ยามเรือเทียบท่า ขอบฟ้าเริ่มจับสีเหลืองทอง
ใต้อาทิตย์อัสดง ลมในฤดูใบไม้ร่วงเย็นยะเยือกเป็นพิเศษ
มู่เหยาห่มคลุมร่างด้วยเสื้อคลุม ค่อย ๆ ก้าวลงจากเรือโดยมีหนิงจู๋ช่วยประคอง สายลมแผ่วเบาพัดผ่านชายกระโปรง ยิ่งขับเน้นให้ใบหน้าที่เย็นชาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดูสูงส่งเหินห่างยากจะเอื้อมถึง
“คุณหนู ท่านดูนั่นสิเจ้าคะ”
นางมองตามเสียงของหนิงจู๋ ครั้นเห็นใบหน้าที่เผยออกมาอย่างชัดเจนภายใต้ม่านรถม้าของจวนผิงหยางโหวที่เลิกขึ้นมุมหนึ่ง แววตาของนางก็ไหววูบไปชั่วขณะ
หลิ่วซีอินอาจสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง จึงแย้มยิ้มให้นางบาง ๆ
เพียงแต่รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความเสแสร้ง ปราศจากความจริงใจแม้แต่น้อย
มู่เหยานิ่งเงียบไม่พูดจา เก็บสายตากลับมาอย่างเฉยเมย แล้วหันกายไปยังรถม้าของจวนมู่
“กลับจวนเถิด”
เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน นางก็รู้สึกอ่อนล้าเต็มทีแล้ว
ยามรถม้าเคลื่อนผ่านรถม้าของจวนผิงหยางโหว ยังพอได้ยินเสียงกำชับเตือนของฟังมามาแว่วมา เป็นที่ชัดเจนว่านางกำลังให้ลู่จื้ออยู่แต่ในจวนอย่างสงบเสงี่ยม เพื่อสำนึกผิดตนเองจนกว่าจะถึงงานชุมนุมกวี!
ครั้นรถม้าเคลื่อนออกไปได้ระยะหนึ่ง มู่เหยาซึ่งกำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ ก็ได้ยินสาวใช้ข้างกายนางเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจ
“คุณหนู คุณชายใหญ่ลู่ก่อเรื่องเช่นนี้ คนมีตาต่างก็มองออกว่าเขาคิดวางแผนร้ายต่อคุณหนูแท้ ๆ เหตุใดการลงโทษจึงได้เบาเพียงนี้เจ้าคะ!”
“อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนของจวนผิงหยางโหว องค์หญิงใหญ่กระทำเช่นนี้ก็มิได้ผิด อีกทั้งการถูกกักบริเวณ สำหรับคนถือหน้าถือตาเช่นเขา ก็นับว่าเป็นการลงโทษที่ทำให้เสียหน้าที่สุดแล้ว”
มู่เหยาตระหนักดี ว่ายามนี้จวนผิงหยางโหวก็ถือเป็นผู้นำเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋น
การที่นางต้องอุ้มป้ายวิญญาณของบิดาคุกเข่าอยู่หน้าประตูวังนั้น จึงจะพอทำให้นางได้เปรียบอยู่บ้าง
หากต้องเผชิญหน้ากันจริง ๆ นาง... คงมิอาจสู้ได้
“เรื่องของจวนผิงหยางโหวไม่ต้องไปใส่ใจ มะรืนนี้จะต้องไปไหว้บรรพชนที่วัดชิงซาน เจ้าต้องเตรียมของให้พร้อมแต่เนิ่นๆ อย่าได้สะเพร่าเหมือนปีที่แล้ว” มู่เหยาตัดบทสนทนาอย่างเหมาะเจาะ นางคร้านจะสนใจเรื่องของจวนผิงหยางโหว
แล้วจึงกล่าวอีกว่า “แวะไปที่ห้องตำรา นำบทกวีที่ข้าเคยอ่านเมื่อก่อนมาให้ด้วย”
หนิงจู๋กะพริบตา แววตาฉายประกายยินดี
“คุณหนูหยิบบทกวีขึ้นมาอ่านอีกครั้ง คงตั้งใจจะชิงตำแหน่งผู้นำงานชุมนุมกวีสินะเจ้าคะ?”
