ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 129

แต่ทันทีที่เหล่าพลทหารก้าวเข้าหาไป๋ชิงหลิงในระยะประชิด มันกลับมีควันสีแดงฉานพุ่งสวนเข้าหาพวกเขา จนพวกเขาต้องพากันถอยหนี

“แสบเหลือเกิน”

“ตาข้า…”

“แค่ก แค่ก แค่ก…”

“นางจักต้องใช้มนตร์ดำกับพวกเราเป็นแน่เพคะพระชายา เรารีบออกไปจากที่นี่กันก่อนเถิดนะเพคะ!” แม่นมอันที่กำลังหรี่ตาด้วยความแสบร้อนรีบพยุงตัวไป๋จิ่นขึ้นด้วยความห่วงใย

ไป๋จิ่นจึงรีบยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก ก่อนจะหันไปเขม่นใส่ไป๋ชิงหลิงที่ยังคงถูกขังอยู่ในกรงว่า “ไป๋ชิงหลิง สักวันเจ้าจักต้องตายด้วยน้ำมือของข้า แค่กแค่กแค่ก…”

หลังจากที่แม่นมอันพาไป๋จิ่นกลับออกมาจากคุกใต้ดิน หรงฉีก็วิ่งตรงเข้าหาทั้งคู่ทันทีด้วยสีหน้าแตกตื่น แล้วถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นรึจิ่นเอ๋อร์?”

“ท่านอ๋องเพคะ แม่นางผู้นั้นจักต้องเป็นพวกคลั่งไสยศาสตร์มนตร์ดำเป็นแน่ แม้แต่เหล่าพลทหารเองก็ยังถูกนางเล่นงานจนอ่วม” แม่นมอันกล่าวรายงาน

หรงฉีได้ฟังดังนั้นจึงรีบเข้าประคองร่างบางของไป๋จิ่นทันทีด้วยความร้อนรน “เจ้าเจ็บตรงไหนบ้างห้ะ จิ่นเอ๋อร์ ทหาร! ไปตามหมอหลวงมา!”

“มิต้องหรอกเพคะท่านอ๋อง นางแค่ใช้ผงยี่หร่าและผงพริกป่นกับพวกเราเท่านั้น นางมิกล้าลงมือสังหารหม่อมฉันหรอกเพคะ... แต่หม่อมฉันเองก็คิดมิถึงจริง ๆ ว่านางจักเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ เห็นทีเราคงต้องกลับไปคิดแผนใหม่กันแล้วล่ะเพคะท่านอ๋อง” ไป๋จิ่นกล่าวด้วยแววตาเฉียบคม

ในขณะที่หรงฉีเองก็กำลังโอบกอดร่างบางของนางไม่ยอมห่าง

“เช่นนั้น ให้ข้าเข้าไปจุดไฟเผาคุกใต้ดินเสียบัดเดี๋ยวนี้เลย ดีหรือไม่!” หรงฉีเอ่ยถามด้วยความหนักใจ

“อย่านะ!” ไป๋จิ่นจับมือหรงฉีไว้แน่น ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “หลังจากที่หม่อมฉันแท้งบุตรในครั้งนั้น หมอหลวงได้บอกกับหม่อมฉันว่า หม่อมฉันจักมิสามารถอุ้มท้องได้อีกแล้วจริง ๆ ดังนั้นถ้าหากนางสามารถให้กำเนิดแฝดชายหญิงแก่เราได้ มันจักดีต่อเราทั้งสองคนมิน้อยเลยนะเพคะ อีกอย่าง ไป๋เจาเสวี่ยเองก็เป็นน้องสาวฝาแฝดของหม่อมฉัน ดังนั้นเด็กที่เกิดมา จักต้องมีหน้าตาและผิวพรรณมิต่างไปจากหม่อมฉันแน่”

“จิ่นเอ๋อร์!” หรงฉีโอบกอดไป๋จิ่นไว้แน่น ก่อนจะให้คำสัตย์กับจิ่นเอ๋อร์ไปว่า “หากเราได้ทุกสิ่งที่เราต้องการแล้ว ข้าจักสังหารนางให้ตายด้วยมือของข้าเอง”

“หากท่านอ๋องทรงรับปากกับหม่อมฉันเช่นนี้แล้ว ต่อให้หม่อมฉันต้องทนทุกข์อีกสักเท่าไร หม่อมฉันก็ยอมเพคะ”

หรงฉีได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกหวงแหนไป๋จิ่นมากขึ้นไปอีก

แต่แล้วจู่ ๆ ไป๋จิ่นก็เกิดนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันคิดว่าถ้าหากท่านอ๋องหรงและท่านพ่อของหม่อมฉันมิพบร่างของเจาเสวี่ย ท่านอ๋องหรงจักต้องมิยอมยุติการค้นหาเป็นแน่”

“เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก เพราะข้ามีแผนแล้วล่ะ!”

“แต่ท่านอ๋องทรงอย่าลืมนะเพคะ ว่าที่บั้นเอวขวาของนาง มีปานรูปกระต่ายเป็นตำหนิอยู่”

หรงฉีจึงเรียกตัวเหล่าองครักษ์เข้ามากำชับอะไรบางอย่าง ก่อนจะพาไป๋จิ่นกลับเข้าไปในพระตำหนักของตนอย่างช้า ๆ

ณ จวนอ๋องหรง

“กระหม่อมได้ระดมกำลังค้นหาแม่นางไป๋ตามแม่น้ำทุกสาย และได้สอบถามชาวบ้านในแถบนั้นแล้ว แต่ก็ยังมิมีผู้ใดพบร่องรอยของแม่นางไป๋เลยพะยะค่ะ” ผู้นำองครักษ์เหยี่ยวดำกล่าวรายงานต่อหรงเยี่ย

“ปึง!” หรงเยี่ยยกมือขึ้นตบโต๊ะด้วยความโมโห ก่อนจะลุกขึ้นยืน

และกล่าวสั่งการด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “เช่นนั้นก็ลงไปค้นหาใต้น้ำให้ทั่ว จนกว่าจักเจอร่างของนาง”

“พะยะค่ะ!”

แล้วจู่ ๆ แม่นมซั่งก็อุ้มไป๋ชงเซิงที่กำลังร้องไห้งอแงเข้ามาในลานฉงหลิง เพื่อขอให้หรงเยี่ยช่วยปลอบประโลมเด็กหญิงตัวน้อย “ท่านอ๋องเพคะ นางมิยอมหลับมิยอมนอน และเอาแต่เรียกหาแม่นางไป๋ตลอดเวลาเลยเพคะ”

“ฮือ.. ฮือ…” ไป๋ชงเซิงยังคงร้องไห้ฟูมฟาย แม้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าของนางในตอนนี้ จะเป็นท่านอ๋องหรงคนโปรดของนาง

หรงเยี่ยเห็นดังนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปหานาง และปลอบขวัญนางอย่างอ่อนโยนว่า “บัดนี้นางกำลังเฝ้าดูแลพระอาการของไทเฮาในตำหนักฮุ่ยหนิง อีกมินานนางก็กลับมาแล้วหนา”

“หม่อมฉันมิได้พบหน้าท่านแม่มา 3 วันแล้ว หม่อมฉันคิดถึงท่านแม่ ท่านอ๋องหรงช่วยพาหม่อมฉัน…เข้าไปหาท่านแม่ในพระตำหนักฮุ่ยหนิงได้หรือไม่เพคะ?”

หรงเยี่ยจึงค่อย ๆ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาให้กับชงเซิง ก่อนจะกล่าวกับนางต่อไปอย่างใจเย็นว่า “ได้สิ วันพรุ่งข้าจักพาเจ้าไปหานาง แต่คืนนี้เจ้าต้องนอนที่นี่ไปก่อนนะ ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเอง”

“จริงหรือเพคะ พระองค์จักมิหายไปเหมือนคืนวานแน่นะเพคะ?” ไป๋ชงเซิงเอ่ยถามด้วยแววตาใสซื่อ

“ข้ามิหายไปไหนหรอก” หรงเยี่ยตอบกลับ ก่อนจะอุ้มชงเซิงเข้าไปในพระตำหนักอย่างช้า ๆ

“เช่นนั้น พระองค์จักต้องกอดหม่อมฉันทั้งคืนเลยนะเพคะ อย่าทิ้งหม่อมฉันไว้เพียงลำพังอีกนะเพคะ” ไป๋ชงเซิงพูดพลางเอาหน้าซุกอกอุ่นของหรงเยี่ยด้วยความหวาดกลัว

ซึ่งหรงเยี่ยเองก็คอยอุ้มนางไว้ในอ้อมอกตลอดคืน จนกระทั่งนางผล็อยหลับไปในอ้อมอกของเขา

จากนั้นมือน้อย ๆ ของเด็กหญิงตัวเล็กก็ค่อย ๆ ตกลงกลางอากาศอย่างง่ายดาย

และยิ่งหรงเยี่ยได้มองใบหน้าของเด็กน้อยใกล้ ๆ มันก็ยิ่งทำให้เขาคิดถึงไป๋ชิงหลิงมากขึ้นกว่าเดิมจนใจหวิว

แต่แล้วจู่ ๆ เสียงขององครักษ์นายหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน

หรงเยี่ยจึงต้องจำใจวางชงเซิงลงกับเตียง และรีบหันหลังเดินออกจากห้องไป

“ท่านอ๋องพะยะค่ะ… บัดนี้กระหม่อมหา…”

“ออกไปคุยกันข้างนอก” หรงเยี่ยกล่าว ก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูห้องอย่างเบามือ

“ว่ามา”

“แม่นางไป๋พะยะค่ะ… นาง…”

“เกิดอะไรขึ้นกับนาง?” หรงเยี่ยถามแทรกด้วยสีหน้าแตกตื่น

“ก่อนนี้กระหม่อมคาดว่าแม่นางไป๋เจาเสวี่ยอาจจักติดอยู่ในก้นทะเลสาบ โดยมีพืชน้ำบดบังร่างของนาง จนเป็นเหตุให้บรรดาองครักษ์มองมิเห็น พอกระหม่อมและพวกเข้าไปตรวจสอบดูอีกครั้ง… แม่นางไป๋ก็… กลายเป็นร่างที่ไร้ซึ่งวิญญาณไปแล้วจริง ๆ พะยะค่ะ” อิงซากล่าวรายงานด้วยความหนักใจ

เพราะมันไม่ง่ายเลยที่ท่านอ๋องหรงจะได้พบกับคนที่ตรงใจเขาขนาดนี้…

ซึ่งพอหรงเยี่ยได้ฟังดังนั้น เขาก็สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด โดยไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาจากปากของเขาอีกเลย

เมื่อติ้งเป่ยโหวได้ทราบข่าวนี้เข้า เขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังจุดเกิดเหตุในทันที

แต่ศพหญิงสาวที่ถูกแช่อยู่ในน้ำมาตลอด 2-3 วัน กลับแปรสภาพไปตามธรรมชาติ จนไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้ใครได้จดจำเป็นครั้งสุดท้าย...

เมื่อหรงเยี่ยเดินทางมาถึงจุดเกิดเหตุ เหล่าองครักษ์เหยี่ยวดำก็พากันคุกเข่าถวายความเคารพต่อเขาทันทีอย่างรู้งาน

“ท่านอ๋อง!” ติ้งเป่ยโหวคุกเข่าลงข้าง ๆ ศพหญิงสาว ก่อนจะแหงนหน้ามองหรงเยี่ยด้วยความสิ้นหวัง

หรงเยี่ยจึงเดินเข้าไปดึงผ้าขาวออกจากหน้าศพ ก่อนจะพบว่าใบหน้าของศพหญิงสาวนั้น ไม่เหลือเค้าโครงใด ๆ ที่สามารถยืนยันตัวตนได้เลย

ติ้งเป่ยโหวที่กำลังนั่งอมทุกข์อยู่ไม่ห่างจึงเอ่ยขึ้นด้วยความขมขื่นว่า “นาง…จากพวกเราไปแล้วพะยะค่ะท่านอ๋อง”

แต่หรงเยี่ยกลับหยิบกริชที่เหน็บอยู่ตรงชายเสื้อขึ้นมากรีดชุดของศพหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่รอช้า

ติ้งเป่ยโหวเห็นดังนั้นจึงตะโกนถามเสียงหลงว่า “ท่านอ๋องหรง พระองค์ทรงคิดจักทำสิ่งใดพะยะค่ะ?”

แต่พอเสื้อผ้าของศพหญิงสาวถูกเลาะออก มันก็เผยให้เห็นเนื้อหนังมังสาที่ขาวซีดของนางอย่างเห็นได้ชัด

ติ้งเป่ยโหวเห็นดังนั้นจึงรีบถอดเสื้อนอกของตนขึ้นคลุมร่างอันเปลือยเปล่าของศพหญิงสาวทันทีด้วยความโกรธแค้น “ท่านอ๋อง นาง…”

“นางมิใช่ไป๋เจาเสวี่ย!” หรงเยี่ยพูดพลางจ้องมองใบหน้าของศพด้วยความเย็นชา

ติ้งเป่ยโหวตกตะลึงกับสิ่งที่หรงเยี่ยกล่าว ก่อนจะหยิบของที่มากับศพขึ้นยืนยันกับหรงเยี่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “นี่เป็นสิ่งที่เจาเสวี่ยพกติดตัวอยู่ตลอด หากร่างนี้มิใช่นาง แล้วมันจักเป็นร่างของผู้ใดได้”

ติ้งเป่ยโหวเถียงกลับ ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองก็ไม่อยากให้ศพหญิงสาวตรงหน้าเป็นบุตรสาวของเขา แต่เสื้อผ้าและเครื่องประดับบนเรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ มันทำให้ติ้งเป่ยโหวมิอาจปฏิเสธได้จริง ๆ ว่า ร่างนี้คือร่างของไป๋เจาเสวี่ย

หรงเยี่ยจึงใช้กริชพลิกศพดูอีกครั้ง

ก่อนจะพบว่าที่บั้นเอวขวาของศพ มีปานรูปกระต่ายสีแดงอ่อน ๆ อยู่เพียงแค่ตัวเดียว

“หึ ถ้าหากเป็นไป๋เจาเสวี่ยจริง นางจักต้องมีปานรูปกระต่ายตรงบั้นเอวขวา 2 ตัวต่างหาก” หรงเยี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อะไรนะพะยะค่ะ!!!” ติ้งเป่ยโหวตกตะลึงที่หรงเยี่ยล่วงรู้ไปถึงตำหนิบนร่างกายของไป๋เจาเสวี่ย

ติ้งเป่ยโหวจึงยกนิ้วขึ้นชี้หน้าหรงเยี่ย และเอ่ยถามหรงเยี่ยด้วยแววตาดุดันว่า “พระองค์ ทรงรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรงั้นหรือพะยะค่ะ!?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น