เยี่ยนสวินเหลือบมองปลายนิ้วของนางที่เคลื่อนไหวเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาและทรุดตัวนั่งยองๆ
มู่เหยาตกใจกับการกระทำนั้นมาก รีบเบี่ยงตัวออกไปอีกทางทันที
ก่อนจะเห็นบางอย่างปรากฏขึ้นที่เอวของตัวเอง
มันคือจี้หยกม่วงที่เขามักใส่ไว้บนเอวเสมอ
มู่เหยาตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงอันเคร่งขรึมของชายคนนั้นจะดังขึ้นเหนือศีรษะของนาง
“คืนนี้ข้าจะเข้าวังไปขอประทานอนุญาต ไม่ทำให้เจ้าต้องน้อยใจแน่”
นางช้อนตามองดวงตาสีดำสนิทของเยี่ยนสวิน ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในใจ
นางอยากลองเชื่อดูอีกสักครั้ง
เยี่ยนสวินจากไปนานกว่าที่มู่เหยาจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
“คุณหนู เริ่มเย็นย่ำแล้ว พวกเรารีบกลับจวนกันดีหรือไม่เจ้าคะ”
มู่เหยาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างพลางพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ขณะลุกขึ้นยืนก็หยิบกระดาษที่เยี่ยนสวินทิ้งไว้ขึ้นมาส่งให้หนิงจู๋
“กลับแล้วเอาไปเผาไฟเสีย”
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความสงสัย มู่เหยาจึงถอดจี้หยกออกจากเอวและถือไว้ในมือก่อนออกไปข้างนอก
เมื่อกลับถึงจวนมู่
นางจึงวางมันลงบนโต๊ะพลางมองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะสังเกตเห็นรอยแตกร้าวบนจี้หยกนั้น
“ทำไมถึงหายไปชิ้นหนึ่งล่ะ”
มู่เหยาเริ่มสำรวจอีกครั้งด้วยความตกใจ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้เป็นเพราะนางไปชนอย่างไม่รู้ตัว แต่มันเป็นอย่างนี้มานานแล้ว นางจึงรู้สึกเบาใจขึ้นมา
“คงเป็นเพราะท่านอ๋องทำมันแตกโดยไม่ได้ตั้งใจตอนออกรบ จี้หยกชิ้นนี้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะของท่านอ๋อง แสดงให้เห็นว่าท่านอ๋องมีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณหนูไม่น้อยเลย”
ฉางชิงกับหนิงจู๋ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูได้ยินสิ่งที่ทั้งสองพูดคุยกันในห้องส่วนตัวอย่างชัดเจน
หนิงจู๋รู้สึกเป็นห่วงคุณหนูของนางไม่น้อย แต่เมื่อเห็นจี้หยกนี้ ความกังวลในใจก็บรรเทาลงไปหลายส่วน
เพราะมันคือของล้ำค่า คงไม่มอบให้ใครง่ายๆ อย่างแน่นอน
แม้จวนผิงหยางโหวที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมกับตระกูลมู่มาก แต่ของแทนใจที่ส่งมาให้กลับไม่ใช่จี้หยกแสดงตัวตนของลู่จื้อ
“เขาเป็นคนดีจริงๆ”
มู่เหยาเอ่ยขณะลูบจี้หยกอย่างแผ่วเบา
ในที่สุดก็ใส่จี้หยกลงในกล่องและวางไว้ข้างเตียง
ในใจเริ่มกังวลเรื่องที่เยี่ยนสวินเข้าวังขึ้นมาเล็กน้อย
ณ ห้องทรงพระอักษร
ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมองเยี่ยนสวินที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าจริงจัง แววประหลาดใจแฝงอยู่ในดวงตา ก่อนจะปิดหนังสือกราบทูลในมือพร้อมมองเขาอย่างสนใจ
“เหตุใดวันนี้เจ้าเด็กนี่ถึงมีมารยาทยิ่งนัก มีเรื่องอะไรอยากขอเรางั้นหรือ”
เยี่ยนสวินยืดตัวขึ้นพลางกล่าวว่า “วันนี้กระหม่อมมาที่นี่เพื่อขอประทานพิธีสมรสจากฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าเด็กไม่เอาไหนคนนี้มีคนที่ชอบแล้ว ฮ่องเต้จึงเลิกคิ้วขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“แม่นางคนนั้นเป็นใครกัน”
“กระหม่อมอยากขอคุณหนูมู่แต่งงานพ่ะย่ะค่ะ”
คำว่าคุณหนูมู่ลบเลือนรอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้ไปจนหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะพ่นลมหายใจและนั่งลงบนเก้าอี้มังกร “นางนั่นเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมชื่นชมคุณหนูมู่มานาน ฝ่าบาทโปรดทรงประทานพิธีสมรสครั้งนี้ให้กระหม่อมด้วยเถิด”
เขาพูดด้วยความจริงจัง
แสงอันมืดมิดฉายแวบผ่านดวงตาของฮ่องเต้ พลางเอ่ยตอบด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “เท่าที่เรารู้ เจ้าไม่ได้ไปมาหาสู่กับคุณหนูมู่บ่อยๆ เหตุใดจึงชอบนางล่ะ”
ถ้อยคำเหล่านี้แฝงไปด้วยการหยั่งเชิงอย่างลึกล้ำ แม้แต่หลี่กงกงที่รับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานานหลังปียังต้องเหงื่อตก
กลัวเหลือเกินว่าฉู่อ๋องที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นจะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไป
“คุณหนูมู่เป็นคนไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และเข้มแข็งมาก กระหม่อมจึงชอบนางพ่ะย่ะค่ะ”
“อีกอย่างคุณหนูมู่เป็นคนใจเย็นสุขุม ไม่สร้างความวุ่นวายให้กระหม่อมอย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้ไม่ตอบสนองไปครู่หนึ่ง เขามองเยี่ยนสวินอย่างไร้อารมณ์ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ในห้องเงียบงันไปชั่วขณะ มีเพียงหลี่กงกงที่เริ่มเหงื่อไหลซึมออกมา
ผ่านไปพักใหญ่ๆ
ฮ่องเต้ก็เอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ “เราจะกลับไปทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง บังเอิญว่าเราอยากให้เจ้าไปดูเมืองฉังเสียหน่อย ดูเหมือนว่าปีนี้เมืองฉังจะเกิดน้ำท่วมบ่อย ไปสืบให้เราหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หากฝ่าบาทไม่ตอบรับคำขอของกระหม่อม เกรงว่ากระหม่อมคงเสียใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กระทั่งออกไปสืบสวนไม่ได้”
เยี่ยนสวินยืนขึ้นอย่างไม่ละอายและนั่งลงบนเก้าอี้


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ในเมื่อท่านปันใจ งั้นข้าขอแต่งกับยอดขุนนาง
ทำไมฉันเสียเงินซื้ออ่านในเว็บไซต์ แล้วพอรีโหลดอ่านใหม่ ตอนที่ 59 ไม่ได้อีก มันขึ้นว่าขัดข้อง ขอโทษนะ เงินก็จ่ายจะขัดข้องอะไร หัดปรับปรุงระบบด้วย คนอ่านเสียอารมณ์...
ใช้บัตรเติมเงินเอไอเอสได้มั้ยคะ...