ลู่จื้อพยักหน้าเห็นด้วย ขณะที่กำลังครุ่นคิดว่าตระกูลใดในเมืองหลวงจะมีอำนาจทางการเงินถึงเพียงนี้ ใบหน้าของเงาร่างที่อยู่ไกลออกไปก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
เมื่อเห็นชัดเจนแล้วว่าเป็นผู้ใด น้ำเสียงของเขาก็ดังสูงขึ้นหลายส่วน
“เหตุใดจึงเป็นเจ้า!”
มู่เหยาหยุดยืนอยู่หน้าประตู กวาดสายตาเฉยชามามองเขาแวบหนึ่ง
“ที่นี่คือจวนมู่ หากมิใช่ข้าแล้ว คุณชายใหญ่ลู่คิดว่าเป็นผู้ใดเล่า?”
ลู่จื้อกัดฟัน พิเคราะห์ชุดบนร่างนางอย่างละเอียด ชุดนี้อย่างน้อย ๆ ก็ต้องมีมูลค่าหลายร้อยตำลึง
มองดูสีหน้าของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่านางคุ้นชินกับการแต่งกายเช่นนี้มานานแล้ว
พอนึกถึงภาพลักษณ์อันเรียบง่ายของนางในอดีตที่คอยติดตามอยู่ข้างกายเขา สีหน้าของลู่จื้อก็มืดครึ้มลง
“ในเมื่อเจ้ามีชุดงดงามเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนตอนที่อยู่ข้างกายข้า เจ้าถึงได้เอาแต่แต่งกายราวกับคุณหนูตกยากอยู่เสมอ!”
“หรือว่าจงใจทำให้ข้าต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าเพื่อนร่วมงานเหล่านั้น!”
คำพูดนี้ช่างทำให้มู่เหยาและคนอื่น ๆ หัวเราะด้วยความโมโห
หนิงจู๋ถึงกับเชิดคอเยาะหยันออกมา “คุณชายใหญ่ลู่ ก่อนหน้านี้ท่านอ้างว่าตนเป็นคนใสสะอาด ไม่ใฝ่ใจในวัตถุสิ่งของมิใช่หรือ”
“คุณหนูของเราต้องระทมทุกข์เพื่อรักษาชื่อเสียงอันใสสะอาดของท่านไม่น้อย ท่านยังมีหน้ามาตำหนิคุณหนูของข้าได้อย่างไร!”
ระทมทุกข์งั้นรึ?
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไรกัน นี่มันจงใจพูดว่าจวนโหวอันยิ่งใหญ่ของตระกูลลู่ เทียบไม่ได้กับความร่ำรวยของตระกูลมู่งั้นหรือ!
ลู่จื้อโกรธจนแทบกัดฟันแตก สายตาที่มองไปยังมู่เหยายิ่งทวีความไม่เป็นมิตร
มู่เหยามิได้ใส่ใจสายตาที่เขามองมา กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณชายใหญ่ลู่มาวันนี้ ก็เพื่อส่งคืนหนังสือเชื้อเชิญและหยกหมั้นหมายของทั้งสองตระกูลใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นคุณชายของตนเงียบไป จู๋ซีจึงรีบก้าวเข้ามาเตือน
“คุณชาย อย่าลืมเรื่องสำคัญที่เรามาวันนี้สิขอรับ”
“เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาเตือนข้า!”
ลู่จื้อตวาดลั่น แล้วถีบจู๋ซีไปด้านข้าง ทว่าการกระทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตือนมู่เหยา
เมื่อเห็นท่าทีฉุนเฉียวง่ายดายของเขา มู่เหยาก็ยิ่งคิดไม่ตกว่า ตอนนั้นนางไปชอบใจอะไรในตัวคนตรงหน้านี้กันแน่
โชคดีที่หันหลังกลับทันเวลา ยังไม่สายเกินไป
“มู่เหยา เมื่อวานเจ้าก็อาละวาดที่หน้าประตูวังไปแล้ว วันนี้ข้ายังอุตส่าห์นำของกำนัลจากจวนโหวมาขอโทษถึงที่”
“ถ้าเจ้ารู้จักสำนึกถึงความสงบเสงี่ยมของสตรี ก็กลับไปจวนโหวกับข้า ไปกล่าวขอขมาท่านพ่อท่านแม่เสีย แล้วข้าก็จะยังคงจัดขบวนเกี้ยวแปดหามรับเจ้าเข้าจวนในฐานะฮูหยินน้อย”
วาจาประหนึ่งให้ทานเช่นนี้ ทำเอาลุงหวังโกรธจนต้องถกแขนเสื้อขึ้น แทบอยากจะตบหน้าลู่จื้อให้ตื่นจากฝันสักฉาด
มู่เหยาจ้องมองเขาครู่หนึ่ง ก็พลันหัวเราะออกมา
การหัวเราะนี้ทำเอาลู่จื้อตกตะลึงยืนนิ่งอยู่กับที่ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่รู้สึกตัว
“ลู่จื้อ ท่านเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าท่านเหยียดหยามข้าถึงเพียงนี้แล้ว จะยังเห็นแก่ของกำนัลเล็กน้อยแล้วจะไม่จดจำความผิดในอดีต?”
สีหน้าของมู่เหยาเย็นชาลง น้ำเสียงแฝงความรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง ราวกับดาบคมกริบที่แทงทะลุหัวใจของบุรุษตรงหน้าอย่างแรง
มือที่อยู่ข้างกายของลู่จื้อกำแน่นขึ้น แววตาวาวโรจน์ด้วยความเหี้ยมเกรียม “มู่เหยา! อย่าได้ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้สำนึก ข้าอุตส่าห์มาขอโทษถึงที่แล้ว เจ้ายังจะต้องการอะไรอีก!”
“โอ้ ข้ามาได้จังหวะเหมาะเสียจริง ท่าทางของคุณชายใหญ่ลู่ผู้นี้ มิใช่ว่ากำลังคิดจะลงไม้ลงมือกับคุณหนูมู่หรอกหรือ?”
เสียงเยาะเย้ยดังมาจากระยะไกล
ปรากฏร่างของเยี่ยนสวินขี่ม้าเข้ามาอย่างช้า ๆ สวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงเข้มปักลายเงินทองอร่าม บนศีรษะสวมมงกุฎสีม่วง แต่กลับเจือด้วยความอ่อนเยาว์ของชายหนุ่ม เพียงแรกเห็นก็มากพอจะตรึงสายตาสตรีในเมืองหลวงทุกตระกูล
เมื่อสังเกตเห็นความประหลาดใจที่ฉายวาบขึ้นในแววตาของมู่เหยาซึ่งยืนอยู่ด้านในประตู เยี่ยนสวินก็ยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว
เมือฉางชิงที่ติดตามมาด้านหลัง เห็นท่าทีของท่านอ๋องเช่นนั้น ก็ได้แต่กระตุกมุมปาก
วันนี้ท่านอ๋องไม่เพียงแต่แต่งกายราวกับนกยูงเท่านั้น เหตุใดยามลงจากม้ายังจงใจวางท่าหล่อเหลา ทำให้ใครดูกัน?
“ฉู่อ๋อง”
ลู่จื้อใช่ว่าจะฟังน้ำเสียงเย้ยหยันไม่ออก เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าคือผู้ที่เขามิอาจล่วงเกินได้
จึงได้แต่กล้ำกลืนทำความเคารพ
เยี่ยนสวินขานรับเบา ๆ จากนั้นจึงก้าวไปพลิกกล่องของขวัญที่เด็กรับใช้จวนโหวถือมา แล้วแสดงสีหน้าดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
เยี่ยนสวินลดสายตาลงไม่เอ่ยคำใด มือที่ถือแส้ม้าตวัดขึ้นลง “ดูเหมือนว่าแส้เส้นนี้จะไม่ได้เห็นเลือดมานานแล้ว”
“หา!”
จู๋ซีร้องเสียงหลง รีบปราดเข้าไปประคองร่างของลู่จื้อ ซึ่งตกใจจนสิ้นสติไปด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของเยี่ยนสวิน
“ท่านอ๋อง คุณชายของข้าน้อยมิได้มีเจตนาล่วงเกิน ท่านอ๋องโปรดให้อภัย ท่านอ๋องโปรดให้อภัยด้วยขอรับ…”
“หมดสติไปแล้วรึ?” เยี่ยนสวินเลิกคิ้วพลางโน้มตัวลงมอง เมื่อเห็นว่าเขาหมดสติไปจริง ๆ ก็หัวเราะอย่างเย็นชา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รีบหามกลับไปเสีย จะได้ไม่ทิ้งไว้ให้ขายหน้าจวนโหวของพวกเจ้า เดี๋ยวท่านโหวของพวกเจ้าจะมากล่าวโทษข้าเอาได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น จู๋ซีจึงไม่ทันได้คิดถึงสิ่งอื่น รีบหันไปสั่งคนด้านหลังให้หามลู่จื้อไป
เพียงไม่กี่ลมหายใจ พวกเขาก็หายลับไปจากหน้าประตูจวนมู่
มู่เหยาหรี่ตาลงเล็กน้อย แววตาฉายแววยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามเยี่ยนสวินด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ขณะที่เขาส่งแส้ในมือคืนให้รองแม่ทัพด้านหลัง
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมาที่จวนมู่ของข้ามีธุระอันใดหรือเจ้าคะ?”
เยี่ยนสวินปรายตามองฉางชิง
เขายื่นส่งกล่องไม้ใบหนึ่งทันที บนกล่องยังมีเทียบเชิญวางไว้ด้วย
ลุงหวังรีบยื่นมือไปรับ เกรงว่าท่านอ๋องผู้มีอารมณ์แปรปรวนง่ายผู้นี้จะไม่พอใจ
มู่เหยาเหลือบมองกล่องไม้ ครั้นเห็นร่องรอยธูปหอมบนกล่อง แววตาก็เป็นประกาย พอหันไปมองบุรุษอีกครั้ง เขาก็ขึ้นหลังม้าไปแล้ว
“องค์หญิงใหญ่ส่งเทียบเชิญ พรุ่งนี้มีล่องทะเลสาบ”
“ข้าผ่านมาพอดีเลยแวะนำมาให้ หากคุณหนูมู่ไม่ประสงค์จะไป ก็ปฏิเสธไปเถิด”
“รบกวนท่านอ๋องแล้ว พรุ่งนี้มู่เหยาจะไปร่วมล่องทะเลสาบอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
มู่เหยาลดสายตาลงกล่าวขอบคุณ แล้วได้ยินเสียงกีบม้าดังขึ้น
นางเงยหน้ามองตาม เห็นเพียงชายเสื้อบุรุษลับหายไป แล้วเผลอพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “หนุ่มเสื้อแพรพรรณ ขี่ม้าองอาจ”
หนิงจู๋เขยิบเข้ามา แล้วมองตามทิศทางที่มู่เหยามองไป “คุณหนู เมื่อครู่ท่านว่ากระไรนะเจ้าคะ?”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...