ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น นิยาย บท 67

หรงเยี่ยขมวดคิ้วและเงยหน้าขึ้นมองไปยังขอบหน้าต่าง

เงาของอิงอู๋ได้สะท้อนอยู่บนม่านหน้าต่าง

เขาวางมือลงบนเส้นผมของไป๋ชิงหลิงและกล่าวว่า "รีบจัดการให้เรียบร้อย"

เมื่อพูดจบ จากนั้นเขาก็ปล่อยมือจากนางและรีบเดินออกไป

หลังจากที่เขาจากไป ไป๋ชิงหลิงก็นั่งได้นั่งลงที่พื้นด้วยความหนักใจ เมื่อมองไปยังเงาที่จากไปของเขา ความโกรธที่มียังคงไม่เจือจางหายไป

สิ่งที่นางคิดไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับไป๋จิ่นหรือไม่ แต่เป็นการทำอย่างไรนางถึงจะหลุดพ้นจากเงื้อมมือของหรงเยี่ย

นางไม่ต้องการแต่งงานเป็นภรรยาของผู้ชายที่น่ารังเกียจเช่นนี้

ทว่ายิ่งคิดเท่าไรก็ยิ่งสับสน

จากนั้นนางจนลุกขึ้นและเดินเข้าไปในสระน้ำ

หลังจากที่อาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จแล้ว ไป๋ชิงหลิงก็ได้กลับไปยังห้องโถงหลัก

ไทเฮาหลับสนิท แถมยังกรนอีกด้วย

นางเฝ้าอยู่เช่นนั้นทั้งคืน

วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ไป๋ชิงหลิงถือสำรับยาเพื่อนำไปต้มที่ตำหนักข้าง

บังเอิญมีนางกำนัลกลุ่มหนึ่งเดินผ่านนางไปและพูดคุยกันว่า "ได้ยินมาว่าพระชายาต้วนแท้งบุตรในคุก"

"พระชายาต้วนแท้ง"

"ใช่ๆ อยู่มาสามปีไม่มีลูก แต่เมื่อตั้งครรภ์ก็กลับต้องมาเจอเรื่องราวเช่นนี้ ฝ่าบาทได้ส่งหมอหญิงไปเป็นจำนวนมากตลอดทั้งคืน หมอหลวงฮั่วก็ไปดูอาการ พวกเจ้าลองทายดูว่าผลออกมาเป็นอย่างไร?"

ไป๋ชิงหลิงจงใจก้าวเดินช้าๆ และตั้งใจเงี่ยหูฟัง

"พระชายาต้วนเป็นโรควิกลจริต วันนั้นที่นางลักพาตัวเด็กไป เป็นวันที่อาการของโรคกำเริบ"

"จริงหรือ เป็นโรควิกลจริตหรือ"

นางกำนัลยิ่งเดินยิ่งไกลออกไป และไป๋ชิงหลิงก็ได้เดินมาถึงห้องเครื่องต้นเป็นที่เรียบร้อย

นางได้นำตัวยาที่อยู่ในมือวางลงบนเตาเล็กๆ และจุดไฟเพื่อต้มยา

สิ่งที่วนเวียนอยู่ในหัวกลับเป็นคำพูดของนางกำนัลเหล่านั้นที่พูดไปเมื่อสักครู่

ไป๋จิ่นเป็นโรคประสาทไปแล้วอย่างนั้นหรือ?

เป็นไปได้อย่างไร!

นางดูไม่เหมือนคนบ้าเลยสักนิด

ทันใดนั้นไป๋ชิงหลิงก็นึกถึงงคำพูดของไทเฮาฮุ่ยที่ตรัสไว้เมื่อคืน

พระนางไม่ต้องการให้พระสนมเอกหรงและจักรพรรดิเหยาเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของไป๋จิ่น แต่กลับให้หรงเยี่ยเป็นคนจัดการ

เช่นนั้น คนที่ปล่อยข่าวออกมาว่าพระชายาต้วนเป็นโรควิกลจริต......ก็คือท่านอ๋องหรง!

ไป๋ชิงหลิงถอนหายใจ

วิธีการของท่านอ๋องหรงช่างแยบยลและฉลาดอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาไม่เพียงสามารถจัดการโดยบรรลุตามที่จักรพรรดิเหยาต้องการได้ แต่ถือเป็นการลงโทษไป๋จิ่นอย่างร้ายแรงอีกด้วย

เพราะราชวงศ์มีกฏว่า ผู้ที่เป็นโรควิกลจริต ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อนาคตข้างหน้าจะไม่สามารถมีทายาทได้ เพราะเกรงว่าโรคนี้จะถูกสืบทอดไปยังรุ่นต่อไป

เกรงว่าไป๋จิ่นคงนึกไม่ถึงเลยว่า นางจะกลายเป็นคนบ้าในสายตาของคนทั่วไป และไม่สามารถมีทายาทสืบสกุลได้อีกในอนาคต

ยังมีบทลงโทษไหนที่ร้ายแรงไปกว่านี้ ที่เหมือนกับตายทั้งเป็นเช่นนี้อีก!

ขณะนี้ มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น

ไป๋ชิงหลิงหันหลังกลับไปมอง

และเห็นเพียงเงาหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู

นางสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวมรกต และท่อนบนคาดด้วยผ้าคาดเอวสีขาว ผมยาวสีดำราวกับหมึก และผิวพรรณก็ดูเรียบเนียน

ผู้ที่มาก็คือเสิ่นโหรวเม่ย

ไป๋ชิงหลิงขมวดคิ้ว และนึกถึงความไม่สบอารมณ์ครั้งแรกที่ได้พบเจอกันที่จวนท่านอ๋องหรง สำหรับการปรากฏตัวขึ้นของเสิ่นโหรวเม่ยนั้น เป็นการทำลายบรรยากาศที่ดี

นางไม่แม้แต่จะกล่าวทักทาย และหันกลับมาดูไฟที่เตาต้มยา

เสิ่นโหรงเม่ยเดินเข้ามาภายในห้องและกล่าวว่า "แม่นางไป๋ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอเจ้าที่นี่ คนในสำนักหมอหลวงต่างพูดคุยกันว่าทักษะการแพทย์ของเจ้านั้นสูงส่ง อาการประชวรของไทเฮานั้นข้าก็เคยตรวจสอบมาก่อน ทว่าเปลี่ยนวิธีการรักษาอยู่หลายครั้งกลับไม่ดีขึ้น ข้าต้องการมาเรียนรู้วิธีการรักษาจากเจ้า"

ไป๋ชิงหลิงหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นหยิบพัดมาพัดที่เตาไฟ

"คุณหนูเสิ่นไม่กลับไปเป็นคุณหนูใหญ่ที่บ้าน แต่กลับมาสร้างปัญหาให้สำนักหมอหลวง"

"ข้า......"

ไป๋ชิงหลิงวางพัดลงและมองไปที่นาง "ข้าอาจจะพูดจาไม่เข้าหูเท่าไรนัก คุณหนูเสิ่นอย่าได้ถือสาอะไรเลย"

ใบหน้าของเสิ่นโหรวเม่ยเผยให้เห็นความหงุดหงิดรำคาญเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงการมาของนางในวันนี้นั้น ไม่ได้มาเพื่อทะเลาะกับไป๋ชิงหลิง จากนั้นนางจึงเก็บกลั้นความไม่พอใจเอาไว้

"เรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนท่านอ๋องหรงในวันนั้น ข้ารู้ว่าเป็นความผิดของข้าเอง แต่ข้าก็ได้รับโทษไปแล้ว หลังจากที่ข้ากลับจวนไป ข้าก็ถูกท่านแม่ขังและให้คัดลอกพระไตรปิฎกเป็นเวลาเจ็ดวัน และข้าก็ได้ตระหนักถึงความผิดที่ตัวเองทำลงไป แม่นางไป๋ หากเราไม่ทะเลาะกันมาก่อน เราจะรู้จักกันได้อย่างไร เพื่อไทเฮา เราอยู่ร่วมกันอย่างสันติเถอะนะ"

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ไป๋ชิงหลิง บุปผาพิษลิขิตแค้น