เข้าสู่ระบบผ่าน

ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง นิยาย บท 6

“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันยินดีที่จะอยู่กับแสงประทีปและพระธรรมตลอดชีวิต ดีกว่าต้องแต่งให้กับบุรุษที่ดูแคลนหม่อมฉันถึงเพียงนี้! ขอฝ่าบาททรงโปรดเมตตาให้เป็นไปตามที่หม่อมฉันปรารถนาด้วยเถิดเพคะ!”

มู่เหยาเปล่งวาจาหนักแน่น ก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นอย่างแรง

ความเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ปวดหัวนัก เดิมทีคิดจะหาทางลงให้ แต่ไม่คิดว่าสตรีตระกูลมู่ผู้นี้ก็ช่างหัวแข็ง ไม่ยอมอ่อนข้อให้แม้แต่น้อย

ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะตระกูลลู่ทำเรื่องไม่เหมาะสม จนก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาที่ฮ่องเต้มองไปยังลู่จื้อก็ยิ่งเบื่อหน่ายยิ่งขึ้น

ช่างเป็นคนไม่รู้ประสีประสาเอาเสียเลย!

“ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเราเลอะเลือนเอง ที่พระราชทานสมรสครั้งนี้ให้แก่เจ้า จนทำให้เจ้าต้องได้รับความอัปยศถึงเพียงนี้”

เสียงของฮ่องเต้แฝงความรู้สึกคล้ายรำพึง ราวกับพูดเรื่องราวธรรมดาทั่วไป

ทว่ามู่เหยากลับรู้สึกเย็นวาบไปทั้งแผ่นหลัง นางรู้ดีถึงความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่

ฮ่องเต้เปี่ยมบารมี ไม่อนุญาตให้ผู้ใดขัดขืน!

วันนี้นางอาศัยความสัมพันธ์เก่าก่อนของตระกูลมู่ บีบให้ฮ่องเต้ต้องให้ความเป็นธรรม ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยในตัวนางอย่างมาก หากนางไม่แสดงจุดยืนให้ชัดเจน ไม่ว่าอนาคตนางจะแต่งให้ผู้ใด คนอื่น ๆ ในตระกูลมู่เกรงว่าคงมิอาจอยู่เย็นเป็นสุข

เมื่อเห็นทุกคนต่างก้มหน้าเงียบ ฮ่องเต้ก็แค่นเสียงในใจ น้ำเสียงเย็นชากว่าเดิมหลายส่วน “ในเมื่อเจ้าร้องขอเช่นนี้ เราก็มิอาจไม่ยินยอม เพียงแต่ว่า หากวันหน้าผู้ใดก็มาขอให้เราถอนพระราชทานสมรส แล้วเกียรติของเราจะเอาไปไว้ที่ใด?”

“มิสู้เป็นเช่นนี้ เราให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หากถึงงานเลี้ยงช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วยังไม่มีบุตรหลานของตระกูลใหญ่มาอยู่เคียงข้างเจ้า... เราจำได้ว่าที่สุสานหลวงยังขาดนางเฝ้าศพอยู่ตำแหน่งหนึ่ง”

แววตาของมู่เหยาที่ทอดต่ำฉายประกายลุ่มลึกวูบหนึ่ง บุตรหลานของตระกูลใหญ่หรือ?

ความหมายของฮ่องเต้คือจะให้นางเลือกจากบรรดาบุตรหลานของตระกูลใหญ่งั้นหรือ?

ส่วนนางเฝ้าศพนั่น... ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากได้เข้าไปในสุสานหลวงแล้ว ชั่วชีวิตนี้ก็มิอาจออกมาได้อีก

อีกอย่าง สุสานหลวงจะขาดนางเฝ้าศพได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเป็นบทลงโทษที่ฮ่องเต้มีต่อนาง

หากภายในหนึ่งเดือนนางยังหาคนที่จะแต่งงานด้วยไม่ได้ ฮ่องเต้ย่อมไม่ปล่อยให้นาง ผู้ซึ่งทำให้เขาเสียเกียรติ ได้อยู่อย่างสุขสบายต่อไปเป็นแน่

มู่เหยาหลับตาลง เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาก็ฉายความแน่วแน่ “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตา จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังเป็นอันขาดเพคะ!”

เมื่อเห็นนางตอบรับ สีหน้าของฮ่องเต้จึงคลายลงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองผิงหยางโหว

ตาเฒ่าผู้นี้อบรมสั่งสอนบุตรชายเช่นไรกัน!

“ผิงหยางโหว เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”

แม้จะรู้ดีว่าการถอนหมั้นเช่นนี้ จะทำให้จวนผิงหยางโหวต้องกลายเป็นเรื่องน่าขบขัน

แต่ต่ภายใต้พระบรมเดชานุภาพของฮ่องเต้ ผิงหยางโหวไหนเลยจะกล้าเอ่ยคำไม่พอใจออกมา จึงรีบกล่าวว่า “แล้วแต่ฝ่าบาทจะทรงตัดสินพ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เช่นนั้นพวกเจ้าก็กลับจวนของตนไปเถิด”

หลังจากเสียงแหลมของหลี่กงกงจบลง ทุกคนถึงกล้าหายใจหายคอ

มู่เหยาลุกขึ้นโดยมีหนิงจู๋พยุง เมินเฉยต่อสายตาเคียดแค้นชิงชังของลู่จื้อ ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองผิงหยางโหว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน “ขอท่านผิงหยางโหวโปรดส่งหนังสือสัญญาแต่งงานและเครื่องหยกหมั้นของตระกูลข้ามาคืนในวันพรุ่งนี้ด้วยเจ้าค่ะ”

ใบหน้าชราของผิงหยางโหวเต็มไปด้วยโทสะ สายตาดุจอสรพิษร้ายจ้องเขม็งมายังร่างของมู่เหยา “คุณหนูมู่ช่างกล้าหาญเกินคนนัก สมกับเป็นคนตระกูลมู่เสียจริง!”

ไม่ว่าผู้ใดได้ยินวาจานี้ ย่อมฟังออกถึงความหมายเสียดสีที่แฝงอยู่

มู่เหยาแย้มยิ้มมุมปาก กล่าวเย้ยหยันกลับไป “ผิงหยางโหวชมเชยถึงเพียงนี้ ตระกูลมู่ของข้ารับไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ แต่ถึงแม้ตระกูลมู่ในปัจจุบันจะเหลือคนน้อยเต็มที ทว่าพวกเราก็ยังรู้ว่าควรประพฤติตนเช่นไร ย่อมไม่ปล่อยให้บุตรสาวของคนใช้ มาข้ามหน้าข้ามตาคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์”

“ธรรมเนียมปฏิบัติของจวนผิงหยางโหว ช่างทำให้ข้าน้อยละอายใจยิ่งนัก”

“เจ้า!” ผิงหยางโหวโกรธจนมือสั่น

มู่เหยายิ้มอย่างนุ่มนวลให้คนตรงหน้า แล้วพาหนิงจู๋ยืดอกเดินจากไปอย่างสง่างาม

ลู่จื้อเห็นดังนั้น จึงตามเข้าไปด้วยสีหน้าเย็นชาและโกรธเคือง ตั้งใจจะถามนางให้รู้เรื่อง!

ผิงหยางโหวโกรธจนต้องสูดหายใจลึก ถลึงตาใส่หลิ่วซีอินที่ยังคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น

พอคิดว่าเรื่องในวันนี้เป็นเพราะหลิ่วซีอินผู้นี้ ผิงหยางโหวก็สีหน้าเย็นชาตวาดเสียงกร้าว “ยังไม่รีบพานังชั้นต่ำนี่กลับไปอีก จะปล่อยให้ขายหน้าอยู่ตรงนี้ทำไม!”

นับว่าโชคดีที่นางถอนหมั้นไปแล้ว มิฉะนั้นวันหน้าเกรงว่าจะต้องเผชิญความทุกข์ทรมานมากกว่านี้

อาจเพราะสังเกตเห็นแววตาของนาง เยี่ยนสวินเลิกคิ้วขึ้นและยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ดูท่าอารมณ์ดีเป็นพิเศษ “ข้าเห็นรถม้าของคุณหนูมู่ยังมาไม่ถึงเสียที ข้าจะไปทางนั้นพอดี ให้ข้าไปส่งคุณหนูมู่สักช่วงหนึ่งเป็นอย่างไร?”

มู่เหยาหันกลับมา เพิ่งจะสังเกตว่าเยี่ยนสวินยังไม่ไปไหน มิหนำซ้ำยังจะไปส่งนางกลับจวนอีกหรือ?

ครุ่นคิดถึงความแตกต่างระหว่างชายหญิง นางจึงถอยหลังไปครึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ “ขอบพระคุณในความหวังดีของฉู่อ๋องเจ้าค่ะ รถม้าของข้า…”

ยังไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ เด็กรับใช้ที่ขับรถม้าของตระกูลมู่ก็วิ่งเหงื่อท่วมหน้ามา

“คุณหนูขอรับ รถม้าของเรามาถึงครึ่งทางก็ไม่ทราบว่าเกิดเหตุใดขึ้น ล้อรถกลับหลุดออกมา เกรงว่าคงจะมาถึงในเร็ว ๆ นี้ไม่ได้แล้วขอรับ”

คำพูดที่เหลือของมู่เหยาจุกอยู่ที่ลำคอ

ต้องทราบว่าระยะทางจากวังหลวงถึงจวนตระกูลมู่นั้นไม่ใกล้เลย ด้วยการแต่งกายในวันนี้ หากจะเดินกลับไปคงเป็นเรื่องยาก

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด เยี่ยนสวินซึ่งยืนอยู่ด้านหลังนางก็แย้มยิ้มกว้างขึ้น “คุณหนูมู่แต่งกายเช่นนี้ หากยังยืนอยู่หน้าประตูวังต่อไป เกรงว่าจะตกเป็นที่ครหานินทาได้ ข้าเพียงทำตามรับสั่งของฝ่าบาทที่ให้มาส่งคุณหนูมู่กลับจวน ต่อผู้อื่นจะกล่าวถึง ก็ไม่สามารถว่ากระไรได้”

มู่เหยาคาดไม่ถึงว่าคนตรงหน้าจะคิดการณ์ได้รอบคอบถึงเพียงนี้

นางกวาดสายตามองฝูงชนที่เริ่มมุงดูโดยรอบ ในที่สุดก็พยักหน้า “เช่นนั้นคงต้องรบกวนฉู่อ๋องแล้ว สำหรับบุญคุณในวันนี้ วันหน้ามู่เหยาจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”

สิ้นเสียงของนาง เยี่ยนสวินพลันหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาจ้องมอง “คำพูดเมื่อครู่ของคุณหนูมู่ ถือเป็นจริงหรือไม่?”

มู่เหยากล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ข้าน้อยไม่เคยกล่าวคำเท็จ”

“เช่นนั้นก็ดี” มุมปากของเยี่ยนสวินโค้งขึ้นยิ่งกว่าเดิม พลางยื่นมือหมายจะประคองนางขึ้นรถม้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องกลับไปคิดให้ดีแล้ว ว่าจะให้คุณหนูมู่ตอบแทนบุญคุณครั้งนี้อย่างไร”

ไม่ทราบด้วยเหตุใด หลังจากที่มู่เหยาเห็นรอยยิ้มนั้นของเขา นางรู้สึกราวกับว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่ถ้ำเสือและหมาป่า

เมื่อเห็นมู่เหยาเลี่ยงมือของเขา แล้วให้สาวใช้ประคองขึ้นรถม้าแทน แววตาของเยี่ยนสวินก็พลันหม่นแสงลงเล็กน้อย ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังม้า

“ไปกันเถอะ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง