เข้าสู่ระบบผ่าน

ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง นิยาย บท 8

เมื่อผิงหยางโหวพูดจบ ก็ถลึงตาใส่ลู่จื้อซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง

เมื่อเห็นว่าเขายังคงจ้องมองหลิ่วซีอิน ท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาวแม้แต่น้อย ก็รู้สึกเดือดดาลจนแทบจะขว้างถ้วยชาในมือทิ้งไป!

“จื้อเอ๋อร์!” จังซื่อเป็นผู้ที่พิจารณาคำพูดและสังเกตุสีหน้าเสมอมา

มิเช่นนั้นแล้ว นางคงไม่สามารถครองตำแหน่งฮูหยินผิงหยางโหว ท่ามกลางเหล่าสตรีมากมายในเรือนหลังได้

เมื่อถูกเรียกชื่อ ลู่จื้อจึงค่อยละสายตาจากหลิ่วซีอิน

“ท่านพ่อ ต่อให้ตอนนี้ท่านร้อนใจไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด”

“การแต่งงานถูกยกเลิกไปแล้ว ลูกยังถูกหยามเกียรติถึงเพียงนี้ ลูกไม่มีหน้าไปตอแยพวกอีก!”

ลู่จื้อย่อมมีแผนการในใจของตนเอง

หากเขายังคงดื้อรั้นตามตอแยในตอนนี้ อย่าว่าแต่ผู้คนในเมืองหลวงเลย แม้แต่สหายของเขาก็คงจะหัวเราะเยาะเขาลับหลัง

เดิมทีก็เสียหน้าแล้ว เขาไม่อยากจะเสียหน้าอีก

ผิงหยางโหวมีหรือจะมองความคิดของลู่จื้อไม่ออก ฝ่ามือใหญ่ตบลงบนโต๊ะอย่างแรง ทำเอาทุกคนในห้องโถงสะดุ้งตกใจ

จังซื่อใจหายวาบ รีบฉีกยิ้มปลอบโยน

“ท่านโหวอย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ อย่างไรเสียจื้อเอ๋อร์ก็ยังเยาว์ ไม่เข้าใจความตื้นลึกหนาบาง ท่านโหวอบรมสั่งสอนเขาอีกหน่อยเถิด”

ผิงหยางโหวเหลือบมองลู่จื้อ “เจ้าคิดว่าที่ฝ่าบาทให้เวลาหนึ่งเดือนนั้นเพื่ออันใดกัน มิใช่ว่าให้โอกาสเจ้าหรอกหรือ!”

“หากเจ้าไม่ไป ข้าก็จะไม่นับว่าเจ้าเป็นลูกอีกต่อไป!”

เมื่อเห็นผิงหยางโหวพูดจาหนักแน่นเช่นนั้น ความสงสัยก็แล่นผ่านแววตาของจังซื่ออย่างรวดเร็ว

แต่นางรู้ความในใจของผิงหยางโหวอยู่แล้ว จึงมิได้เอ่ยปากซักไซ้

เมื่อส่งผิงหยางโหวไปแล้ว จังซื่อก็หันมามองบุตรชายที่เอาแต่ปลอบหลิ่วซีอิน ความไม่พอใจต่อบุตรสาวของคนรับใช้ผู้นี้ก็ยิ่งทวีขึ้น

ยังไม่ทันที่จังซื่อจะได้เอ่ยปาก ก็เห็นหลิ่วซีอินคุกเข่าลงกลางโถงเสียก่อน

“เรื่องในวันนี้มีต้นเหตุมาจากซีอิน ฮูหยินโปรดอย่าโมโหเลยเจ้าค่ะ ซีอินยินดีรับโทษ สุดแต่ฮูหยินจะจัดการเถิดเจ้าค่ะ”

คิ้วของจังซื่อกระตุก แววตาที่มองหลิ่วซีอินฉายแววประหลาดใจอยู่หลายส่วน

“อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นลูกบ่าวที่เกิดในจวนโหว ตัวข้าก็มิอาจลงโทษเจ้าหนักได้”

“แม้จื้อเอ๋อร์จะชอบเจ้า ทว่าภายภาคหน้าเจ้าก็เป็นได้เพียงอนุชั้นต่ำของจวนโหว เรื่องกฏระเบียบนี้...”

แววตาหลิ่วซีอินวูบไหว รีบกล่าวแทรกขึ้น “ซีอินรู้ดีว่าตนเองโง่เขลา ไม่กล้าขอสิ่งใดเกินเลยเจ้าค่ะ”

“ยินดีติดตามเรียนรู้กฏระเบียบอยู่ข้างกายแม่นมฟัง ภายภาคหน้าจะได้ปรนนิบัติรับใช้คุณชายและนายหญิงในอนาคตให้ดีเจ้าค่ะ”

นางรู้ว่าวันนี้คงยากจะรอดพ้นเคราะห์กรรมไปได้ แทนที่จะปล่อยให้ผู้อื่นชี้ชะตา มิสู้ชิงลงมือก่อนดีกว่า

อีกทั้งกลวิธีของแม่นมฟังนั้นไม่มีใครในจวนไม่รู้ การที่นางร้องขอเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเบาเลย

“ในเมื่อเจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ข้าก็จะสนองให้เจ้า”

จังซื่อกล่าวด้วยความพอใจ พลางส่งสายตาไปยังแม่นมฟังที่ยืนอยู่ข้างกาย

แม่นมฟังเข้าใจความหมาย จึงโบกมือให้เหล่าสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง

หลิ่วซีอินถูกสาวใช้สองคนพยุงขึ้น ยามที่เดินผ่านลู่จื้อ นางยังอุตส่าห์แสร้งทำฝืนยิ้มให้

นางเพียงส่งสายตาปลอบโยนให้ลู่จื้อวางใจ มิได้เอ่ยคำใดออกมา

การทำเช่นนี้ต่างหาก ที่จะทำให้ลู่จื้อยิ่งสงสารนางมากขึ้น!

และก็เป็นตามคาด เมื่อเห็นหลิ่วซีอินถูกสาวใช้พาออกไปแล้ว

ลู่จื้อลุกขึ้นอย่างร้อนรน เดินเข้าไปหาจังซื่อเพื่อขอความเมตตา “ท่านแม่ ท่านมีเมตตากรุณาเสมอมา อย่าทำให้ซีอินต้องลำบากใจเลยได้หรือไม่ขอรับ?”

เมื่อเห็นบุตรชายลุ่มหลงจนโงหัวไม่ขึ้น จังซื่อก็พลันหน้าตึงขึ้น วางถ้วยชาลงอย่างแรง

“เจ้ายังมีแก่ใจไปเป็นห่วงอนุชั้นต่ำอีกรึ! หากไม่อยากให้ลูกชั้นต่ำบ้านรองนั่นมันปีนขึ้นมาเหยียบหัวเจ้าล่ะก็ จงทำตามที่พ่อเจ้าสั่งเสีย!”

เมื่อพูดถึงลู่ยวน สีหน้าของลู่จื้อก็ดูน่าเกลียดราวกับกินอุจจาระเข้าไป

พอคิดถึงเรื่องที่ตำแหน่งซื่อจื่อของจวนโหวตกไปอยู่กับลูกชั้นต่ำนั่น เขาก็รู้สึกเดือดดาลในใจ

และยังนำความอัปยศอดสูที่หลิ่วซีอินได้รับในวันนี้ ไปลงที่มู่เหยาทั้งหมด!

“ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”

เมื่อเห็นว่าลู่จื้อเริ่มจะรู้ความขึ้นบ้างแล้ว จังซื่อจึงถอนหายใจแล้วโน้มน้าวปากเปียกปากแฉะว่า “จื้อเอ๋อร์ พรุ่งนี้เจ้าจงนำของไปขอขมาที่จวนตระกูลมู่เสีย”

“ทราบแล้วขอรับ ลูกยังมีธุระต้องจัดการ ไม่อยู่รบกวนท่านแม่ให้กังวลใจแล้วขอรับ”

จังซื่อมองตามแผ่นหลังของลู่จื้อที่รีบร้อนจากไป ก็ลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห

“คุณหนู คนของจวนผิงหยางโหวมาขอพบ ท่านจะออกไปพบหรือไม่ขอรับ?”

เดิมทีมู่เหยาคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกถึงบางสิ่ง จึงเอ่ยถามว่า “ใครมาหรือ?”

“คุณชายใหญ่ตระกูลลู่ขอรับ”

ขณะที่ลุงหวังเอ่ยคำนั้น สีหน้าของเขาดูไม่สู้ดีนัก “หากคุณหนูไม่อยากพบ ก็จะให้คนเอาไม้ไปทุบตีไล่ออกไปขอรับ!”

“พบเถอะ” มู่เหยาค่อย ๆ ลุกขึ้น แล้วจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่

“หากไม่พบ เกรงว่าเขาคงไม่ยอมจากไปง่าย ๆ ถึงตอนนั้น คนที่จะกลายเป็นตัวตลกก็คือจวนมู่ของข้า”

นางคาดการณ์ไว้แล้วว่าลู่จื้อจะต้องมา แต่คาดไม่ถึงว่าจะมารวดเร็วถึงเพียงนี้

หากวันนี้ไม่ยอมออกไปพบ เกรงว่าอีกประเดี๋ยวจังฮูหยินแห่งจวนโหวคงต้องมาเยือนถึงประตู

“ตระกูลลู่เล่นลูกไม้อย่างหน้าด้าน ๆ! เดี๋ยวบ่าวจะคอยคุ้มกันคุณหนูเอง หากเขากล้าพูดจาหรือทำสิ่งใดกับคุณหนูที่หน้าจวนมู่ บ่าวจะต้องถ่มน้ำลายรดหน้าเขาสักที!”

หนิงจู๋กระทืบเท้าด้วยความโมโห ท่าทางราวกับจะต่อสู้กับลู่จื้อ

ทำเอามู่เหยายกยิ้มมุมปากบาง ๆ

นอกประตูห้องรับแขก ลู่จื้อยืนอยู่กับที่ด้วยใบหน้าถมึงทึง รู้สึกเพียงว่าสายตาของผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้น ล้วนแต่มองมาที่เขาด้วยความขบขัน!

“มู่เหยาจะมัวโอ้เอ้ไปถึงเมื่อใดกัน!”

แววตาของลู่จื้อฉายชัดถึงความอดรนทนไม่ไหว หากมิใช่เพราะท่านพ่อกำชับไว้ก่อนเดินทางมา เขาคงสะบัดหน้าจากไปแล้ว

จู๋ซี ผู้ติดตามข้างกายลู่จื้อพูดปลอบว่า “คุณชายใหญ่ ท่านรออีกสักครู่เถิดขอรับ อย่างมากก็ไว้จัดการนางหลังจากแต่งเข้ามาก็ได้ขอรับ”

ลู่จื้อขมวดคิ้ว แต่สุดท้ายก็ยังคงรอต่อไป

ทว่า เมื่อเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล

ลู่จื้อหรี่ตาลง กล่าวด้วยความฉงน “จวนมู่ยังมีคุณหนูคนอื่นอีกหรือ?”

จู๋ซียืดคอชะเง้อมองเข้าไปในลาน เห็นว่าคนที่มานั้นสวมชุดหรูหรา

“ข้าน้อยไม่เคยได้ยินว่าจวนมู่มีคุณหนูท่านอื่น หรือจะเป็นแขกที่มาเยือนจวนมู่ขอรับ?”

“เพราะเสื้อผ้าที่นางสวมใส่นั้นเป็นผ้าไหมพันเส้น เกรงว่าคุณหนูมู่คงไม่มีปัญญาใส่หรอกขอรับ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง