รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้า ภายในรถม้าปูพรมขนแกะเนื้อดี บนโต๊ะเล็กมีขนมหวานวางอยู่ ทำเอามู่เหยารู้สึกฉงน
ตอนอยู่เมืองหลวงนางเคยได้ยินว่า เยี่ยนสวินไม่โปรดของหวาน
หรือว่าขนมหวานนี้ เตรียมไว้ให้คุณหนูตระกูลใดเป็นพิเศษกัน?
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เสียงทุ้มเฉยชาของบุรุษก็ดังมาจากด้านนอก
“คุณหนูมู่ บัดนี้ได้ถอนหมั้นแล้ว ในใจมีผู้ใดที่เหมาะสมอยู่บ้างหรือไม่?”
ใจของมู่เหยาวูบไหวเล็กน้อย “ยังเจ้าค่ะ แต่เวลาก็ยังอีกยาวไกล ข้าน้อยมิได้กังวล”
“คุณหนูมู่มีชื่อเสียงเลื่องลือด้านความงาม คงมีคนมาสู่ขอไม่ขาดสายเป็นแน่”
มู่เหยาเม้มริมฝีปาก นางรู้สึกอยู่เสมอว่าวาจาเหล่านี้เมื่อออกจากปากของเยี่ยนสวินแล้ว ฟังดูไม่ใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
หลังจากบทสนทนานั้น ก็ตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะ
มู่เหยานั่งอยู่ในรถม้ารู้สึกง่วงงุนอยู่บ้าง ดูเหมือนจะเป็นเพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของใบไผ่ที่อบอวลอยู่ภายในรถม้า
ทำให้ความเหนื่อยล้าของนางทุเลาลงไปได้บ้าง
มู่เหยาชอบกลิ่นนี้มากเหลือเกิน หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าในรถม้าของฉู่อ๋องใช้ธูปหอมของที่ใดหรือเจ้าคะ?”
“หากคุณหนูมู่ชอบ พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งไปให้ที่จวนมู่สักหน่อย”
จากความหมายของคำพูดนี้ เกรงว่าธูปหอมนี้คงไม่ได้มีขายในเมืองหลวง
“หากว่าหาได้ยากลำบากนัก ก็ไม่ขอรบกวนให้ฉู่อ๋องต้องลำบากเจ้าค่ะ”
นอกรถม้าเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะมีเสียงทุ้มไม่ใส่ใจนักของบุรุษดังขึ้น “ไม่เป็นไร มิได้เป็นสิ่งสำคัญอันใด หากคุณหนูมู่อยากได้ ข้าให้เจ้าแล้วจะเป็นไรไป”
น้ำเสียงเกียจคร้านของบุรุษ ทำให้มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของมู่เหยาบีบแน่นขึ้น หัวใจเต้นแรงขึ้นเล็กน้อย
คนผู้นี้...เหตุใดจึงพูดจาชวนให้คนคิดไปไกลเช่นนี้
ต่อไปคงต้องอยู่ให้ห่างเข้าไว้
คนข้างนอกราวกับรู้ความคิดในใจนาง น้ำเสียงเฉยเมยนั้นดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย
“คุณหนูมู่มิต้องเกรงใจข้าถึงเพียงนี้ เมื่อเยาว์วัย ข้าเคยได้รับความเมตตาจากท่านจงซู่กงอยู่บ้าง คุณหนูมู่เป็นบุตรีของเขา ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ข้าก็สมควรที่จะดูแลเจ้าให้มาก”
ในใจของมู่เหยาบังเกิดความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน
นางจำไม่ได้เลยว่าครั้งเมื่อบิดายังมีชีวิตอยู่ จะเคยคบค้าสมาคมกับเยี่ยนสวิน
หรือว่าจะเป็นเพียงการช่วยเหลือโดยมิได้ตั้งใจ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อวันนี้เขาช่วยเหลือนางแล้ว ต่อไปนางก็จะจดจำไว้เพื่อตอบแทนบุญคุณ
“แม้ว่าจะเป็นบุญคุณของท่านพ่อ แต่สิ่งที่ท่านอ๋องกระทำในวันนี้ ข้าน้อยก็จะจดจำไว้ในใจด้วยความซาบซึ้งเจ้าค่ะ”
เยี่ยนสวินที่ขี่ม้าอยู่นอกรถม้า แววตาเป็นประกายเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าย่อมจำคำของคุณหนูมู่ได้ หากวันหน้าข้ามีสิ่งใดที่ต้องการให้คุณหนูมู่ช่วยเหลือ คุณหนูมู่จงอย่าได้ปฏิเสธ”
“ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฆ่าคนวางเพลิง มู่เหยาย่อมมิอาจปฏิเสธ”
รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็มาถึงหน้าจวนตระกูลมู่
เรื่องราวการกระทำของมู่เหยาได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ดังนั้น หน้าประตูจวนมู่จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พากันมารอดูความครึกครื้นจากระยะไกล
ผู้คนที่คิดว่ามู่เหยาจะกลับมาในสภาพอับอายขายหน้า เมื่อได้เห็นว่าฉู่อ๋องมาส่งนางด้วยตนเอง รอยยิ้มเยาะหยันบนใบหน้าก็จางหายไปครึ่งหนึ่ง
“ตระกูลมู่ไปมาหาสู่กับฉู่อ๋องตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
ถึงอย่างไรสินเดิมนี้ก็เป็นของนาง ต่อให้ต้องแต่งกับใครก็ตาม คนผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิ์มาแตะต้องตามอำเภอใจ!
“คุณหนู ต้องทำเช่นนี้จริง ๆ หรือเจ้าคะ? หากคนเหล่านั้นล้วนหมายตาสินเดิมของท่าน แล้วจะทำเช่นไรดีเจ้าคะ?” หนิงจู๋รู้สึกกังวลใจ ทีแรกคิดจะทัดทาน แต่พอครุ่นคิดดูให้ดีแล้ว นี่ก็นับเป็นหนทางเดียว จึงทำได้เพียงกัดฟันออกไปปล่อยข่าว
ภายในห้องจึงเหลือเพียงมู่เหยาผู้เดียว นางเผลอมองไปยังผ้าคลุมศีรษะผืนนั้น ในหัวพลันปรากฏภาพใบหน้าของเยี่ยนสวินขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นางยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว พลางเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไฉนจึงมีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาได้?”
เมื่อถอดชุดแต่งงานอันแสนจะประณีตออก มู่เหยาพลันรู้สึกราวกับว่าพันธนาการที่ผูกมัดได้ถูกปลดเปลื้องออก นางใช้มือลูบไล้ชุดแต่งงานที่ปักทอด้วยความทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างแผ่วเบา “เก็บชุดแต่งงานนี้ไว้เถิด แล้วเจ้าไปที่ร้านผ้าหาซื้อผ้าผืนใหม่มา ข้าจะปักขึ้นใหม่อีกสักชุด”
หนิงจู๋เบ้ปาก “คุณหนูอุตส่าห์ทุ่มเทเวลานานขนาดนี้ กลับต้องมาเจอกับคนต่ำช้ายิ่งกว่าเดรัจฉาน เสียแรงของคุณหนูไปโดยเปล่า บ่าวเห็นว่าชุดแต่งงานนี้แปดเปื้อนความอัปมงคลไปแล้ว เผาให้สิ้นซากเลยดีกว่าเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นนางโมโหถึงเพียงนี้ มู่เหยาก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เจ้าเด็กโง่ รีบเก็บไว้เถิด”
“นอกจากนี้ ให้ลุงหวังไปลองหยั่งเชิงแม่เฒ่าหวัง ดูว่าจวนผิงหยางโหวไปหาจริงหรือไม่”
เป็นดังที่มู่เหยาคาดการณ์ไว้ พอฮูหยินผิงหยางโหวทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นหน้าประตูวัง ก็โกรธเกรี้ยวจนขว้างปาข้าวของในห้อง ยิ่งเมื่อเห็นลู่จื้อพาหลิ่วซีอินกลับจวนพร้อมกัน นางก็ปรี่เข้าไปตบอย่างแรง!
หลิ่วซีอินไม่กล้าร่ำไห้ ได้แต่ส่งสายตาตัดพ้อไปยังลู่จื้อที่ยืนอยู่ข้างกาย
ทว่าขณะนี้ ลู่จื้อไหนเลยจะมีแก่ใจไปสนใจนาง เขากำลังคิดแต่เพียงว่าจะได้ตำแหน่งซื่อจื่อกลับคืนมาได้อย่างไร!
“ฮูหยินเจ้าคะ มีข่าวมาจากทางตระกูลมู่ บอกว่าคุณหนูตระกูลมู่จะแต่งออกมาพร้อมสินเดิมมหาศาล ได้ยินมาว่าอย่างน้อยก็เป็นทองคำนับสิบล้านตำลึงเชียวเจ้าค่ะ!”
จังซื่อ ฮูหยินผิงหยางโหวตกใจยิ่งนัก หันไปมองสามีข้างกายทันที “ตระกูลมู่มิใช่ว่าใสสะอาดหรอกหรือ เหตุใดจึงมีทรัพย์สินมากมายถึงเพียงนี้? หรือว่าพวกเขาแอบซุกซ่อนสิ่งใดไว้กัน?”
ผิงหยางโหวถลึงตาใส่จังซื่อ “คำพูดเช่นนี้เจ้าพูดพล่อย ๆ ออกมาได้อย่างไร! ภรรยาของมู่เหอ เดิมทีคือคุณหนูตระกูลหลัน ตระกูลหลันเป็นตระกูลร่ำรวยในเจียงหนาน ถือครองแหล่งทองคำ ทองคำหมื่นตำลึงสำหรับพวกเขาแล้วมิใช่เรื่องใหญ่อันใด มิเช่นนั้นแล้ว เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงยืนกรานหนักหนาที่จะให้จื้อเอ๋อร์แต่งกับมู่เหยาผู้นั้นเล่า!”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...