางจำได้ว่าเคยได้ยินฟังมามา คนสนิทข้างกายองค์หญิงใหญ่กล่าวไว้ว่า ที่ท้ายเรือนั้นมีระเบียงชมทิวทัศน์ คิดว่าคงงดงามมากเป็นแน่
ในเมื่อออกมาเที่ยวเล่นแล้ว มู่เหยาจึงไม่อยากให้ใครบางคนมาทำให้เสียบรรยากาศสนุกสนาน
ทว่ามู่เหยาเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีสาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งที่มีท่าทางตื่นตระหนกวิ่งเข้ามาชนนางเข้า
“บ่าวชนท่านผู้สูงศักดิ์ ท่านผู้สูงศักดิ์โปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”
สาวใช้ผู้อุ้มถาดชาคุกเข่าลงทันที ท่าทางหวาดกลัวทำให้มู่เหยาต้องหรี่ตา
นางมองสำรวจเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อน “ไม่เป็นไร เจ้าไปทำธุระเถิด”
สาวใช้ตัวน้อยหดตัวครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกว่า “บ่าวทำเสื้อผ้าของคุณหนูเปียกหมดแล้ว คุณหนูไปเปลี่ยนชุดใหม่ที่ห้องพักกับบ่าวไหมเจ้าคะ?”
เป็นธรรมเนียมของตระกูลสูงศักดิ์ ยามจัดงานเลี้ยง มักจะเตรียมชุดสำรองไว้ให้แก่เหล่าคุณหนูที่ได้รับเชิญจากตระกูลต่าง ๆ ชุดหนึ่งเสมอ
เพื่อป้องกันสถานการณ์เช่นนี้นี่เอง
ทว่า เล่ห์เหลี่ยมระดับนี้หากใช้หลอกลวงผู้อื่นก็แล้วไป
แต่ถ้าใช้กับมู่เหยาแล้ว มันช่าง...ดูโจ่งแจ้งเสียจริง
ขณะที่หนิงจู๋ตั้งใจจะตำหนิ ก็รู้สึกว่ามือถูกใครบางคนดึงเบา ๆ นางจึงเงียบลงทันที
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไปกับเจ้า หนิงจู๋ เจ้ากลับไปบอกองค์หญิงใหญ่ก่อนเถิด”
สิ้นคำ เมื่อเห็นท่าทางโล่งอกอย่างชัดเจนของสาวใช้ผู้นั้น มู่เหยาก็รู้สึกขบขันในใจ
หลังจากหนิงจู๋ไปแล้ว นางก็ก้าวตามสาวใช้อย่างไม่ใส่ใจนัก ระหว่างนั้นก็แอบถอดปิ่นทองคำอันหนึ่งออกจากศีรษะแล้วกำไว้ในมือ
“ถึงแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู เชิญเจ้าค่ะ”
มู่เหยามองห้องพักที่แสนจะธรรมดาตรงหน้า ไม่ได้ก้าวเข้าไปในทันที แต่เหลือบมองไปยังสาวใช้ตัวน้อยที่นิ้วมือสั่นเทาอย่างสนใจ
“ใช่ห้องนี้แน่หรือ?”
สาวใช้ตัวน้อยลังเลเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วพยักหน้า
มู่เหยาแย้มยิ้ม ก้าวเท้าเข้าสู่ห้อง วินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียงลงกลอนประตูดังมาจากด้านหลัง
นางหันกลับไปมองนอกห้อง ก็เห็นเงาร่างของสาวใช้ตัวน้อยกำลังวิ่งจากไปอย่างร้อนรนสะท้อนอยู่บนประตู
“ผู้ใด?”
เสียงเสียดสีดังขึ้นจากเบื้องหลัง มู่เหยาตวาดเสียงเย็นชา แล้วใช้ปิ่นทองในมือที่กำแน่นแทงไปยังเงาดำที่จู่โจมเข้ามาในพริบตา
ทว่าเพียงชั่วพริบตา อีกฝ่ายก็คว้าข้อมือของนางไว้ได้ มืออีกข้างเลื่อนมาโอบเอวนางแล้วดึงเข้าไปใกล้ตัว
“ที่แท้ก็คือคุณหนูมู่”
น้ำเสียงของบุรุษผู้นั้นทุ้มต่ำแหบพร่า ต่างจากโทนเสียงเกียจคร้านเช่นในยามปกติ ราวกับกำลังข่มกลั้นบางอย่างไว้
มู่เหยาชะงักงันไปครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ลมหายใจร้อนผ่าวของบุรุษผู้นั้นก็เป่ารดลงบนลำคอระหงพอดี ทำเอาใบหูของนางร้อนผ่าวแดงระเรื่อ นางเผลอตัวพยายามดิ้นรนตามสัญชาตญาณ แต่กลับคาดไม่ถึงว่ามือที่โอบอยู่บนเอวกลับยิ่งกระชับแน่นขึ้นอีก
การกระทำนั้นส่งผลให้มู่เหยาแนบชิดกับเขา จนรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอกของบุรุษ
ทำให้มู่เหยาเผลอไผลไปชั่วขณะ
เมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็ผลักชายผู้นั้นออกไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ขอฉู่อ๋องโปรดสำรวมด้วย!”
เมื่อถูกผลักออก แววตาของเยี่ยนสวินจึงกลับมาแจ่มใสมีสติขึ้นหลายส่วน
เขาพยายามระงับความกระสับกระส่ายที่เกิดจากฤทธิ์ยาในร่างกาย เมื่อสายตาพร่ามัวจับจ้องไปยังคนตรงหน้าอีกครั้ง มุมปากก็ยกขึ้นเป็นรอยโค้งสวยงาม
“ดูท่าแล้ว ข้ากับคุณหนูมู่บางครั้งช่างใจตรงกัน แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังคล้ายคลึงกันถึงเพียงนี้”
เมื่อเขาเอ่ยทักเช่นนี้ มู่เหยาก็สังเกตว่าวันนี้เสื้อผ้าของทั้งสองเป็นสีม่วงอ่อนเหมือนกัน
หากปรากฏตัวพร้อมกัน เกรงว่าคงเพิ่มความคลุมเครือไปอีกหลายส่วน
“ฉู่อ๋องอย่าพูดเหลวไหล สีของเสื้อเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น”
นางขมวดคิ้วอธิบาย ไม่อยากให้คนตรงหน้าเข้าใจผิด
แต่รู้สึกราวกับแสงแดดถูกบดบัง เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับสบเข้ากับแววตาสีดำลุ่มลึกของบุรุษ ในแววตามีบางสิ่งวูบผ่านไป รวดเร็วจนน่าเสียดายที่มู่เหยาคว้าไว้ไม่ทัน
“มู่เหยา”
เสียงของบุรุษช้าเนิบ ก็แค่สองพยางค์ธรรมดา
แต่กลับเหมือนก้อนหินที่ตกลงสู่สระน้ำลึก ก่อให้เกิดระลอกคลื่นในใจของมู่เหยา
“องค์ชาย ท่านเมาแล้วกระมัง”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...