เมื่อฮูหยินรองตกลงไปในน้ำ นางก็เอาแต่ตะกุยน้ำและโหวกเหวกโวยวายมิมีหยุดปาก นายท่านรองที่เพิ่งตื่นขึ้นจากภวังค์จึงรีบกระโจนลงไปในน้ำ และคว้าตัวนางกลับขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย
ส่วนเหล่าองครักษ์เหยี่ยวดำที่ถูกหรงเยี่ยส่งไปค้นหาร่างของไป๋ชิงหลิงก็พากันขึ้นจากน้ำตามมาติด ๆ
หรงเยี่ยกวาดสายตามองเหล่าองครักษ์ทีละคนอย่างช้า ๆ ด้วยความสิ้นหวัง ก่อนจะกล่าวสั่งการต่อไปอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “หากนางยังอยู่ นางก็คงจักขานรับกลับมาบ้าง แต่ถ้าหากว่านางมิอยู่แล้ว... เราก็ต้องได้เจอกับร่างของนางอยู่ดี ดังนั้นไม่ว่ากระแสน้ำจักไหลไปในทิศทางไหน พวกเจ้าก็ต้องเร่งตามมันไปให้ทัน”
“กัวจ้าว เจ้าจงพาคนไปตรวจดูที่จุดสิ้นสุดของทะเลสาบด้วย” หรงเยี่ยเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการตามหาไป๋ชิงหลิง ในขณะที่ติ้งเป่ยโหวนั้นทำได้เพียงแค่ภาวนา ให้ไป๋ชิงหลิงถูกพัดพาไปยังที่ใดที่หนึ่งก็ได้... เพราะถ้าหากนางจมดิ่งลงไปยังก้นทะเลสาบแห่งนี้ ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกกับเซิงเอ๋อร์อย่างไร...
ติ้งเป่ยโหวจึงคุกเข่าลงตรงหน้าหรงเยี่ย และบอกกับหรงเยี่ยทั้งน้ำตาว่า “ท่านอ๋องหรง กระหม่อมรู้ว่าเซิงเอ๋อร์โปรดปรานพระองค์และองค์ชายน้อยมากเพียงใด ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากจักขอ…”
“เจ้าอยากให้ข้าปิดบังเรื่องนี้กับเซิงเอ๋อร์” หรงเยี่ยกล่าว พลางเหลือบมองติ้งเป่ยโหวด้วยสายตาเย็นชา
อคติที่หรงเยี่ยมีต่อติ้งเป่ยโหว มันเกิดขึ้นตั้งแต่ 5 ปีก่อน ตอนที่เขาไม่สามารถปกป้องแม่ของจิ่งหลินได้นั่นเอง
ดังนั้นไม่ว่าติ้งเป่ยโหวจะทำสิ่งใด มันก็มักจะทำให้หรงเยี่ยเกิดความขัดอกขัดใจอยู่เสมอ
แต่พอมาวันนี้…
คนที่เป็นเสมือนแม่แท้ ๆ ของจิ่งหลินก็ยังต้องมารับเคราะห์จากคนในตระกูลติ้งเป่ยโหวอีก!
“เหตุใดข้าต้องปิดหูปิดตาให้กับเรื่องพรรค์นี้ด้วย” หรงเยี่ยเอ่ยถาม พลางยกดาบขึ้นชี้หน้าติ้งเป่ยโหว
ติ้งเป่ยโหวจึงยืดอกสู้ ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง จนน้ำใส ๆ ไหลรินออกจากตาทั้งสองข้าง “เซิงเอ๋อร์…ยังเด็กนัก หากกระหม่อมตามหาเจาเสวี่ยพบแล้ว…”
“แล้วถ้าหากเราไม่พบตัวนางล่ะ!” แววตาของหรงเยี่ยเริ่มดุดันขึ้น จนติ้งเป่ยโหวที่กำลังหลับตาปี๋ยังสามารถสัมผัสได้
แต่ตัวติ้งเป่ยโหวเอง
ก็ไม่กล้าจะคิดถึงจุดนั้นนัก
เพราะเขาตั้งใจไว้แล้วว่า เขาจะต้องพาไป๋ชิงหลิงกลับมาให้ได้
หรงเยี่ยเห็นดังนั้นจึงค่อย ๆ ลดดาบลง แล้วหันไปสั่งการกับเหล่าองครักษ์เหยี่ยวดำว่า “เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และจงระดมกำลังเพื่อค้นหานางต่อไป”
“พะยะค่ะ” แล้วเหล่าองครักษ์เหยี่ยวดำก็แยกย้ายกันไปกำชับกับชาวบ้านในแถบนั้น ให้ช่วยกันปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และห้ามมิให้ผู้ใดออกมามุงดู
แต่เมื่อเวลาผ่านไป 3 วัน 3 คืน ทั้งหรงเยี่ยและติ้งเป่ยโหวก็ยังไม่พบวี่แววของไป๋ชิงหลิงเลยแม้แต่น้อย
และมันแลดูเหมือนกับว่า นางได้หายเข้ากลีบเมฆไปแล้วยังไงอย่างงั้น...
ณ จวนท่านอ๋องต้วน
หลังจากที่ประตูพระตำหนักถูกเปิด
ชายนิรนามผู้หนึ่งก็ค่อย ๆ ย่องเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างเงียบเชียบ “บัดนี้ ยังมิมีผู้ใดพบร่องรอยของไป๋เจาเสวี่ย หนำซ้ำท่านอ๋องหรงและเหล่าองครักษ์เหยี่ยวดำยังรวมหัวกันปิดข่าว ทั้ง ๆ ที่พวกมันเองก็ยังระดมกำลังออกตามหาร่างของนางต่อไปแบบมิมีหยุดพักพะยะค่ะ”
ไป๋จิ่นที่กำลังนั่งอยู่บนตักของหรงฉีจึงบรรจงป้อนองุ่นเข้าปากหรงฉี แล้วพูดขึ้นว่า
“ถึงเวลาพบปะเพื่อนเก่าแล้วกระมังเพคะ ท่านอ๋อง”
หรงฉีจึงรวบตัวนางเข้ามาจูบอย่างดูดดื่ม แล้วตอบกลับไปว่า “หากมิใช่เพราะความรอบคอบของเจ้า ข้าก็คงมิมีทางรู้ได้แน่ ว่านางยังคงมีชีวิตอยู่จริง… คราวนี้… ข้าจักสังหารนาง และสับร่างของนางให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ”
“มิได้นะเพคะ!” ไป๋จิ่นกระซิบที่ข้างหูของหรงฉี…
หรงฉีจึงแย้งกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เช่นนั้น มันก็ไม่ยุติธรรมกับเจ้าหนะสิ!”
“ท่านอ๋องเพคะ องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ จักต้องรู้จักละเว้นเรื่องยิบย่อยเช่นนี้ไปให้ได้ พระองค์ทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดนะเพคะ”
“ก็ได้ แต่ถึงอย่างไร...ข้าก็ต้องสังหารนาง เพื่อแก้แค้นให้กับลูกของเรา”
ไป๋จิ่นจึงก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากของหรงฉี ก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องโถงใหญ่ไป
เมื่อประตูคุกใต้ดินถูกเปิด ไป๋จิ่นจึงค่อย ๆ ก้าวเข้ามา และยืนมองหญิงสาวผู้ซึ่งถูกกักขังอยู่ภายในกรงด้วยแววตาเฉียบคม
“มิเจอกันนานเลยนะ ไป๋ชิงหลิง….”
เมื่อไป๋ชิงหลิงเห็นว่าคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางในตอนนี้คือไป๋จิ่น ร่างกายของนางจึงเริ่มสั่นเทาขึ้นมาในทันที
แต่ทำไมไป๋จิ่นถึงเรียกขานเราเช่นนั้น?
ไป๋ชิงหลิงจึงค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งบนกองฟางและหันมองไปรอบ ๆ ด้วยความหวาดกลัว
แต่พอสายตาของไป๋ชิงหลิงเริ่มมองเห็นอะไรต่อมิอะไรชัดเจนขึ้น มันกลับยิ่งทำให้นางต้องตกตะลึงมากกว่าเดิมหลายสิบเท่า
เพราะที่แห่งนี้… มันคือคุกใต้ดินของจวนท่านอ๋องต้วน!
หลังจากที่ไป๋ชิงหลิงถูกไป๋หมิงอวี้ผลักลงไปในทะเลสาบที่กำลังเชี่ยวกราก ไป๋ชิงหลิงก็พยายามสู้กับกระแสน้ำอยู่นาน จนกระทั่งนางสามารถพาตัวเองเข้าใกล้ริมฝั่งแห่งหนึ่งได้ แต่ไม่ทันที่นางจะเอื้อมมือถึงฝั่ง นางก็ดันถูกพืชน้ำแถว ๆ นั้นรั้งไว้ จนเป็นเหตุให้นางต้องจมดิ่งลงไปยังก้นทะเลสาบด้วยความอ่อนแรง
จากนั้นนางก็พยายามสลัดตัวออกจากพืชน้ำเหล่านั้นอยู่นาน จนกระทั่งนางหมดสติไปในที่สุด
แต่ทำไมนางถึงมาอยู่ในคุกใต้ดินของจวนท่านอ๋องต้วนได้ล่ะ
ไป๋ชิงหลิงคิดทบทวนทุกสิ่งอย่าง พลางยกมือขึ้นลูบแก้มที่กำลังซีดผาดด้วยความสงสัย
“คิดมิถึงจริง ๆ ว่าเจ้าจักยังมีชีวิตอยู่” ไป๋จิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมกับส่งสายตาเย็นเยียบมาที่ไป๋ชิงหลิง
“ข้าเคยคิดสงสัยเหมือนกันนะ ว่าถ้าหากเจ้ากับข้าได้วกมาเจอกันเข้าสักวัน ตัวเจ้าจักทำเช่นไร...
แต่จักว่าไป… นังเด็กเซิงเอ๋อร์นั่นก็ดูคล้ายเจ้าเมื่อสมัยยังเด็กเหมือนกันหนิ หากท่านอ๋องมิคว้าตัวเจ้าขึ้นจากทะเลสาบนั่น ข้าก็คงมิมีทางเชื่อหรอกนะว่า เจ้าจักยังมีชีวิตอยู่
แถมเด็กคนนั้น… ยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้เสียด้วย…”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” ไป๋ชิงหลิงหัวเราะร่า ทั้ง ๆ ที่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความเย็นชา
“จักตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ยังหัวเราะออกอีกรึ!” ไป๋จิ่นตะคอกถามเสียงแข็ง
“เจ้านี่ช่างน่าสงสารจริง ๆ เลยหนา ไป๋จิ่น” ไป๋ชิงหลิงพูดพลางลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และกล่าวต่อไปว่า “เจ้ามิกลัวหรือไร ว่าถ้าหากท่านอ๋องของเจ้ามาล่วงรู้ความลับอันเลวทรามของเจ้าเข้า...”
“เหตุใดข้าต้องกลัวด้วย–” ไป๋จิ่นตอกกลับเสียงแข็ง ก่อนจะขู่ไป๋ชิงหลิงด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “แต่ข้ายังมิยอมให้เจ้าตายตอนนี้หรอกนะ เพราะถึงอย่างไร เจ้าก็ยังต้องคลอดลูกชายให้กับท่านอ๋องของข้า”
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ!?” ไป๋ชิงหลิงพุ่งเข้าหาไป๋จิ่นด้วยความเดือดดาล เมื่อนางได้ยินคำว่า "ลูกชาย" จากปากไป๋จิ่น
ไป๋จิ่นจึงยิ้มเยาะ และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงยียวนว่า “เด็กคนนั้น… ถูกท่านอ๋องต้วนโยนให้หมากินไปตั้งนานแล้วล่ะ”
“เดรัจฉาน!” ไป๋ชิงหลิงก่นด่า ก่อนจะแบฝ่ามือออก เพื่อเป่าอะไรบางอย่างให้ฟุ้งใส่หน้าไป๋จิ่น
และไม่ว่าไป๋จิ่นจะถอยหนีอย่างไร
มันก็ไม่ทำให้ไป๋จิ่นหลีกหนีควันสีขาวขุ่นนั่นได้ทันอยู่ดี
“แค่ก แค่ก แค่ก…”
“เจ้า… นี่เจ้า… แค่ก แค่ก…” ไป๋จิ่นเหลือบมองไป๋ชิงหลิงด้วยความโมโห ทั้ง ๆ ที่นางยังคงสำลักควันนั่นไม่หาย “เจ้า… เจ้าเป่าอะไรใส่ข้ากันแน่?”
“วางใจเถิด มันมิใช่ยาพิษอย่างที่เจ้าถนัดใช้หรอก” ไป๋ชิงหลิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นังแพศยา!” ไป๋จิ่นก้าวเข้าหาไป๋ชิงหลิง และหวังจะสอดมือเข้าไปตบไป๋ชิงหลิงถึงในกรง
แต่ไป๋ชิงหลิงกลับเอี้ยวตัวหนี และคว้าข้อมือเรียวของพี่สาวฝาแฝดไว้แน่น
ก่อนจะใช้เข็มเงิน 5 เล่มเสียบเข้าไปใต้เล็บของไป๋จิ่นอย่างรวดเร็ว
“กรี๊ด~” ไป๋จิ่นกรีดร้องเสียงดังลั่น
“ทหาร!”
พลทหารเฝ้าประตูจึงรีบวิ่งเข้ามาในคุกใต้ดินด้วยความแตกตื่น
จนไป๋ชิงหลิงต้องรีบปล่อยมือไป๋จิ่นแต่โดยดี
“พระชายา!” แม่นมอันวิ่งเข้ามาประคองไป๋จิ่นด้วยสีหน้าแตกตื่น
ในขณะที่ไป๋จิ่นนั้นเอาแต่ตะโกนสั่งการต่อไปด้วยความโมโหว่า “จับนางไว้ ข้าจักตัดมือนางเสียบัดเดี๋ยวนี้!”
พอได้ยินดังนั้น แม่นมอันจึงรีบหันไปตะโกนใส่หน้าเหล่าพลทหารต่อทันทีว่า “เร็วเข้าสิ!”
“ขอรับ!” เหล่าพลทหารเฝ้าประตูขานรับ ก่อนจะพากันบุกเข้าไปยืนล้อมรอบไป๋ชิงหลิงทันทีอย่างรู้งาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...
อ่านถึงตรงนี้แล้วยอมรับเลยว่าเหนื่อยแทนไป่ชิงหลิงจริงๆ...มีเรื่องตลอด...ช่วงดีๆแทบจะไม่มีเลย..แอดขาาาาตามอ่านจนจะทันแล้วนะคะลงต่อเถอะค่ะเข้ามาส่องทุกวันว่าขยับจาก 460ไปบ้างรึยังพรีสสสสส😽😽😽...
เจอแล้ว..เจอแล้ว..เป็นเรื่องที่อยากอ่านมากๆอีกเรื่องนึง..กรี๊ดลั่นรถจนลูกผัวตกอกตกใจ55555....แอดขาาา..อัพต่อไปเรื่อยๆนะคะจะตามอ่านให้ทันแน่นอนค่ะ😄🤗😊...
ตอนนี้ชื่อหรงฉี่กับอ๋องต้วนสลับกันอยู่นะอย่าทำให้สับสนสิคะ...
บท 433 แล้วมีต่อใช่มั้ยคะ...
อ่านแล้ว ยังไม่จบ แต่สถานะทำไมเสร็จสิ้นแล้ว น่าจะยังอีกหลายตอน ทำไมไม่มีการลงต่อคะ...
รอตอนต่อไปอยู่นะคะ...