เข้าสู่ระบบผ่าน

ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง นิยาย บท 4

คืนก่อนวันแต่งงาน

มู่เหยาเร่งปักเย็บทั้งคืน ในที่สุดก็ปักชุดแต่งงานที่เจิดจรัสจนเสร็จสมบูรณ์

หนิงจู๋ปรนนิบัติมู่เหยาพลางช่วยสวมใส่ชุดแต่งงานสีทองอร่ามตา ยิ่งขับเน้นให้มู่เหยาซึ่งงดงามอยู่แล้ว ดูสวยสะพรั่งยิ่งขึ้น

“คุณหนูสวมชุดแต่งงานงดงามเพียงนี้ แต่กลับต้องไปแต่งให้กับคนตระกูลนั้น ช่างน่าเจ็บใจเสียจริง!”

หนิงจู๋เอ่ยด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่ก็รู้ดีว่าพระราชโองการนั้นมิอาจขัดขืน

มู่เหยาลองชุดแต่งงานเสร็จ ก็พับเก็บวางไว้บนโต๊ะอย่างเรียบร้อย

แม้ว่านางจะไม่ยินดีกับการแต่งงานครั้งนี้ แต่ชุดแต่งงานชุดนี้ นางตั้งใจทำอย่างที่สุด

อย่างไรเสีย พรุ่งนี้นางจะต้องสวมชุดนี้เดินแห่ไปทั่วเมือง จำต้องดึงดูดทุกสายตาของผู้คนให้ได้มากที่สุด

“ไปนำป้ายวิญญาณของท่านพ่อมา”

หนิงจู๋ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงเข้าใจว่ามู่เหยาแค่อยากจะกราบไหว้บิดามารดาอีกสักครั้งให้ดีก่อนออกเรือน

ก่อนเข้านอน

มู่เหยานำป้ายสลักอักษร “ที่สถิตมู่เหอ จงซู่กง” มาวางไว้ที่หัวเตียง ปลายนิ้วเรียวลูบไล้แผ่นป้ายอย่างแผ่วเบา

ท่านพ่อ พรุ่งนี้ลูกคงต้องรบกวนท่าน

มิเช่นนั้น เกียรติยศของตระกูลมู่คงจะมลายสิ้น

รุ่งเช้า ฟ้ายังไม่สาง มู่เหยาก็ถูกหนิงจู๋ปลุกขึ้นมาแต่งหน้าทำผม

เทียนแดงสว่างทั่วทั้งจวน สร้างบรรยากาศแห่งความสุข

ถึงกระนั้น กลับไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลยสักคน

การแต่งงานนี้เป็นการเหยียดหยามตระกูลมู่ จะนับเป็นเรื่องมงคลได้อย่างไร?

แม่สื่อที่ตระกูลลู่ส่งมาก็มาถึงตั้งแต่เช้าตรู่ คอยหวีผมดำขลับของมู่เหยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เกี้ยวที่จวนโหวส่งมารออยู่หน้าประตูแล้วเจ้าค่ะ มีถึงสี่หาม หากเป็นคนทั่วไป นี่ถือเป็นพิธีที่ยิ่งใหญ่สมเกียรติแล้ว!”

แม่สื่อกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางเอ่ยยกยอตระกูลลู่

มู่เหยามองใบหน้างดงามของตนเองในกระจกทองเหลือง ทว่ามุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน

“เจ้าเองก็รู้ ว่าการใช้ขบวนเกี้ยวสี่หามถือว่าสมเกียรติสำหรับครอบครัวทั่วไป แต่ตระกูลลู่เป็นตระกูลธรรมดาหรือไร?”

คิดจะยกยอก็ไม่ควรยกยอเช่นนี้

รอยยิ้มของแม่สื่อแข็งค้าง ฉายแววอึดอัดชัดเจน

นางรับเงินของตระกูลลู่มาแล้ว ย่อมต้องพูดเข้าข้างตระกูลลู่เป็นธรรมดา

ถึงแม้ ในใจนางเองก็รู้สึกว่าการที่จวนโหวใช้ขบวนเกี้ยวเพียงสี่หามนั้นออกจะน่าอดสูอยู่บ้าง…

“แล้วหลิ่วซีอินเล่า นางได้แปดหามมิใช่หรือ?”

มู่เหยาเอ่ยถามอีกครั้ง แต่แม่สื่อกลับหลบตาไม่ยอมตอบ

เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของนาง มู่เหยาจึงเข้าใจได้ในทันที

ดีเสียอีก นางยังกลัวว่าความแตกต่างจะน้อยเกินไปด้วยซ้ำ

มู่เหยายัดตำลึงเงินก้อนหนึ่งใส่มือแม่สื่อ “รบกวนท่านกลับไปบอกลู่จื้อด้วยว่า สี่หามนั้นน่าอดสูเกินไป ข้าไม่แต่งแล้ว”

แม่สื่อถึงกับงุนงง ยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะถูกคนอื่นไล่ตะเพิดออกไปในที่สุด

ทำไมไม่บอกแต่เนิ่น ๆ ว่าจะไม่แต่ง บัดนี้จวนก็ตกแต่งแล้ว ชุดเจ้าสาวก็สวมแล้ว

นางเพิ่งจะมาบอกเอาตอนนี้ว่าจะไม่แต่งงั้นรึ?

หนิงจู๋ขับไล่แม่สื่อออกจากจวนมู่ รู้สึกสะใจได้ไม่นาน ก็นึกขึ้นได้ว่านี่เป็นการสมรสพระราชทาน

ไม่แต่ง... นั่นก็เท่ากับขัดราชโองการมิใช่หรือ?

“หนิงจู๋ ไปตามลุงหวังให้ปลดป้ายหน้าห้องโถงลงเสีย แล้วเรียกบ่าวไพร่ในจวนทั้งหมดที่ได้ทำสัญญาขายตัวมาที่นี่”

มู่เหยายังคงสงบนิ่ง ให้หนิงจู๋ที่ยังมีสีหน้างุนงงออกไป

จนกระทั่งลานจวนมู่เต็มไปด้วยบ่าวไพร่ ด้านหน้าตั้งป้ายพระราชทานที่ฮ่องเต้เขียนด้วยลายพระหัตถ์ว่า “ตระกูลผู้ภักดีและทรงปัญญา”

“ตระกูลผิงหยางโหวดูถูกว่าตระกูลมู่ของข้าไม่มีคน ใช้ขบวนเกี้ยวสี่หามมาหยามเกียรติข้า”

“วันนี้ข้าจะพาพวกเจ้าไปเปิดหูเปิดตา ไปทูลขอความเป็นธรรมจากฮ่องเต้”

……

ณ จวนผิงหยางโหว

แม่สื่อโน้มตัวลงกระซิบข้างหูลู่จื้อ แจ้งเรื่องที่มู่เหยาไม่ยอมแต่งงาน

แต่เมื่อลู่จื้อฟังจบ กลับมิได้ตระหนก หากแต่หัวเราะออกมา หัวเราะอย่างเหยียดหยามและผยอง

“การสมรสพระราชทาน หากนางไม่แต่งก็เท่ากับขัดราชโองการ เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่านางจะกล้าหาญถึงเพียงนั้น?”

บัดนี้เบื้องหน้าประตูวัง มู่เหยาได้นำพาผู้คนตระกูลมู่กว่าหลายสิบชีวิต มาคุกเข่าเรียงรายเป็นแถวอย่างเอิกเกริก

เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน มู่เหยาสั่งให้คนแบกเกี้ยวสี่หามที่ตระกูลลู่มอบให้

ด้านหลังนางสะพายป้าย “ตระกูลผู้ภักดีและทรงปัญญา” กอดป้ายวิญญาณของบิดาไว้ในอก สวมชุดแต่งงานเดินแห่ประจานไปทั่วเมือง

คนตระกูลมู่เหล่านี้ ตีฆ้องร้องป่าวประกาศคุณธรรมของตระกูลลู่ไปทั่วทั้งเมือง แล้วมาคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังไม่ยอมไปไหน

ป้ายที่มู่เหยาแบกนั้น เป็นลายพระหัตถ์ของฮ่องเต้ ส่วนป้ายวิญญาณที่นางกอดไว้ ฮ่องเต้ก็ทรงใช้มีดสลักอักษรด้วยพระองค์เอง

เหล่าทหารยามที่ประตูวังจะตีก็ไม่ได้ จะด่าก็ไม่ได้

เพราะนี่คือของพระราชทาน หากใครกล้าแตะต้องแม้แต่น้อย ก็มีโทษถึงประหารชีวิต

ทีแรกฮ่องเต้ส่งหลี่กงกงมาก่อน แต่มู่เหยาไม่ยอมลุกขึ้น นางยืนกรานที่จะรอจนกว่าลู่จื้อจะมาถึงเสียก่อน

มู่เหยาคุกเข่านานเท่าใด ฮ่องเต้ก็ต้องรอเป็นเพื่อนนางอยู่ที่หน้าประตูวังนานเท่านั้น

นี่คือลูกกำพร้าของขุนนางผู้ซื่อสัตย์ อีกทั้งยังนำป้ายที่เขาเขียนด้วยตนเองมาด้วย เขาจะเพิกเฉยได้อย่างไร?

หากเขาไม่ออกมา ขุนนางฝ่ายบุ๊นในราชสำนัก และชาวบ้านในเมืองหลวงที่เห็นเหตุการณ์กับตาตนเอง จะไม่นินทาว่าร้ายเขาอยู่ลับหลังหรอกหรือ?

รอไปนานเท่าใดมิทราบ ในที่สุดหลี่กงกงก็พาลู่จื้อและหลิ่วซีอินมาถึง

เมื่อเห็นมู่เหยาในชุดแต่งงานคุกเข่าตัวตรงอยู่หน้าประตูวัง ลู่จื้อก็หน้ามืดตาลาย เกือบจะหมดสติล้มลงไปตรงนั้น

มู่เหยาเพียงบอกว่าจะไม่แต่งแล้ว แต่นางไม่ได้บอกว่าจะนำเรื่องนี้ไปร้องเรียนต่อหน้าฮ่องเต้!

“ซื่อจื่อช่างมีหน้ามีตาเสียนี่กระไร ปล่อยให้เราต้องรอเจ้านานถึงเพียงนี้!”

เมื่อเห็นลู่จื้อ ฮ่องเต้ก็ด่าทอเขาด้วยความโกรธกริ้ว

หนึ่งชั่วยาม ที่เขาถูกแดดเผาจนตาลาย!

เมื่อลู่จื้อมาถึง มู่เหยาก็ยอมลุกขึ้นเสียที นำพาผู้คนเดินเข้าไปในวังอย่างเอิกเกริก

พวกเขาคุกเข่าลงในท้องพระโรง มู่เหยากอดป้ายวิญญาณของบิดาไว้อย่างเงียบงัน น้ำตาร่วงหลั่งเป็นสายแล้วสายเล่า

ทุกครั้งที่มู่เหยาร่ำไห้น้ำตาร่วง ผิงหยางโหวซึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้า มองป้ายวิญญาณในอ้อมอกของนาง หัวใจก็เย็นเยียบลงทุกที

บุตรชายโง่เขลาของเขา ก่อเรื่องใหญ่หลวงเสียแล้ว!

เมื่อมู่เหยาคุกเข่าอยู่หน้าประตูวัง ขุนนางในราชสำนักต่างก็ได้รับข่าวสาร ทุกคนต่างสั่งให้ฮูหยินของตน ห้ามไปร่วมงานแต่งของลู่จื้ออีกต่อไป

แขกเหรื่อหนีหายไปจนหมดแล้ว พวกเขายังไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติ กลับยังมีหน้ามาทำพิธีคำนับกันได้!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง