เข้าสู่ระบบผ่าน

ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง นิยาย บท 5

“ตระกูลมู่ เจ้าจงเล่ามาก่อนว่าได้รับความคับข้องใจอันใด ถึงกับต้องอัญเชิญป้ายวิญญาณของมู่อ้ายชิงมาเป็นผู้ตัดสิน?”

ยามนี้เพอฮ่องเต้มองมู่เหยา ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา แต่พอมองป้ายวิญญาณเบื้องหน้าเบื้องหลังนาง ก็สงสารจนโกรธไม่ลง

มู่เหยาชูป้ายวิญญาณขึ้น แล้วถวายบังคมฮ่องเต้

“หม่อมฉันได้รับพระมหากรุณาพระราชทานสมรส เดิมทีวันนี้หม่อมฉันควรจะได้แต่งเข้าจวนผิงหยางโหว”

“แต่ลู่จื้อกลับไปมีใจให้บุตรีของคนรับใช้ในบ้าน และคิดจะแต่งนางเข้ามาเป็นภรรยาเท่าเทียม”

“หม่อมฉันมีบรรดาศักดิ์ขั้นสอง การต้องแต่งเข้าจวนในวันเดียวกับสตรีบ่าว และเป็นภรรยาเท่าเทียม ถือเป็นการหยามเกียรติตระกูลมู่แล้ว”

“แต่ลู่จื้อข่มเหงกันมากเกินไป มอบขบวนเกี้ยวแปดหามให้หลิ่วซีอิน แต่กลับมอบให้ตระกูลมู่เพียงสี่หาม น้อยกว่ากันถึงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นการดูแคลนว่าตระกูลมู่ของหม่อมฉันไม่มีผู้ใดหนุนหลัง!”

ทุกถ้อยคำของมู่เหยา ทำให้ผิงหยางโหวรู้สึกเย็นเยือกไปถึงขั้วหัวใจ

ยามนี้ลู่จื้อยังคงสวมชุดแต่งงาน ในสมองขาวโพลนสับสนไปหมดแล้ว

ที่เขามอบเกี้ยวสี่หามให้มู่เหยา ก็เพียงเพื่อจะสั่งสอนนาง ไม่ให้นางมารังควานซีอินอีกในภายหน้า

แต่นางกลับไปร้องเรียนถึงเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้!

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา กระหม่อม... กระหม่อมมิได้มีเจตนาจะหยามเกียรติตระกูลมู่พ่ะย่ะค่ะ”

“บิดามารดาของซีอินสิ้นชีพเพื่อช่วยชีวิตบิดาของกระหม่อม กระหม่อมย่อมไม่อาจทำให้นางต้องน้อยเนื้อต่ำใจได้”

“ส่วนเรื่องของมู่เหยานั้น... ทรัพย์สินในจวนโหวเหลือน้อยเต็มที จึงมิอาจจัดหาขบวนเกี้ยวแปดหามได้ เกี้ยวสี่หามนี้ก็ใช้กำลังทรัพย์ทั้งหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เมื่อลู่จื้ออธิบายจบด้วยใจที่หวาดหวั่น ผิงหยางโหวก็หลับตาลง หมดสิ้นความหวังโดยสิ้นเชิง

เจ้าโง่!

มู่เหยาเหลือบมองไปด้านข้าง ขอบตาแดงก่ำคลอไปด้วยน้ำตา

“เพียงแค่บุตรีของคนใช้ในบ้าน ท่านยังไม่ยอมให้นางน้อยใจถึงกับมอบขบวนเกี้ยวแปดหามให้”

“ส่วนข้ามีบรรดาศักดิ์ขั้นสอง ทั้งยังเป็นการสมรสพระราชทานจากฝ่าบาท ท่านกลับมอบให้เพียงเกี้ยวสี่หาม”

“ท่านไม่เพียงแต่ดูแคลนตระกูลมู่ของข้า แต่ยังเป็นการลบหลู่พระมหากรุณาธิคุณอีกด้วย!”

เมื่อมู่เหยากล่าวจบ ฮ่องเต้ก็ทรงกริ้วจนหัวเราะออกมา

“ดี จวนผิงหยางโหวของพวกเจ้าช่างเก่งกาจจริง ๆ รังแกบุตรีของคนใช้ไม่ได้ ก็เลยมารังแกงานสมรสที่เราประทานให้งั้นรึ?”

ฮ่องเต้ทรงตบโต๊ะทรงพระอักษร ภายในท้องพระโรงพลันเงียบกริบ

ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น เยี่ยนสวินซุกมือทั้งสองข้างไว้ในแขนเสื้อยาว เดินสบาย ๆ เข้าไปอยู่ข้างกายฮ่องเต้

“ฝ่าบาท ซื่อจื่อแห่งผิงหยางโหวผู้นี้มีความสามารถสูงส่งนัก ไม่เพียงแต่รังแกงานสมรสพระราชทานเท่านั้น แต่ยังมีใจคิดก่อกบฏอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเยี่ยนสวินกล่าวจบ ผิงหยางโหวและลู่จื้อพลันเงยหน้าขึ้น ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

“ฉู่อ๋องอย่าได้กล่าวหาเลื่อนลอย การคิดกบฏเป็นความผิดมหันต์ถึงขั้นประหารเก้าชั่วโคตร ตระกูลลู่ของข้ามีใจคิดกบฏเมื่อใดกัน?”

ผิงหยางโหวอธิบายอย่างร้อนรน ขุนนางเฒ่าผู้รับราชการในราชสำนักอย่างมั่นคงมาตลอดชีวิต กลับต้องมาประสบเคราะห์ในวันมงคลสมรสของบุตรชาย

ลู่จื้อมองไปยังเยี่ยนสวินอย่างเหม่อลอย ในใจสั่นสะท้าน ราวกับคาดเดาบางอย่างได้

เยี่ยนสวินยืนอยู่ข้างกายฝ่าบาท แววตาเย็นชาแฝงรอยยิ้ม เขายื่นนิ้วเรียวยาวออกไป ชี้ไปยังหลิ่วซีอินที่คุกเข่าตัวงออยู่ข้างกายลู่จื้อ

“เมื่อหลายวันก่อนที่จวนองค์หญิง สตรีนางนี้กล่าวว่าลู่จื้อคิดจะมอบขบวนเกี้ยวสิบสองหามให้นาง หากไม่มีใจคิดกบฏแล้ว ไฉนจึงกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาได้?”

“ตอนนั้นมีผู้คนอยู่ไม่น้อย ฝ่าบาทเพียงรับสั่งให้คนไปสอบถามก็จะทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”

ท่าทีของเยี่ยนสวินนั้น ประหนึ่งขุนนางกังฉินที่คอยสาดน้ำมันเข้ากองไฟ กลัวว่าผู้อื่นจะยังไม่ถึงแก่ความตาย

มู่เหยาถึงกับนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ตกตะลึงกับการกระทำของเยี่ยนสวินจนน้ำตาเหือดหายไป

ฟังจากความหมายที่เยี่ยนสวินพูดแล้ว... นี่เขากำลังช่วยนางหรือ?

ฮ่องเต้ทรงกริ้วในทันใด ลุกขึ้นชี้นิ้วไปยังใบหน้าซีดเผือดของลู่จื้อ แล้วด่าทอเขาอย่างรุนแรง

“ดีล่ะ แค่บ่าวชั้นต่ำนางหนึ่ง ยังกล้าอาจเอื้อมใช้เกี้ยวสิบสองหามของเราเชียวหรือ?”

“บัลลังก์มังกรของเรา จะต้องยกให้พวกเจ้านั่งด้วยหรือไม่?”

ลู่จื้อสั่นเทิ้มราวตะแกรง แต่หลิ่วซีอินนั้นขี้ขลาด ได้แต่คุกเข่าโขกศีรษะอยู่บนพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าโทษทัณฑ์นี้ยังเบาเกินไป จึงเปลี่ยนคำตัดสินใหม่ทันที

“ตลอดชีวิตให้เป็นได้เพียงอนุชั้นต่ำเท่านั้น!”

อนุชั้นต่ำ คือทาสที่มีสถานะต่ำต้อยยิ่งกว่านางต้นห้อง หรือแม้แต่สาวใช้ในจวนเสียอีก

กลางวันต้องทำงานหนัก กลางคืนต้องปรนนิบัติรับใช้นาย แม้แต่บุตรที่ให้กำเนิดก็ยังต้องมีเป็นทาส

แต่ในยามนี้ ลู่จื้อกลับไม่มีแก่ใจจะเรียกร้องความยุติธรรมให้หลิ่วซีอิน

ตำแหน่งซื่อจื่อของตนเองยังรักษาไว้ไม่ได้!

กลับกลายเป็นว่าบุตรชายอนุอย่างลู่ยวน ที่คอยขัดแย้งกับเขาทุกวัน กลับก้าวขึ้นมาอยู่เหนือเขาเสียได้!

มู่เหยากอดป้ายวิญญาณไว้ ยิ่งเห็นสีหน้าสิ้นหวังของลู่จื้อ นางก็ยิ่งรู้สึกสะใจ

เมื่อจัดการคนในตระกูลลู่ไปสองคนแล้ว ฮ่องเต้จึงหันไปถามมู่เหยาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“จัดการเช่นนี้ เจ้าพอใจหรือไม่?”

มู่เหยาพยักหน้า “หม่อมฉันบังอาจทูลขอพระบรมราชานุญาต ขอถอนหมั้นกับลู่จื้อเพคะ”

ลู่จื้อรู้สึกหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ มองมู่เหยาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ถอนหมั้น?

หลิ่วซีอินเป็นได้เพียงอนุชั้นต่ำไปตลอดชีวิต ไม่มีผู้ใดเป็นภรรยาเท่าเทียมกับนางอีก เหตุใดยังต้องถอนหมั้นอีกเล่า?

เขาคิดมาตลอดว่า การที่มู่เหยาทำถึงขนาดนี้ ก็เพียงต้องการจะแข่งบารมีกับหลิ่วซีอินเท่านั้น

ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิด มีท่าทีลังเลเล็กน้อย

“เราจำได้ว่าเจ้าใกล้จะอายุครบสิบเจ็ดปีแล้ว หากถอนหมั้นในยามนี้ เกรงว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะออกเรือนไม่ได้”

สตรีในแคว้นอวิ๋น เมื่ออายุสิบเจ็ดถือว่าอายุมากแล้ว ผู้ที่อายุเกินสิบเจ็ดปีแล้วยังไม่ได้ออกเรือน จะถูกมองว่ามีร่างกายผิดปกติหรือมีความประพฤติที่ไม่ดีงาม กระทั่งพ่อม่ายหรือชายโสดก็ไม่ยินดีจะแต่งด้วย ส่วนใหญ่ก็ต้องโกนผมบวชชี

มู่เหยาเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่เดือนก็จะครบรอบสิบเจ็ดปี นางไม่กลัวว่าจะออกเรือนไม่ได้จริง ๆ หรือ?

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง