ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 166

ไป๋กัวจ้าวก้าวออกไปข้างหน้า เขาทำความเคารพก่อนจากนั้นจึงทำทางเหมือน"เชิญ"

ผู้อื่นมองวาท่าทีของไปชิงหลิงนั้นดูเฉยเมยแต่ในสายตาท่านอ๋องฮุ่ยนี่เป็นบุคลิกของนาง

ที่ผ่านมาไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าขับไล่เขาออกจากจวนเช่นนี้ ไป๋ชิงหลิงเป็นคนแรก

สิ่งที่ปรมาจารย์หลูพูดนั้นถูกต้อง ผู้หญิงผู้นี้มีความฉลาด ทั้งกล้าหาญและยังมีไหวพริบ หากได้ครอบครองหัวใจของนางเพื่อใช้ประโยชน์ให้กับตนเองมีหรือจะไม่สามารถครอบครองแคว้นหรงแห่งนี้ได้

เขาจับที่คางของตนเอง มุมปากโค้งขึ้น เขายิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า"ตกลง พรุ่งนี้ข้าจะมารับเจ้าไปแต่งงานพร้อมกับเกี้ยวที่มีคนแบกแปดคน เจ้าเตรียมตัวไว้แล้วกัน แล้วจงทำให้ข้าประหลาดใจ"

ไป๋ชิงหลิงภาวนาให้ตนเอง รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่บอบบางของนาง

ท่านอ๋องฮุ่ยหันหลังเดินออกจากเรือนชิงซินด้วยความพึงพอใจ

ปรมาจารย์หลูเปิดม่านออก ท่านอ๋องฮุ่ยกระโดดขึ้นรถม้าแล้วเดินเข้าไป

ปรมาจารย์หลู"ท่านอ๋องฮุ่ยเก่งมาก ข้ายินดีกับท่านด้วยที่จะได้ดาวหงส์ไปครอง

ท่านอ๋องฮุ่ยจิตใจเบิกบาน"แผนการของเราต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่?"

อีกไม่ถึงครึ่งเดือน ท่านอ๋องฮุ่ยเพียงแค่ต้องเข้ากันได้ดีกับพระชายาฮุ่ยอย่างสบายใจ พระชายาฮุ่ยจะหาทางเอาชนะมัดใจท่านมากขึ้นในไม่ช้า เราสามารถยืมมือของพระชายาฮุ่ยมาจัดการกับท่านอ๋องหรงก่อน..."ปรมาจารย์หลูยกมือขึ้นและทำท่าทางเหมือนกำลังปาดคอ

ท่านอ๋องฮุ่ยหรี่ตาลงและพูดด้วยรอยยิ้มว่า"หลังจากเรื่องนี้สำเร็จ ข้าจะสร้างรูปปั้นสีทองสำหรับปรมาจารย์ไว้ในเมืองเฉาจิง เพื่อให้กลิ่นหอมของปรมาจารย์คงอยู่ต่อไป"

ปรมาจารย์หลูคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว"ข้าขอขอบคุณท่านอ๋องฮุ่ยล่วงหน้า"

หลังจากที่ท่านอ๋องฮุ่ยออกจากเรื่องชิงซิน ในใจของไป๋ชิงหลิงก็รู้สึกไม่สบายใจ

ติ้งเป่ยโหวกังวลมากเกี่ยวกับสถานการณ์ของนาง"เจาเสวี่ย เจ้าต้องแต่งงานเข้าจวนท่านอ๋องฮุ่ยจริงหรือ?"

ไป๋ชิงหลิงกวาดตาไปทั่วเรือน เรือนเต็มไปด้วยของหมั้น ดวงตาของนางมืดลง"ท่านพ่อ นี่เป็นพระราชฎีกา ท่านอย่าคิดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ข้างหลังของท่านยังมีจวนติ้งเป่ยโหว ส่วนข้างหลังของข้าก็มีเซิงเอ๋อร์กับเอ๋อร์ซือ มีแต่การเสียสละของข้าเพียงผู้เดียวที่จะทำให้ทุกคนปลอดภัย"

พูดจบไปชิงหลิงรู้สึกว่าการจะใช้คำว่า"เสียสละ"คำนี้ก็ไม่ค่อยถูกต้อง นางจึงพูดว่า"นอกจากนี้ ข้าไม่เรียกว่าเป็นการเสียสละ แต่เป็นเพียงท่านพ่อแค่จัดงานให้ลูกสาวแต่งงาน"

"เช่นนั้นเจ้ากลับไปที่จวนติ้งเป่ยโหวและแต่งออกจากจวนติ้งเป่ยโหวดีกว่า จวนติ้งเป่ยโหวเป็นกำลังที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังจากทุกคน ตราบใดที่เจ้าไม่ต้องการถึงแม้ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตและทรัพย์สินพ่อก็จะช่วยให้เจ้าออกจากเมืองอย่างปลอดภัย"ติ้งเป่ยโหวก็วางแผนอย่างลับๆเพราะกลัวว่าอาจมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับไป๋ชิงหลิงเขาจะได้โจมตีได้ทันเวลา

ไป๋ชิงหลิงไม่ปฏิเสธเขา"ตกลง ข้าจะแต่งออกจากจวนติ้งเป่ยโหว ท่านไม่ต้องเตรียมสินสอดแทนข้า"

ติ้งเป่ยโหวเงียบ

ถึงแม้จะรู้ว่าไป๋ชิงหลิงไม่เต็มใจที่จะแต่งงานกับท่านอ๋องฮุ่ย แต่ว่าสถานะของท่านอ๋องฮุ่ยในเมืองจิงนั้นยิ่งใหญ่มาก เรียกได้ว่าอยู่ใต้คนๆเดียวแต่อยู่สูงกว่าคนเป็นหมื่น การที่จะแต่งงานกับชายแบบนั้นในฐานะพระชายาถ้าไม่มีสินสอดก็จะดูยากจนค่ดแค้นเกินไป

จะเล่นละครก็ต้องเล่นให้เหมือนจริงมากที่สุด

ฝ่ายหญิงที่ไม่มีสินสอดแสดงว่าพวกเขาไม่ได้มีความตั้งใจที่จะแต่งงาน

สิ่งนี้ทำให้ไป๋ชิงหลิงเสียเปรียบ

"เรื่องสินสอดให้พ่อจัดการเถอะ"ติ้งเป่ยโหวเอามือไคว้หลัง น้ำเสียงหนักแน่น

ไป๋ชิงหลิงตกใจอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่ท่าทางที่เคร่งขรึมของติ้งเป่ยโหว

นางรู้ดีว่าติ้งเป่ยโหวนั้นรู้สึกไม่สบายใจมากกว่านาง ดังนั้นนางจึงไม่ปฏเสธอีกต่อไป

เพราะว่าติ้งเป่ยโหวไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องรับสินสอด

แม่นางหลิ่วควบคุมคนทั้งหมดของจวนติ้งเป่ยโหว แม่นางหลิ่วฟังแค่คำพูดของฮูหยินอาวุโส

ฮูหยินอาวุโสเกลียดนางมากขนาดนั้นมีหรือจะยอมให้สินสอดแก่นาง

ตอนพลบค่ำจักรพรรดิเหยาเรียกตัวหรงเยี่ยเข้าวัง

ในขณะที่หรงเยี่ยก้าวเข้าไปในตำหนักเฉียนชิง หมอหลวงหนึ่งในสามของสำนักหมอลวงกำลังเฝ้าห้องโถงด้านนอกของตำหนักเฉียนชิง บรรยากาศเคร่งขรึม

เขาขมวดคิ้วแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงด้านในอย่างรวดเร็ว

ใต้เท้าหลายคน ท่านอ๋องชินกำลังรออยู่ที่ห้องโถงด้านใน ใบหน้าของจักรพรรดิเหยาก็ดูเคร่งเครียดมากเช่นกัน

เมื่อเห็นหรงเยี่ยมาถึงจักรพรรดิเหยาก็ไม่สนธรรมเนียมปฏิบัติอะไรเขารีบเข้าประเด็นแล้วพูดว่า"เยี่ยเอ๋อร์ บอกทหารองครักษ์เหยี่ยวดำทั้งสามพันคนของเจ้าให้รีบออกจากเมืองพร้อมกับใต้เท้าทุกคนไปยังหมู่บ้านเส้าหยาง หมู่บ้านหลี่เจีย หมู่บ้านจางซู่และหมู่บ้านตันหยาง ควบคุมทุกหมู่บ้านห้ามให้ชาวบ้านออกไปไหนและห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาในหมู่บ้าน"

ตาของหรงเยี่ยหรี่ลง คิ้วของเขาขมวดแน่นยิ่งขึ้น ถาทด้วยความไม่เข้าใจว่า"เหตุใดต้องควบคุมหมู๋บ้าน?"

ใต้เท้าเว่ยพูดด้วยสีหน้าขาวซีด"ท่านอ๋อง ท่านยังจำเรื่องโรคที่หมอหญิงไป๋พูดได้หรือไม่?"

"เกิดอะไรขึ้นหรือ?"แล้วโรคล่ะ ไป๋ชิงหลิงยังไม่ได้ตรวจออกมา

แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เคร่งเครียดของใต้เท้าทุกคน หรงเยี่ยรู้สึกว่าสิ่งที่เขาเดาไว้อาจเป็นจริง

ใต้เท้าเว่ยพูดว่า"หมู่บ้านที่จักรพรรดิพึ่งพูดไปเป็นหมู่บ้านของเด็กที่ตายเหล่านั้น คนในครอบครัวที่นำศพกลับไปทั้งหมดตายด้วยโรคระบาด ชาวบ้านครึ่งหมู่บ้านติดโรคระบาดและยังมีชาวบ้านบางส่วนได้แสดงอาการของโรคแล้ว เมืองหลวงที่อยู่ภายใต้การดูแลควบคุมของใต้เท้าทุกคนก็ยังเกืดโรคระบาดเป็นวงกว้าง ผู้ติดเชื้อมีอาการและสาเหตุการตายที่เหมือนกัน กระหม่อมสงสัย...มีความเกี่ยวข้องกับคดีลักเด็ก เป้าหมายสูงสุดของฆาตกรคือทำลายแคว้นหรง"

หรงเยี่ยสูดหายใจเข้าอย่างลึกๆ

เมื่อจักรพรรดิเหยาได้ยินรายงานความเจ็บป่วยจากใต้เท้าทุกคน เขาก็รู้สึกปวดหัว

เมื่อสิบปีก่อนแคว้นหรงก็เคยเกิดโรคระบาดซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก แคว้นศัตรูก็ฉวยโอกาสโจมตีแคว้นหรง

ต่อมาแคว้นศัตรูก็เกิดโรคระบาดเพราะสงครามครั้งนี้ด้วย สงครามจึงยุติลง

แต่เนื่องจากสงครามทำให้แคว้นหรงต้องชะลอการรักษาทำให้ตอนนั้นมีซากศพเกลื่อนกลาดไปทั้ว

หรงเยี่ยประสานมือเข้าด้วยกันแล้วพูดว่า"เรื่องนี้มอบให้กระหม่อมจัดการได้เลย"

จักรพรรดิเหยาพูด"ข้าได้ให้ท่านอ๋องต้วน ท่านอ๋องจิ้น ท่านอ๋องอี้ให้ไปกับท่านอ๋องอันชิน เมือง อำเภอ หมู่บ้านที่ติดเชื้อทั้งหมดควรถูกปิดตาย หากมีชาวบ้านต่อต้านก็อย่าทำร้ายพวกเขาเจ้าต้องปลอบใจพวกเขาและข้าจะส่งทหารอีกห้าหมื่นนายออกจากเมืองไปช่วยเจ้า"

"เสด็จพ่อ ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้"หรงเยี่ยรีบหยุดเขา

ท่านอ๋องจิ้นหันมาและมองเขาอย่างเฉยชา"น้องเจ็ด กองกำลังห้าหมื่นนายนั้นไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องถูกส่งไปยังทุกมณฑลทุกอำเภอ เมื่อคำนวนแล้วแต่ละอำเภอแต่ละหมู่บ้านมีทหารแค่ไม่กี่คนที่สามารถใช้ได้ นอกจากนี้ยังต้องปิดกั้นทางออกตลอดทั้งวัน เป็นไปไม่ได้ที่ทหารเหล่านี้จะเฝ้าอยู่ตลอดโดยที่ไม่กินไม่ดื่มเลย ความแข็งแรงทางร่ายกายของมนุษย์มีจำกัด"

"ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำทำได้!"หรงเยี่ยยกกรามขึ้นเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชา"ขีดจำกัดคือเจ็ดวัน"

"แค่ทหารองครักษ์เหยี่ยวดำสามพันคนของเจ้า จะช่วยได้สักกี่วันกันเชียว"หรงฉี่กล่าว

ท่านอ๋องอี้ชำเลืองมองหรงเยี่ยแล้วพูดว่า"เสด็จพ่อ กระหม่อมคิดว่าสิ่งที่น้องเจ็ดพูดนั้นถูกต้อง ในเมืองจะไม่มีทหารไม่ได้ หากมีอะไรเกิดขึ้นเฉาจิงจะดึงดูดอันตรายที่ซ่อนอยู๋มากมาย"

จักรพรรดิเหยานั่งลง

เขาคิดถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ทั้งหมดที่ควรนึกถึง โรคระบาดมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันในตอนที่เขากำลังจะจัดการกับทานอ๋องฮุ่ย

เป็นเพราะสวรรค์ไม่อยากให้เขาฆ่าท่านอ๋องฮุ่ยหรือเป็นเพราะโชคของเขาไม่ดีเกินไป

"ข้ารู้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าโรคระบาด ดังนั้นทำตามที่ข้าสั่ง การเดินทางครั้งนี้จะต้องเชื่อฟังคำพูดของหมอหลวงและดูแลหมอหลวงให้ดี"หมอหลวงทั้งหมดตอนนี้คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้เราฝ่าฟันอุปสรรคไปได้

ทหารถูกใช้เพื่อควบคุมประชาชน หมอหลวงถูกใช้เพื่อรักษาผู้ป่วย สองสิ่งนี้ขาดกันและกันไม่ได้

ท่านอ๋องอี้ยังอยากจะเกลี้ยกล่อมเขาแต่กลับถูกจักรพรรดิเหยากลืนลงไป

เมื่อท่านอ๋องกับใต้เท้าทุกคนออกไปแล้ว จักรพรรดิเหยาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและพูดกับฟางกงกงว่า"เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้า ข้าจะออกจากวัง"

จักรพรรดิเหยาไปที่จวนของติ้งเป่ยโหวในคืนนั้น

อย่างไรก็ตาม เขาปลอมตัวแล้วแอบเข้ามาทางประตูหลัง ติ้งเป่ยโหวคิดว่าเขาเป็นนักฆ่าและเกือบจะทำร้ายจักพรรดิเหยา

หลังจากนั้นเขาก็ลงดิ้นอยู่ที่พื้นด้วยความตกใจ

จักรพรรดิเหยาดึงติ้งเป่ยโหวให้ลุกขึ้นและขอให้เขาพาไปพบไป๋ชิงหลิง

ในขณะที่ไป๋ชืงหลิงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า จักรพรรดิเหยาก็มา

นางพึ่งแต่งหน้าและเป็นเปลี่ยนชุดแต่งงานเสร็จ

ติ้งเป่ยโหวพาเขาเข้าไปในห้องหลักของเรือนชิงซิน ไป๋ชิงหลิงจำจักรพรรดิเหยาได้อย่างรวดเร็ว นางรีบเดินไปข้างหน้าแล้วคำนับ"หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ"

จักรพรรดินั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองไป๋ชิงหลิงด้วยสายตาที่เฉียบคม นางดูน่าทึ่งมากในชุดแต่งงานและการแต่งหน้าสีแดง...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น