มู่เหยาพยักหน้า “ผู้นำในงานชุมนุมกวีจะได้รับพระราชทานพรจากฝ่าบาท หากข้าได้ตำแหน่งผู้นำ ก็สามารถทูลขอให้ฝ่าบาทพระราชทานสินเดิมแก่ข้าเพิ่มเติมได้ ถึงตอนนั้น ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเห็นแก่หน้าจวนผิงหยางโหวอีก”
พรสวรรค์ด้านวรรณศิลป์ของนางนั้นดีมาแต่ไหนแต่ไร บิดามารดาได้ถ่ายทอดความสามารถทั้งหมดให้แก่นาง
ไม่เคยมีความคิดว่านางเป็นเพียงเด็กผู้หญิง จึงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิชาอักษรศาสตร์เหล่านี้
เพียงแต่ในอดีต นางคำนึงถึงความรู้สึกของลู่จื้อ จึงไม่อยากทำตัวโดดเด่น
แต่บัดนี้ ตำแหน่งผู้นำนี้ นางย่อมต้องแย่งชิงมาให้ได้!
“บ่าวจะรีบไปนำมาให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
ในขณะที่จวนมู่อบอวลไปด้วยบรรยากาศอันปรองดอง ภายในจวนผิงหยางโหวกลับมีแต่เสียงตวาดดุดัน
“ไอ้ลูกทรพี! เจ้ากล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร! จวนผิงหยางโหวของเราคืออะไรกัน? คือขุนนางฝ่ายบุ๋น! ขุนนางฝ่ายบุ๋น เจ้าเข้าใจหรือไม่!”
“เจ้าคิดวางแผนเล่นงานคนอื่น กล้าใช้วิธีที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ได้อย่างไร ไอ้ลูกทรพี! เจ้าคิดจะยั่วโมโหพ่อคนนี้ให้ตายทั้งเป็น เพื่อที่เจ้าจะได้ขึ้นเป็นโหวเร็วขึ้นอย่างนั้นรึ!”
เสียงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดของผิงหยางโหวดังสะท้อนไปทั่วลานบ้าน ทำให้เหล่าบ่าวไพร่ยิ่งก้มหน้าต่ำลงไปอีก
แม้แต่จังซื่อผู้ซึ่งตามใจลู่จื้อมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับผิดคาด ไม่ได้ช่วยพูดแก้ต่างให้ ได้แต่จ้องมองบุตรชายด้วยความผิดหวังระคนระอาใจพลางส่ายหน้า
“ลูกเอ๋ย ต่อไปนี้เจ้าเลิกคบค้าสมาคมกับพวกเพื่อนชั่วพวกนั้นเสียที ดูซิว่าไปเรียนรู้เรื่องต่ำช้าอะไรมาจากข้างนอกบ้าง!”
ถึงแม้ว่าจวนผิงหยางโหวของพวกเขาจะหมายปองสินเดิมอันมหาศาลนับสิบล้านตำลึงของมู่เหยา แต่ก็ไม่อยากจะทำให้ตัวเองต้องมัวหมอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการกระทำที่น่าละอายเช่นนี้!
ลู่จื้อคุกเข่าอยู่บนพื้น ใบหน้าบิดเบี้ยว แววตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังต่อมู่เหยา “ครั้งนี้เป็นเพราะนางโชคดีเท่านั้น...”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้ผิงหยางโหวโกรธจัดจนถีบออกไปอีกครั้ง จนร่างนั้นกระเด็นไปไกลถึงสองเมตร


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ทำไมฉันเสียเงินซื้ออ่านในเว็บไซต์ แล้วพอรีโหลดอ่านใหม่ ตอนที่ 59 ไม่ได้อีก มันขึ้นว่าขัดข้อง ขอโทษนะ เงินก็จ่ายจะขัดข้องอะไร หัดปรับปรุงระบบด้วย คนอ่านเสียอารมณ์...
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...