จื่ออีเคยพูดว่า หลังจากใช้วิชาถอดวิญญาณ ภายในสิบวันอาการจะกำเริบ แต่หลังจากที่เธอกลับมาจากป้อมปราการทางน้ำร่างกายเธอก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
และทุกวันนี้ หรงเยี่ยก็อยู่เคียงข้างเธอตลอด
นั่นก็หมายความว่าแม้ว่าวิชาถอดวิญญาณจะอาการกำเริบ หรงเยี่ยก็จะใช้วิธีที่ทำให้เธอไม่รู้ถึงความผิดปกติใดๆในร่างกาย และท้ายที่สุดข้างกายเธอยังมีหมอเทวดาซูผู้มีทักษะทางการแพทย์ที่ไม่ด้อยไปกว่าเธอ
ทักษะทางการแพทย์ของเธอประกอบด้วยเครื่องมือมากมาย แต่ทักษะทางการแพทย์ของหมอเทวดาซูนั้นเป็นของจริง แม้จะเหนือกว่าเธอก็ตาม
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ อาการของวิชาถอดวิญญาณต้องกำเริบขึ้นแน่นอน และยังก่ออันตรายบางอย่างให้กับหรงเยี่ย แต่ว่า.....เธอจำไม่ได้แล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ความเกลียดชังและความโกรธที่เธอมีต่อหรงเยี่ย ก็ลดน้อยลงทันที เหลือเพียงความวิตกกังวลในใจ
เมื่อเธอหยิบเลือดกู่ออกมาจากกล่อง มือของเธอก็สั่น
ในเวลานี้ หยางสวี่อี้รีบกุมมือเธอทันที และตะโกนว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ รีบไป ไปหาอาเสวี่ย......”
เธอตัวแข็งทื่อ ก้มหน้ามองเขา
หยางสวี่อี้กำลังละเมอ
“อาเสวี่ย ช่วยท่านพ่อท่านแม่......”
“พี่รอง! ” ไป๋ชิงหลิงยกมืออีกข้างขึ้น ตบหลังของหยางสวี่อี้เบาๆและพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะตามหาท่านพ่อท่านแม่ให้เจอ”
หยางสวี่อี้อาจจะได้ยินเสียงของเธอ จึงค่อยๆปล่อยข้อมือของเธอ
ไป๋ชิงหลิงหยิบมีดผ่าตัดออกมาจากหีบทางการแพทย์ กรีดที่แขนของหยางสวี่อี้ และใช้แหนบคีบเลือดกู่ออกมาจากกล่อง วางบนแขนของหยางสวี่อี้
เมื่อเลือดกู่ได้กลิ่นเลือด ก็มุดเข้าไปในรอยแผล และหายเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ที่ที่มันไปถึง เส้นเลือดก็จะปูดขึ้นทีละนิด มันค่อยๆมุดลงไปจนถึงเนื้อชั้นในของมนุษย์ สุดท้ายก็ไม่เห็นอะไรเลย
ทันใดนั้นหยางสวี่อี้ก็กำผ้านวมไว้แน่น และกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
ไป๋ชิงหลิงหยิบเข็มเงินออกมา แทงเข้าไปในเส้นเลือดของเขา และฉีดยาแก้ปวดเข้าไป
มือที่กำผ้านวมแน่น ก็คลายออกทันที
เธอดึงเข็มออกอย่างใจเย็น และแขวนถุงเลือดให้หยางสวี่อี้ เพื่อให้เลือดกับเขา
เลือดกู่ที่อยู่ในร่างกายของหยางสวี่อี้ถูกเธอเลี้ยงเป็นรูปเป็นร่างแล้ว และเธอเสี่ยงที่จะใช้มัน เพิ่มความสงสัยในการติดเชื้อจากเลือดกู่ในอนาคตได้อย่างไม่ต้องสงสัย ไป๋ชิงหลิงไม่กล้าชะล่าใจแม้แต่น้อย ได้ใช้เครื่องมือคอยติดตามว่าเลือดกู่นั้นไปถึงที่ไหนบ้าง
ตราบใดที่เลือดกู่ไม่บุกไปถึงหัวใจหรือว่าสมองของหยางสวี่อี้ ก็จะไม่มีอันตรายต่อชีวิตของหยางสวี่อี้
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เลือดกู่ก็หยุดที่อยู่ท้องน้อยของหยางสวี่อี้
ขอเพียงเลือดกู่หยุดอยู่ที่ตำแหน่งเดิมเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งขึ้นไป ในช่วงเวลาสั้นๆ มันก็จะไม่เคลื่อนไหวไปที่อื่น
ในเวลานี้ ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ไป๋ชิงหลิงนึกถึงเลือดกู่ที่ยังโตไม่เต็มวัยในกล่องที่หายไป ไม่สามารถโน้มน้าวใจตัวเองได้อีกต่อไปว่าเธอเองนั้นจะสามารถเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของหรงเยี่ยได้
เธอดินออกจากห้อง ชิงอีนั่งเหม่อลอยอยู่ใต้ชายคา มือทั้งสองข้างถือจานที่มีอาหารไว้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น
จากขทที่ 907ข้ามมาบทที่ 987 เลยเหรอคะหายไป 80บท...แอดขาตามกลับมาให้หน่อยค่าาาาา😅😢😘...
จักรพรรดิตายแล้วค่อยมีกำลังใจอ่านหน่อยอย่างน้อยๆก็ไม่ต้องหัวเสียกับตาแก่งี่เง่าคนนี้อีก......
เรื่องนี้ทำพี่น้ำตาท่วมบ้าน...สามีบอกว่าถ้ามันโศกมันเศร้านักก็เลิกอ่านเหอะ...ไม่ได้สิตามมาขนาดนี้แล้วเอาให้สุดแล้วหยุดที่กระดาษทิชชู่...
อยากรู้ว่าพระเอกและนางเอกจะรู้ความจริงตอนไหนว่าเป็นครบครัวเดียวกันและจิ่นหลินคือลูกอีกคน ช่วยสปอยหน่อยค่ะ...
นางเอกเรื่องนี้เก่ง..แต่อ่อนแอและงี่เง่า..หลายครั้งที่อ่านไปถอนหายใจไป...
อัพต่อนะคะ..กำลังสนุกเลยค่ะ...
บทที่614-623เนื้อหาไม่ครบมีแค่5-6บรรทัดอ่านไม่รู้เรื่องเดาทางไมาถูกเลย...
บทที่594-602สั้นมากค่ะ...
ตอน 460 โอ้โหวว หนักหน่วงมาก ตั้งแต่แมวตาย หลังจากนั้นคนที่นางเอกรักตายเป็นใบไม้ร่วงเลย แต่คนล่าสุดเนี่ย ได้ไงวะ รับไม่ได้อย่างแรง😭 ชีวิตนางเอกบัดซบมาก คนธรรมดาที่ไหนจะทนได้วะเนี่ย เป็นคนปกติป่านนี้เป็นบ้าตายไปแล้ว ว่าแต่อีจักรพรรดิจะเลิกประสาทแดกได้ตอนไหน🤬🤬...
อยากผ่าสมองอ๋องเฉินออกมาดูว่าข้างในมันมีมันสมองอยู่จริงๆรึเปล่า...อะไรจะมึนและง่าวได้ขนาดนี้...